ตอนที่ 770 เจ้าชะตาน้อย เทพเอสวายรู้หรือเปล่า
ระดับของนักวิจัยจะมีการประเมินเดือนละครั้ง
โปรเจ็กต์ยานอวกาศเมื่อปลายเดือนที่แล้ว หากไม่ผิดพลาด ตอนนี้บิลคงได้เป็นนักวิจัยระดับเอสไปแล้ว
ถึงแม้คนที่เธอเรียกมาจากกลุ่มบีจะทำให้เกิดปัญหา แต่ถ้าอิ๋งจื่อจินไม่มาร่วมโปรเจ็กต์นี้กลางคันก็คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับเธอ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าต่อมาอิ๋งจื่อจินยังกลายเป็นคุณหนูใหญ่ด้วย
คนที่เธอดูถูกมาตลอดเพียงชั่วพริบตากลับยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าเธอ ครึ่งเดือนมาแล้วบิลก็ยังทำใจไม่ได้
ในที่สุดเธอก็สบโอกาส
ต้องบดขยี้อิ๋งจื่อจินให้จมดิน
ไม่รู้ทำไม มั่วเฟิงกลับรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
เอาผลงานคนอื่นมาส่งในโปรเจ็กต์ครั้งนี้ เกรงว่าตอนโปรเจ็กต์ยานอวกาศครั้งก่อนก็ขอให้คนนอกช่วยเหมือนกัน
นี่ก็แสดงว่าในความเป็นจริงอิ๋งจื่อจินไม่ได้เก่งอะไรมากมายแบบที่แสดงออก
ถ้าอย่างนั้นเขาเลือกบิลก็ถูกต้องแล้ว
อีกทั้งถ้าเรื่องแบบนี้ความแตกขึ้นมา ต่อให้อาจารย์ที่ปรึกษาของอิ๋งจื่อจินจะเป็นคณบดีนอร์แมนก็ไม่มีทางที่จะรับเธอเป็นลูกศิษย์ต่อไปแน่นอน
วงการวิชาการถือที่สุดเรื่องการคัดลอกและสวมรอยผลงานคนอื่น
มั่วเฟิงรู้สึกโล่งยิ่งกว่าเดิม ความโกรธและเสียหน้าที่ถูกปฏิเสธเมื่อหลายวันก่อนได้หายไปหมด
เขากับบิลรีบไปหาคณะประเมิน
คณะประเมินนักวิจัยล้วนเป็นเหล่าอาจารย์กิตติมศักดิ์ของคณะ มีประสบการณ์ในคณะวิศวกรรมศาสตร์อย่างต่ำห้าสิบปี เป็นที่นับหน้าถือตา
“ผลงานชิ้นนี้ของนักศึกษาอิ๋งดีมาก” กรรมการคนหนึ่งดันแว่นตา “เธอสร้างจุดเด่นได้ เปลี่ยนอะไหล่หลายชิ้นในปืนเลเซอร์ ทำให้น้ำหนักรวมยิ่งเบา แต่วิถียิงกับแรงอัดกลับยิ่งมากขึ้น”
คณะกรรมการคนอื่นก็พยักหน้าด้วยความพอใจ
พวกเขาชอบมากที่สุดคือการได้เห็นบรรดาคนรุ่นหลังมีความคิดสร้างสรรค์
ช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีได้
ประธานกรรมการตรวจดูเสร็จก็พยักหน้า “งั้นครั้งนี้ก็ให้เธอเลื่อนเป็นนักวิจัยระดับเอส ดีไหม”
มีกรรมการคนหนึ่งลังเล “เลื่อนขึ้นระดับเอสออกจะเร็วเกินไปหน่อย ระดับเอก่อนดีไหมครับ”
“ไม่เร็วหรอก” ประธานกรรมการพูด “ไอเดียของเธอดีมาก เพียงพอที่จะเลื่อนเป็นนักวิจัยระดับเอสได้ ยังมีใครคัดค้านอีกไหม”
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นในเวลานี้
“เชิญ”
เมื่อได้รับอนุญาต มั่วเฟิงกับบิลถึงเดินเข้าไป
“อาจารย์มั่วเฟิงเองเหรอ” ประธานกรรมการเงยหน้า “มีธุระอะไรเหรอ”
“มีเรื่องสำคัญครับ” มั่วเฟิงพูด “ลูกศิษย์ของผมพบสิ่งที่น่าสงสัยในโปรเจ็กต์รอบนี้ครับ”
พอคำพูดนี้ออกมา คณะกรรมการก็ขมวดคิ้ว “อะไรน่าสงสัยเหรอ”
“หนูไม่เห็นด้วยที่อิ๋งจื่อจินจะได้เลื่อนเป็นนักวิจัยระดับเอสค่ะ” บิลพูด “นี่ไม่ใช่ผลงานของเธอ แต่เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เอสวายคิดค้นค่ะ!”
