“เชฟใหญ่เพิ่งบินไปที่ประเทศจีนเมื่อเช้านี้ค่ะ” พนักงานเคาน์เตอร์พูดขอโทษ “คงเสิร์ฟเมนูของเชฟใหญ่ให้คุณลูกค้าไม่ได้แล้วค่ะ”
จงมั่นหวาข่มความโกรธ วางตัวให้สุภาพ “งั้นที่ฉันจองไว้ทำยังไงคะ”
“คือแบบนี้ค่ะ” พนักงานเคาน์เตอร์อธิบาย “เนื่องจากเหตุการณ์ครั้งนี้กะทันหันมาก ทางเราเองก็คาดไม่ถึง เป็นความรับผิดชอบของทางร้านจริงๆ ค่ะ”
อันที่จริงเธอเองก็สงสัย ก็ไม่รู้ว่าเป็นบุคคลใหญ่โตคนไหนที่สามารถเชิญเชฟใหญ่ไปหมดได้
ร้านอาหาร กอร์ดอน แรมซี่ ต่อให้ต้องบินออกไปกินนอกประเทศ บรรดาลูกค้าก็ยินดีที่จะนั่งเครื่องบินมาลิ้มรส
ถือคติลูกค้าคือพระเจ้า พนักงานเคาน์เตอร์ยิ้มแล้วพูดต่อ “แต่อันที่จริงเมนูของเชฟใหญ่จองไม่ได้ตั้งแต่ตอนที่คุณลูกค้าทำการจองแล้วค่ะ เพราะช่วงนี้ทางร้านต้องไปร่วมรายการอาหารของทางสถานีโทรทัศน์ เชฟใหญ่ปลีกเวลามาไม่ได้ค่ะ”
นิ่งไปเล็กน้อยแล้วพูดอย่างอ้อมค้อม “คุณลูกค้าลองนึกดูดีๆ นะคะ ตอนที่จองมาจริงๆ แล้วเป็นเมนูของเชฟรองค่ะ”
พอได้ยินแบบนี้จงมั่นหวาก็อึ้งไปชั่วขณะ
จากนั้นเธอก็เหลือบมองโทรศัพท์มือถือ และก็พบว่าเธอจองเป็นเมนูของเชฟรองจริงๆ
ความอับอายขายหน้าอย่างรุนแรงบังเกิดขึ้น ใบหน้าแดงก่ำในทันที
ถึงแม้เมนูเชฟใหญ่กับเมนูเชฟรองจะต่างกันแค่คำเดียว แต่จริงๆ แล้วความแตกต่างสูงมาก
เมนูเชฟใหญ่เป็นเมนูที่เชฟใหญ่ลงมือปรุงเองโดยใช้วัตถุดิบชั้นยอด
“ดิฉันตรวจสอบแล้ว คุณลูกค้ามาจากเมืองฮู่เฉิง เมืองที่เชฟใหญ่ไปก็คือเมืองฮู่เฉิงพอดี และจะอยู่ที่นั่นสามวันค่ะ” พนักงานเคาน์เตอร์พูดต่อ “เอาแบบนี้ไหมคะ ดิฉันจะติดต่อให้”
จงมั่นหวาอึ้ง “ไปเมืองฮู่เฉิงเหรอคะ”
เธออุตส่าห์บินมาถึงยุโรป ปรากฏว่าเชฟใหญ่กลับไปที่เมืองฮู่เฉิงงั้นเหรอ
“ตอนคุณลูกค้าจองมีการลงโน้ตไว้ว่าต้องการเค้กวันเกิดหนึ่งก้อน น่าจะฉลองวันเกิดใช่ไหมคะ” พนักงานเคาน์เตอร์พยักหน้า “ทีมเชฟใหญ่ไปเมืองฮู่เฉิงก็เพื่อฉลองวันเกิดให้คุณผู้หญิงคนหนึ่งเหมือนกัน บังเอิญจริงๆ ค่ะ”
จงมั่นหวากลับรู้สึกเสียหน้ายิ่งกว่าเดิม
เธอต้องการฉลองวันเกิดให้เสี่ยวเซวียน ถึงขั้นจองล่วงหน้าในเน็ตสองเดือน
คนอื่นฉลองวันเกิดกลับสามารถให้ทีมเชฟใหญ่บินไปด้วยตัวเองได้
นี่มันต่างกันระดับไหน
ถ้าบอกว่าเป็นตระกูลมหาเศรษฐีของเมืองตี้ตูยังพอไหว แต่นี่ไปเมืองฮู่เฉิง
จงมั่นหวาคิดอยู่นานก็คิดไม่ออกว่าใครที่เล่นใหญ่ขนาดนี้
อันที่จริงก็ใช่ว่าเธอจะต้องกินร้าน กอร์ดอน แรมซี่ ให้ได้ ในยุโรปมีร้านมิชลินสามดาวอยู่ไม่น้อย ต่างเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
