จงจือหว่านเงยหน้าขึ้น
เธอเองก็อยากรู้ว่าผู้เฒ่าจงจะมีท่าทีอย่างไรกับอิ๋งจื่อจินกันแน่
ผู้เฒ่าจงวางโทรศัพท์มือถือลง ค่อยๆ เอ่ยขึ้น “เรื่องนี้รอจื่อจินเลิกเรียนกลับมาค่อยคุยกัน”
จงจือหว่านสีหน้าเปลี่ยน รู้สึกเหลือเชื่อ ใบหน้าซีดเซียวยิ่งกว่าเดิม
คุณนายจงเกือบสงสัยว่าตัวเองฟังผิด “ท่านผู้เฒ่า?”
พวกเธอยังจะปรักปรำลูกเลี้ยงคนนั้นได้อีกหรือยังไง
“พาหว่านหว่านไปอาบน้ำอุ่น” ผู้เฒ่าจงสั่ง “ให้ห้องครัวต้มยาด้วย”
จงจือหว่านกัดริมฝีปากจนซีด ตอบรับอย่างไม่สบอารมณ์ น้ำตาคลออยู่ที่ดวงตา
“ท่านผู้เฒ่าหมายความว่ายังไงคะ” คุณนายจงทนไม่ไหว “หว่านหว่านต่างหากที่เป็นหลานสาวของแท้ๆ ของท่านนะคะ ทำไมท่านถึงลำเอียงเข้าข้างคนนอก”
ผู้เฒ่าจงไม่แยกแยะลำดับความสำคัญเกินไปหรือเปล่า
“เรื่องนี้ต้องถามให้ชัดเจนถึงจะตัดสินได้” ผู้เฒ่าจงเหลือบมองเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ยังไม่พาหว่านหว่านขึ้นไปพักอีก”
ถึงแม้ตอนนี้ผู้เฒ่าจงจะชราภาพแล้ว แต่ในมือของเขามีหุ้นอยู่ คำพูดยังมีน้ำหนักอยู่มาก
ต่อให้คุณนายจงจะไม่พอใจอย่างไรก็จำต้องไปทำตาม
จงจือหว่านเดินขึ้นชั้นบนด้วยอารมณ์ขุ่นมัว น้อยใจเสียจนอยากร้องไห้
“หว่านหว่าน ช่วงสองเดือนนี้ปู่ของลูกเลอะเลือนมาก” คุณนายจงพูดปลอบ “คงเห็นลูกเลี้ยงนั่นน่าสงสารก็เลยเกิดความรู้สึกลำเอียง ไว้รอคุณปู่ของลูกเห็นธาตุแท้ของเด็กคนนั้นก่อน ยังจะลำเอียงเข้าข้างกันอีกไหม”
“คุณแม่ หนูรู้ค่ะ หนูก็แค่…” จงจือหว่านเช็ดน้ำตา “หนูก็แค่รับไม่ได้ที่คุณปู่ดีต่อเธอขนาดนั้น”
ทำไม
แค่ลูกเลี้ยงคนเดียว ขนาดตระกูลอิ๋งยังไม่ให้ความสำคัญ ทำไมคุณปู่ถึงยังมองเป็นของล้ำค่าไปได้
“หว่านหว่าน วางใจได้ลูก” คุณนายจงใจเย็น “ความเกี่ยวข้องทางสายเลือดเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ ปู่ของลูกรักลูกที่สุด ไม่แน่อาจรอเด็กคนนั้นกลับมาแล้วช่วยสั่งสอนแทนลูกก็ได้นะ”
จงจือหว่านกลับไม่คิดแบบนั้น เล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ
เธอนึกถึงวันนั้นที่ได้ยินว่า ‘เธอต่างหากที่เป็นเจ้านายตัวจริง’ อีกครั้ง เม้มริมฝีปาก ยังคงไม่เล่าให้คุณนายจงฟัง
…
ห้องผู้อำนวยการโรงเรียน
ผู้อำนวยการกำลังรับโทรศัพท์ พอวางสายถึงได้ถาม “อาจารย์เฮ่อ เวลานี้มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
เฮ่อสวินเล่าเรื่องให้ฟังอย่างคร่าวๆ “ผู้อำนวยการครับ ผมคิดว่าจำเป็นต้องลงโทษ”
“อ๋อ เรื่องนี้เอง” ผู้อำนวยการไม่แปลกใจ “สายที่โทรมาเมื่อครู่ก็คือเรื่องนี้ อาจารย์เฮ่อน่าจะฟังความมาด้านเดียวมาใช่ไหมครับ”
เฮ่อสวินเงยหน้า ดวงตาภายใต้แว่นกรอบทองฉายแววเย็นชา “ผู้อำนวยการหมายความว่าไงครับ”
“เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ…” ผู้อำนวยการเล่าจบ “คือนักเรียนจงทำผิดก่อน ถึงแม้นักเรียนอิ๋งเองก็ผิดเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นต้องลงโทษครับ”
เฮ่อสวินขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขาไม่รู้รายละเอียดก็จริง
แต่แค่ชีวิตสัตว์เลี้ยงตัวเดียว จะมาเทียบกับคนได้ยังไง
“อาจารย์เฮ่อ” ผู้อำนวยการครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “อันที่จริงคุณต้องทราบนะครับว่า เดิมทีห้องสิบเก้าก็เป็นห้องที่คุมไม่อยู่ คุณไม่มีความจำเป็นต้องให้ความสนใจนักเรียนอิ๋งมากเกินไป”
เขาพูดอ้อมค้อม “ยังไงซะนักเรียนอิ๋งก็ไม่ได้ไปอยู่คลาสนานาชาติ”
ความหมายก็คือ คุณสนใจแค่นักเรียนในคลาสนานาชาติก็พอ
เฮ่อสวินชะงักไปชั่วขณะ รู้สึกหน้าเสีย แต่ก็กลับมามีสีหน้าเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
เขายกมือนวดหว่างคิ้ว “ขอโทษด้วยครับผู้อำนวยการ”
มีนักเรียนที่ไม่รักเรียนหลายคน เขาไม่ชอบทั้งนั้น เจียงหรานกับซิวอวี่ที่อยู่ห้องสิบเก้าก็เหมือนกัน แต่อิ๋งจื่อจินกลับทำให้เขาจดจำภาพลักษณ์ได้แย่ที่สุด
ไม่ว่าจะด้านการเรียนหรือการประพฤติตัว อีกทั้งยังมีแนวโน้มชอบใช้ความรุนแรง
นอกจากนี้ยังทำความผิดหลายครั้ง ไม่เคยปรับปรุงตัว
เฮ่อสวินไม่พูดอะไรอีก เขาออกจากห้องผู้อำนวยการ
…
อิ๋งจื่อจินเดินออกมาจากห้องรับคำปรึกษา ในมือมีใบวินิจฉัยทางด้านจิตเวช
บนกระดาษใบนั้นเขียนชื่อโรคไว้
โรคอารมณ์สองขั้ว
โรคอารมณ์สองขั้วแตกต่างจากโรคซึมเศร้า นอกจากมีอาการซึมเศร้าแล้วยังมีอาการหงุดหงิดผิดปกติร่วมด้วย
ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะเป็นวัยรุ่นช่วงอายุสิบห้าถึงสิบเก้าปี โดยมีปัจจัยเกิดจากกรรมพันธุ์ สภาพครอบครัว ความรุนแรงภายในโรงเรียนเป็นต้น ทั้งหมดนี้อาจทำให้เป็นโรคอารมณ์สองขั้วได้ทั้งสิ้น
ส่วนมากจะซึมเศร้า มีอารมณ์หงุดหงิดรุนแรงบ้างเป็นบางครั้ง
อิ๋งจื่อจินงอเข่าพิงกำแพง สีหน้าเรียบเฉย
เธอเป็นหมอและก็เป็นนักสมุนไพรพิษด้วยเหมือนกัน
แต่กลับไม่เคยให้ความสนใจปัญหาด้านจิตเวชสักเท่าไร อย่างไรเสียเมื่อก่อนก็ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้
นักจิตวิทยาบอกว่า เดิมทีเธอควรมีแค่อารมณ์ซึมเศร้า แต่หนึ่งเดือนมานี้ ช่วงที่อารมณ์ของเธอพลุ่งพล่านมีค่อนข้างมาก
จึงกลายเป็นโรคอารมณ์สองขั้ว เพียงแต่อาการยังเบามาก
อิ๋งจื่อจินรู้ว่านี่เป็นเพราะอะไร
เพราะเธอฟื้นขึ้นมาอย่างสิ้นเชิงแล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ถูกตระกูลอิ๋งควบคุมทุกเรื่องอีกต่อไปแล้ว