เธอเปิดรูปและเปิดไลฟ์สดของเอสวายวางบนโต๊ะพลางพูด “คนที่เอาผลงานคนอื่นมาสวมรอยเป็นของตัวเอง คนแบบนี้มีสิทธิ์อะไรได้เลื่อนเป็นนักวิจัยระดับเอสเหรอคะ”
คณะกรรมการดูจบก็มองหน้ากัน
ก็จริง
บรรดานักศึกษากับอาจารย์อาจมองไม่ออก แต่พวกเขามีประสบการณ์สูง
ปืนเลเซอร์สองกระบอกนี้มองผิวเผินจากภายนอกต่างกันเล็กน้อย แต่ส่วนประกอบสำคัญกลับเหมือนกันหมด
พวกเขาไม่เคยดูไลฟ์สดของเอสวาย
ไลฟ์สดที่เกี่ยวข้องกับวิศวกรรมในเว็บดับบลิวมีแต่คนนอกวงการกับพวกนักศึกษาที่ดู
แต่ไม่ว่าอย่างไรเอสวายก็ไลฟ์สดทำก่อน อิ๋งจื่อจินนำผลงานมาส่งทีหลัง
บิลมองคณะกรรมการ แอบสะใจ
ซื้อของมาส่ง ยังคิดจะเลื่อนเป็นนักวิจัยระดับเอสอีกเหรอ
อิ๋งจื่อจิน เธออย่าแม้แต่จะคิด
ประธานกรรมการเงียบไปสักพัก จากนั้นถึงค่อยๆ พูดขึ้น “เรื่องนี้ต้องเชิญนักศึกษาอิ๋งมาก่อน และยังต้องติดต่อเจ้าของช่องไลฟ์สดคนนี้ด้วย”
เขายังไม่ขีดฆ่าชื่ออิ๋งจื่อจินทิ้ง แต่วางไว้ด้านข้าง
เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง “ถ้าพวกคุณไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็เชิญออกไปก่อน”
มั่วเฟิงมีท่าทีนอบน้อมต่ออาจารย์กิตติมศักดิ์ “ช่วยให้ความเป็นธรรมด้วยนะครับ”
เขาทำความเคารพเสร็จก็ถอยออกไป
บิลทำได้เพียงตามไปอย่างไม่ยินยอมเท่าไร กำมือแน่น
หลักฐานอยู่ตรงหน้าแล้ว กรรมการพวกนี้ยังปกป้องอิ๋งจื่อจินอีก
อิทธิพลของตระกูลเรนเกลมีมากถึงขั้นควบคุมอาจารย์กิตติมศักดิ์พวกนี้ได้แล้วเหรอ
เล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือของบิล สีหน้าอึมครึม
คงคาดหวังกับพวกอาจารย์คร่ำครึของคณะวิศวกรรมศาสตร์ไม่ได้แล้ว
เธอต้องหาวิธีเอง
…
สมาพันธ์แฮกเกอร์
ข่าวที่ฉินหลิงอวี๋เป็นผู้วิเศษ ในสมาพันธ์แฮกเกอร์มีแค่ประธานสมาพันธ์กับฉินหลิงเยี่ยนที่รู้
แต่แฮกเกอร์กับผู้ดูแลคนอื่นๆ ของสมาพันธ์แฮกเกอร์ต่างก็รู้นิสัยของเธอ