แต่เธอไม่มากับถูกปฏิเสธ มันคนละเรื่องกัน
อย่างหลังคือเหมือนตบหน้าเธอ
“ไม่ต้องหรอกค่ะ”
จงมั่นหวาหมดอารมณ์กิน ยิ่งไปกว่านั้นคือเสียหน้า
เธอพูดเสร็จก็ถือกระเป๋าเดินออกไป
พนักงานเคาน์เตอร์เองก็งง แต่ไม่พูดอะไร รับรองแขกคนอื่นต่อ
…
วันต่อมา
นักเรียนห้องสิบเก้าถูกเชิญมาที่สวนหย่อมแห่งหนึ่งในตอนเที่ยง
ภูเขาจำลองสายน้ำหลั่งไหล เสียงนกร้องไพเราะจับใจ สายลมพัดใบไม้ปลิว
นี่คือทรัพย์สินแห่งหนึ่งของตระกูลฟู่
สวนหย่อมแห่งนี้อบอุ่นในหน้าหนาวและเย็นฉ่ำในหน้าร้อน ถึงแม้ขนาดไม่ใหญ่ แต่ค่อนข้างเก่าแก่ ถือเป็นโบราณสถาน ทั้งยังอยู่ในทำเลที่ดีมาก มูลค่าเกินพันล้าน
บรรดาพี่น้องตระกูลฟู่ต่างชอบสวนหย่อมแห่งนี้ แย่งชิงกันมานาน แต่ผู้เฒ่าฟู่ก็ไม่เอ่ยปากยกให้ใคร
แต่สุดท้ายไม่มีใครคาดคิด ผู้เฒ่าฟู่เองก็ไม่ได้พูดอะไร ยกให้ฟู่อวิ๋นเซินโดยที่ข้ามหน้าข้ามตาแม้กระทั่งฟู่หมิงเฉิงลูกชายของเขา
จึงทำให้คุณชายตระกูลฟู่ที่รุ่นเดียวกับฟู่อวิ๋นเซินเกิดอาการอิจฉาตาร้อน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงขบฟันด้วยความโกรธแค้นอยู่เงียบๆ
ฟู่หมิงเฉิงก็อยากอาศัยความเป็นพ่อให้ฟู่อวิ๋นเซินมอบสวนหย่อมแห่งนี้ให้เขา แต่ก็ทิ้งศักดิ์ศรีไม่ลง
โดยเฉพาะในขณะที่ผู้เฒ่าฟู่ยังมีชีวิตอยู่ เรื่องบางอย่างก็ไม่สามารถทำได้อย่างเด็ดขาด ยังคงต้องไว้หน้ากัน
ภายในสวนหย่อมมีโต๊ะยาวสองตัว เพียงพอสำหรับให้นักเรียนห้าสิบคนนั่ง
บนโต๊ะถูกปูด้วยผ้าต่วนสีแดง จัดวางแก้วไวน์ จาน มีด และส้อมตามลำดับที่ตรงหน้าของแต่ละคน
เมนูหางกุ้งมังกร หอยเชลล์ย่างราดไวท์ซอส ขาแกะอบไวน์แดง เห็ดทรัฟเฟิลช็อคโกแลต…
ถึงขั้นที่เสิร์ฟพร้อมไวน์แดงโฮรมาเน กงติที่แต่ละขวดราคาสูงถึงสามหมื่นดอลลาร์ขึ้นไป
ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีบริกรที่อยู่ในชุดสูทหางนกนางแอ่นคอยให้บริการอยู่ด้านข้าง ให้ความรู้สึกประหนึ่งเป็นงานเลี้ยงของราชวงศ์ยุโรป
แม้แต่เจียงหรานยังตะลึง
ใช่ว่าเขาจะไม่เคยมีประสบการณ์ เขายังเคยโชคดีได้ร่วมงานเลี้ยงสไตล์ชาวฮั่นแบบจัดเต็มอย่างแท้จริงที่เมืองตี้ตู
แต่ประเด็นคือ ใครบ้างที่จะจัดงานเลี้ยงอลังการใหญ่โตหรูหราขนาดนี้ในเรือนสี่ประสาน
“ฉันต้องถ่ายรูป ฉันจะลงเวยปั๋ว” ลูกน้องล้วงโทรศัพท์ออกมา เกือบน้ำตาไหลแล้ว “เป็นครั้งแรกที่ฉันได้กินอาหารมิชลินสามดาว”
เจียงหรานทำหน้าไม่พอใจ
เขามองฟู่อวิ๋นเซินแล้วทำเสียงฮึดฮัด
พวกหน้าไม่อายที่ใช้หน้าตาหลอกคน
เขาไม่หลงกลหรอก