แต่ความข่มเหงที่ตระกูลอิ๋งทำกับเธอไว้ก็กระทบกระเทือนจิตใจจนไม่อาจชดเชยได้
มิน่าหลังจากที่เธอมาโลกมนุษย์อีกครั้งถึงได้ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
และก็ไม่แปลกที่ร่างกายของเธอจะอ่อนแอได้ขนาดนี้
ที่แท้ก็เพราะป่วย
ตอนที่อาการซึมเศร้ากำเริบ ไม่อยากอาหาร ความสนใจต่อสิ่งต่างๆ ถดถอย
สุดท้ายเป็นเหมือนหุ่นเชิด ราวกับตายไปแล้ว
และยิ่งทำให้เวรกรรมระหว่างเธอกับตระกูลอิ๋งหมดไปได้ช้าลง
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือได้ดังขึ้น
อิ๋งจื่อจินก้มหน้า เห็นฟู่อวิ๋นเซินส่งข้อความวีแชทมา
[เยาเยา เป็นไงบ้าง]
ฟู่อวิ๋นเซินรู้ว่าวันนี้เธอนัดนักจิตวิทยาไว้ เธอเองก็ไม่ได้ปิดบัง
[โรคอารมณ์สองขั้ว ไม่รุนแรง]
หลังจากส่งข้อความนี้ออกไป ทางด้านนั้นกลับเงียบไป
อิ๋งจื่อจินขมวดคิ้วเล็กน้อย
เธอทำนายอดีตได้ ทำนายอนาคตได้
แต่เนื่องจากความสามารถทางการพยากรณ์ขั้นเทพยังไม่กลับคืนมา จึงมองเห็นได้เพียงเรื่องที่เกิดขึ้นภายในสิบกว่าวัน ไกลกว่านี้ก็จะเลือนราง
ดังนั้นเธอถึงไม่เห็นอดีตของฟู่อวิ๋นเซิน
แต่ก็ได้ยินมาว่า คนอื่นในตระกูลฟู่ไม่ดีต่อเขายกเว้นผู้เฒ่าฟู่คนเดียว
หนึ่งนาทีต่อมาโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
[อืม ไม่เป็นไรนะ ต่อไปเธอจะมีความสุขทุกวัน]
ขนตาของอิ๋งจื่อจินหลุบลง
ส่งสติกเกอร์การ์ตูนมีหญ้าบนหัวไป
ครั้งนี้ฟู่อวิ๋นเซินตอบเร็วเหมือนเมื่อก่อน
[หืม? ช่วงนี้เด็กน้อยกลายเป็นคนคิกขุแล้วเหรอ]
“…”
บางครั้งเธอไม่อยากจะคุยกับเขาเลยจริงๆ
หลังจากเก็บใบวินิจฉัยทางด้านจิตเวช อิ๋งจื่อจินก็กลับไปห้องเรียนของห้องสิบเก้า หยิบไอแพดที่เพิ่งซื้อออกมา
ซิวอวี่ช่วยป้อนเมล็ดข้าวโพดให้ตูตู ชะโงกหน้าเขามา “พ่ออิ๋ง จะเล่นเกมเหรอ”
“เปล่า” อิ๋งจื่อจินเปิดแอปฉลามไลฟ์สด “ไลฟ์สดหาเงิน”
…
อีกด้านหนึ่ง
เฮ่อสวินกลับไปที่ห้องทำงาน เห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังดูอะไรอยู่ที่หน้าคอมพิวเตอร์ของเขา อีกทั้งยังส่งเสียงดัง
“อาจารย์เฮ่อ ขอโทษด้วยค่ะ เด็กคนนี้ซนเหลือเกิน” อาจารย์หญิงที่อยู่ข้างๆ รีบเข้ามาอุ้มเด็กไปพร้อมพูดขอโทษไม่หยุด “ขอโทษจริงๆ ค่ะที่มายุ่งคอมพิวเตอร์ของอาจารย์เฮ่อ”
“ไม่เป็นไรครับ” เฮ่อสวินนวดขมับ พูดอะไรมากไม่ได้
เขานั่งลงถึงได้พบว่าเด็กคนนี้ใช้คอมพิวเตอร์ของเขาดูไลฟ์สดเกม
เฮ่อสวินไม่ชอบความบันเทิงประเภทนี้ เขาเลื่อนเม้าส์เตรียมกดปิด ทว่ากลับไปกดถูกดาวตกที่เพิ่งปรากฏบนหน้าจออย่างไม่ทันได้ระวัง
เป็นการแจกรางวัลล็อตใหญ่
หน้าจอเปลี่ยนไปยังไลฟ์สดของช่องหนึ่ง
เป็นไลฟ์เรื่องการเรียน
ไม่ได้มีเสียงอึกทึกแบบไลฟ์เกม เงียบมาก
มีเพียงกระดาษใบเดียวกับมือที่สวยงามจนเกินไป