อารมณ์ฉุนเฉียว ไม่ชอบให้คนต่างเพศเข้าใกล้
คนในสมาพันธ์แฮกเกอร์ที่ชอบฉินหลิงอวี๋สามารถต่อเรียงแถวได้ยาวไปถึงสำนักผู้วิเศษ
แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยมีใครกล้าเข้าไปสารภาพรักกับเธอ กลัวจะถูกอัดตาย
เวลานี้เห็นเธอจูงมือผู้ชายกลับมา ทุกคนเลยช็อกหนัก
โดยเฉพาะบรรดาแฮกเกอร์ระดับสูงที่ชื่นชอบฉินหลิงอวี๋มานาน สายตาที่มองอวี้เสวี่ยเซิงจึงผิดแปลกไปทันที
เจือไปด้วยความอาฆาตแบบศัตรู
แฮกเกอร์ระดับสูงคนหนึ่งเดินเข้าไป “คนนี้ใครเหรอครับคุณหนู”
ฉินหลิงอวี๋ยังไม่ทันตอบ อวี้เสวี่ยเซิงก็ยิ้มบาง “สวัสดีครับทุกคน”
พูดจบเขาก็พาฉินหลิงอวี๋เดินตรงเข้าไป
จนกระทั่งสองคนเดินไปไกล พวกแฮกเกอร์ระดับสูงถึงเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน ได้สติกลับมา
อดงุนงงไม่ได้
พวกเขาลืมเรื่องอะไรไปหรือเปล่า
ฉินหลิงอวี๋ย่อมรู้ว่าอวี้เสวี่ยเซิงทำอะไร เธอเหลือบมองเขา “แบบนี้ถือว่าคุณแอบขโมยความสามารถของฉันไปใช้หรือเปล่า”
“ไม่ใช่” อวี้เสวี่ยเซิงยิ้มบาง “ตอบแบบคุณ คุณจะสอนผมอีกก็ได้นะ”
ฉินหลิงอวี๋ไม่พูดอะไร
เธอก้มหน้า หูเริ่มแดงนิดหน่อย
ทำไมครั้งนี้คนของเธอดูเจ้าเล่ห์ขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งๆ ที่เป็นแฟนกันมานาน แต่ชั้นเชิงกลับทำให้ตั้งรับไม่ถูก
“น้องพี่ ไหนว่าคอยเดินเลี่ยงเขาตลอดไง” ฉินหลิงเยี่ยนที่กำลังดื่มโค้กรู้สึกแปลกใจ “อีกอย่าง ไหนบอกว่าเธอมีแฟนตั้งแต่เมื่อก่อนตอนเป็นผู้วิเศษ นี่ไม่เท่ากับนอกใจแบบเปิดเผยเหรอ”
สีหน้าจริงจัง “แบบนี้ไม่ได้นะ พี่จะบอกเธอให้ คนเราน่ะ มันต้องมีความจริงใจ”
ฉินหลิงอวี๋สูดลมหายใจเข้าลึก แสยะยิ้ม “ตาซื่อบื้อเอ๊ย!”
“โมโหไม่ดีนะ” อวี้เสวี่ยเซิงลูบศีรษะเธอแล้วยิ้มพลางพูด “ผมเอง”
“โอ้โห!” ฉินหลิงเยี่ยนพ่นน้ำโค้ก ตกใจหน้าถอดสี “เป็นคุณได้ยังไง!”