“พี่หราน ไม่กินเหรอ” ลูกน้องกินอย่างเอร็ดอร่อย เห็นเจียงหรานไม่ขยับก็เริ่มตะกละ “พี่ไม่กินผมขอนะ”
เขายื่นมือออกไปจับแต่ถูกเจียงหรานตี
“ไสหัวไป!” เจียงหรานหน้าบึ้ง “ใครบอกว่าฉันไม่กิน ของฉันก็ส่วนของฉัน ของนายก็เอามาให้ฉัน”
ลูกน้องทำหน้างง
กว่าจะรู้ตัวอีกทีจานของเขาก็ถูกเจียงหรานยกไปแล้ว
ลูกน้อง “…” เขาอยากร้องไห้
อิ๋งจื่อจินเท้าแขนมองพวกเด็กน้อยกินกันอย่างบ้าคลั่ง เธอหันไปมองชายหนุ่มพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ฉันสงสัยจริงๆ ว่าคุณเป็นใคร”
“อืม…” ฟู่อวิ๋นเซินเงียบไปเล็กน้อย “พี่ชายเป็นคนที่เกิดมาหน้าตาดี แถมยังรวย เลี้ยงเด็กน้อยไหว”
นิ่งไปชั่วขณะ จากนั้นก็พูดเสริมอย่างสุภาพ “เป็นคนดี”
“…”
…
เดือนมีนาคมผ่านพ้น ใกล้ถึงเทศกาลศิลปะแล้ว
แต่ละชั้นเรียนพากันส่งผลงานเข้าประกวด หลังจากที่สภานักเรียนรวบรวมเรียบร้อยก็จะเอาไปให้หมวดวิชาศิลปะ
นักเรียนในคลาสเด็กอัจฉริยะเข้าร่วมไม่มาก เพราะการเรียนสำคัญกว่าสำหรับพวกเขา
เว้นเสียแต่สนใจ ไม่อย่างนั้นพวกเขาไม่มีทางเสียเวลาให้กับเทศกาลศิลปะ
ดังนั้นการที่จงจือหว่านเข้าร่วมในครั้งนี้จึงทำให้นักเรียนในคลาสเด็กอัจฉริยะจำนวนไม่น้อยต่างตะลึง
ถ้าจงจือหว่านเข้าร่วม คนอื่นยังจะชนะได้อีกเหรอ
จงจือหว่านทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดพวกนี้ ไปที่ห้องทำงานของสภานักเรียน
ผลงานที่เข้าประกวดมีเยอะมาก แบ่งออกเป็นภาพเขียนอักษรพู่กัน ภาพวาดจีนโบราณ ภาพสีน้ำมัน ภาพพิมพ์ และอื่นๆ อีกหลายประเภท การนำมารวบรวมให้เป็นระเบียบไม่ใช่งานที่สบาย หัวหน้าชมรมหลายคนกับเหล่าสมาชิกกำลังยุ่งจนหัวหมุน
“จือหว่าน” หัวหน้าชมรมศิลปะทักทายแล้วทำงานต่อ
จงจือหว่านถามเหมือนไม่ตั้งใจ “ภาพเขียนอักษรพู่กันอยู่ตรงไหนเหรอ”
“ตรงนั้น จัดเสร็จแล้ว”
“อ่อ ขอดูหน่อยนะ”
จงจือหว่านเข้าไปเปิดๆ แล้วส่ายหน้า
เขียนอะไรกันน่ะ
พวกเชยไร้วัฒนธรรม
เธอไม่ควรลงประกวดเพราะอิ๋งจื่อจินเลยจริงๆ ใช้อารมณ์ลดตัวมาร่วมงานประกวดเทศกาลศิลปะ
แต่อักษรพวกนี้ถึงแม้จะเขียนได้งั้นๆ แต่ก็ย่อมดีกว่าของอิ๋งจื่อจิน
คนที่มาจากอำเภอบ้านนอกมีเหรอจะเขียนภาพอักษรเป็น
จงจือหว่านเปิดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ความสนใจก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเธอเห็นม้วนภาพเขียนอันหนึ่งกางออก
เป็นกลอนง่ายๆ บทหนึ่ง
แต่อักษรเต็มไปด้วยพลัง มีชีวิตชีวา สัดส่วนได้รูป
จงจือหว่านอึ้งไปชั่วขณะ มองอย่างไม่ละสายตา ดูชื่อที่มุมขวาล่าง
มือที่กำม้วนภาพนั้นเกร็งแน่น