เป็นเพราะฟู่อวิ๋นเซิน เขากับอวี้เสวี่ยเซิงก็เลยรู้จักกัน ทั้งยังเคยร่วมรับภารกิจบนเว็บบอร์ดเอ็นโอเคด้วยกัน
ฉินหลิงเยี่ยนรู้ว่าอวี้เสวี่ยเซิงเป็นคนอ่อนโยน สะกดจิตเก่งมาก
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เคยคิดไปในทางผู้วิเศษ
ผู้วิเศษมีทั้งหมดยี่สิบสองคน ทำไมตอนนี้โผล่ขึ้นมาอยู่ใกล้ๆ เขาอีกคนแล้วล่ะ
แต่กลับมีแค่เขาที่ไม่ใช่ผู้วิเศษ
นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน
“น้องพี่ จะบอกให้นะ เขาไม่ไหวหรอก” ฉินหลิงเยี่ยนรับไม่ได้ “เธอก็รู้ใช่ไหมบนชาร์ตนักสะกดจิตของเว็บบอร์ดเอ็นโอเค เขาเพิ่งจะอยู่ที่สอง”
“เธอเป็นผู้วิเศษแล้วอย่างน้อยก็ต้องหาคนที่อยู่อันดับหนึ่งถูกไหมล่ะ ฟังพี่นะ เขี่ยเขาทิ้งไป พี่จะหาคนที่ดีกว่าให้เธอ”
ถึงแม้น้องสาวของเขาจะด้อยศีลธรรมอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไรเขาก็เลี้ยงมาจนโต
เพียงชั่วพริบตาตกไปอยู่ในมือชายอื่นแล้ว เขารู้สึกเหมือนถูกหมูขโมยผักกาดขาวไป
เจ็บปวดเกินทนไหว
ฉินหลิงอวี๋สีหน้าเรียบเฉย “นักสะกดจิตอันดับหนึ่งคือฉันเอง”
“…”
กลัวที่สุดก็ตอนอยู่ๆ ก็เกิดความเงียบ
“ผมกับเสี่ยวอวี๋ท่องอยู่ในเจ็ดทวีปสี่มหาสมุทรมานาน” อวี้เสวี่ยเซิงหันข้าง “หลังจากที่มีการจัดอันดับนักสะกดจิตในศตวรรษที่สิบเก้า เธอก็ติดอันดับแล้ว”
ต่อมาพวกเขาไปต้านภัยพิบัติจนต้องเปลี่ยนภพ นักสะกดจิตอันดับหนึ่งก็หายสาบสูญตามไปด้วย
คราวนี้ฉินหลิงเยี่ยนถูกโจมตีจนไปต่อไม่ถูกแล้ว
เขาเดินลากเท้าไปหาฟู่อวิ๋นเซิน ยกมือขึ้นแบบห่อเหี่ยว “เหล่าฟู่ ฉันถูกโจมตีอย่างแสนสาหัส ต้องการคำปลอบโยน”
เขาลืมไปได้อย่างไรว่าพลังพิเศษของผู้วิเศษพระจันทร์คือควบคุมความฝัน
ยังจะมีนักสะกดจิตคนไหนสู้ได้อีก
ฟู่อวิ๋นเซินหลุบตาลงอยู่ พอได้ฟังก็เหลือบตาขึ้น “อย่ามาพิงฉัน ไสหัวไป”
ฉินหลิงเยี่ยน “…”
เออ รังแกเขาให้หมด
“เฮ้อ ยังดีนะที่นายไม่ได้เป็นผู้วิเศษไปด้วยอีกคน” อยู่ๆ ฉินหลิงเยี่ยนก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา พูดด้วยความดีใจ “มีนายอยู่เป็นเพื่อนฉัน ฉันก็ไม่ได้เหงามากมายเท่าไรแล้ว”
ฟู่อวิ๋นเซินไม่พูดอะไร
เขายืนขึ้น พยักหน้าให้อวี้เสวี่ยเซิงเล็กน้อยแล้วไปห้องนอนแขกด้านข้าง
ภายในห้องนอนแขก
อิ๋งจื่อจินนอนคว่ำอยู่บนเตียง กำลังแชทกับซู่เวิ่น
แม่ : [เยาเยา โปรเจ็กต์จบหรือยังลูก คืนนี้กลับมากินข้าวบ้านไหมจ๊ะ]
มือข้างหนึ่งของอิ๋งจื่อจินเท้าคาง เธอตอบกลับ
[กลับค่ะ มีว่าที่ลูกเขยไปด้วยอีกคนนะคะ]
แม่ : […]
แม่ : [เรื่องนี้น่ะ แม่ลืมบอกลูกไป แม่กำลังเลือกวันฤกษ์ดี ไม่ว่ายังไงก็หมั้นกันไว้ก่อน พ่อของลูกต้องดีใจแน่นอน]
อิ๋งจื่อจินอ่านประโยคสุดท้ายแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย
ยืนยันแล้วว่าลูเอลไม่ได้อยู่ในเมืองแห่งโลก
คงต้องไปหาที่นอกเมืองแล้ว
มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ประตูถูกเปิดออก
อิ๋งจื่อจินตบอีกฝั่งของเตียงโดยไม่เงยหน้า “เหลือที่ไว้ให้”
ฟู่อวิ๋นเซินนั่งลง เอามือกอดเธอไว้ น้ำเสียงดูเหนื่อยล้า “ขอซบหน่อยนะ”
เขาทิ้งตัวไปซบตัวเธอ
อิ๋งจื่อจินเห็นเหงื่อบนหน้าผากของเขา จึงเอามือช่วยเช็ดให้ “ฝันร้ายอีกแล้วเหรอ”
“อืม” เขาตอบเสียงเบา รอยยิ้มอ่อนล้า “ยาของคุณอิ๋งได้ผลดีมาก อย่างน้อยก็ไม่ได้ฝันทุกวันแล้ว”
ทั้งๆ ที่เป็นคำเรียกแบบห่างเหิน แต่พอออกจากปากเขากลับเหมือนแกล้งแซว
ฟู่อวิ๋นเซินลูบศีรษะเธอ แววตาเริ่มขรึมลง “รับปากนะว่าไม่ว่าเรื่องไหนก็ห้ามแบกไว้คนเดียว”
อิ๋งจื่อจินชะงัก คิดว่าเขาหมายถึงเรื่องที่เธอเคยยอมตายเพื่อเพื่อนสนิท
คางของเธอเกยบ่ากว้างของเขา “ไม่แล้ว มีคุณอยู่”
“ก็เพราะมีพี่ชายอยู่ถึงได้…” ฟู่อวิ๋นเซินหยุด ดวงตาดอกท้อโค้งมน เปลี่ยนเรื่องคุย “เย็นนี้กินอะไรดี”
อิ๋งจื่อจินหาวหวอด “ว่าที่แม่ยายของคุณชวนไปกินข้าว”
“หืม?” ฟู่อวิ๋นเซินเลิกคิ้ว เปลี่ยนคำเรียก “ได้เลยคู่หมั้น”
“ฉันว่าจะไปนอกเมืองอีกสักรอบ” อิ๋งจื่อจินพลิกตัว “จะไปพาจอมยุทธ์ที่วรยุทธ์สองร้อยปีขึ้นไปมาหน่อย ยังอยากตามหาคุณพ่อดูด้วย”
ฟู่อวิ๋นเซินยิ้มมุมปาก “ยินดีรับใช้เสมอ คู่หมั้น”
เขาปล่อยเธอ “ไม่รบกวนเวลาดูละครแล้ว พี่ชายจะไปเตรียมน้ำผลไม้ให้”
หลังออกจากห้องนอนแขกไป ฟู่อวิ๋นเซินก็ไม่ได้ไปที่ห้องครัว แต่ยืนพิงกำแพง หันหน้าเล็กน้อย
เศษเสี้ยวความทรงจำเหล่านั้นมีพวกชื่อที่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมา
…เจ้าชะตาน้อย
…คุณอิ๋ง
ส่วนที่เหลือยังคงว่างเปล่า
อวี้เสวี่ยเซิงเดินเข้ามา พูดด้วยเสียงที่เบามาก “ความทรงจำยังไม่กลับมาเหรอ”
ดวงตาดอกท้อของฟู่อวิ๋นเซินหรี่ลง “อืม”
“ดูท่าการดับสูญของพวกนายจะแตกต่างออกไป” อวี้เสวี่ยเซิงพูด “กลับสำนักผู้วิเศษแล้วก็ยังไม่มีเค้าลางว่าจะฟื้นคืน”
ถ้าไม่ได้ฟู่อวิ๋นเซิน เขาก็คงกลับไปช้ามากเหมือนกัน
“ช่างเถอะ” ฟู่อวิ๋นเซินแค่ยิ้ม “ฉันจะเฝ้าเธอด้วยชีวิต”
…
ทางด้านตระกูลเรนเกล
บิลกลับเข้าห้องนอนตัวเอง ดูรูปที่ถ่ายมาเมื่อเช้า สีหน้าอึมครึม
เห็นได้ชัดว่าคณะกรรมการประเมินต้องการปกป้องอิ๋งจื่อจิน ไม่แน่ว่าเดี๋ยวอาจปกปิดเรื่องนี้ไว้ก็ได้
นั่นเป็นสิ่งที่เธอไม่อยากเห็น
บิลเปิดเว็บดับบลิว ล็อกอินเข้าแอ๊กเคานท์ระดับบีแล้วเริ่มพิมพ์ข้อความ
กระแสวิจารณ์ทำให้คนตายจากสังคมได้มากที่สุด
เธอก็อยากจะรอดูว่า พอความแตก อิ๋งจื่อจินยังจะลงคัดเลือกตำแหน่งหัวหน้าตระกูลได้อย่างไรอีก
หลังจากบิลพิมพ์ข้อความกับแนบรูปถ่ายเสร็จก็เลือกโพสต์ข้อความแล้วกดเอนเทอร์
โพสต์เสร็จเธอก็ไปจ่ายเงินดันแฮชแท็กทันที
ใช้แฮชแท็กว่า #อิ๋งจื่อจิน เอสวาย# กับ #นี่น่ะเหรอม้ามืดของคณะวิศวะ#
ในเว็บดับบลิว ไม่ว่าจะอิ๋งจื่อจินหรือเอสวายต่างก็โด่งดังพอกัน
ในเวลาไม่กี่นาที แฮชแท็กก็พุ่งติดสิบอันดับแรก อีกทั้งยังทะยานขึ้นไม่หยุด
[กดเข้ามานึกว่าเปิดเผยตัวตนเอสวายแล้วว่าเป็นอิ๋งจื่อจิน แล้วนี่อะไร]
[พูดตามตรง แว่นกรองพังยับเยิน ช่วงนี้คนถูกแฉเยอะจริงๆ]
[เห็นหรือยัง มีอำนาจมีอิทธิพลก็สุดยอดได้ทั้งนั้น ไม่เหมือนคนจนอย่างพวกเรา คนรวยเอาเงินซื้อผลงานไปส่งเลยก็ได้]
[อ๋า ที่แท้ก็สวมรอย จบข่าว เดิมคิดว่าเป็นม้ามืดของคณะวิศวะเสียอีก ที่แท้ก็แค่ของปลอม ขำเป็นบ้า ขำจะตายอยู่แล้ว]
[อิ๋งจื่อจิน เธอแอบสวมรอยผลงานของเทพเอสวาย เทพเอสวายรู้หรือเปล่าน่ะ (ยิ้ม)]