ไม่นานก็มีคนขนอุปกรณ์เขียนภาพมาจากห้องศิลปะ กางโต๊ะบนเวทีที่ตรงหน้าที่นั่งแขกกิตติมศักดิ์
หลินสี่มองเด็กสาวด้วยความไม่พอใจ “ในเมื่อเธอพูดถึงขนาดนี้แล้ว งั้นก็จะให้โอกาสเธอสักครั้ง ขึ้นมาเขียนสิ”
ซิวอวี่โมโหทันที
“ไม่เป็นไร” มือของอิ๋งจื่อจินกดบ่าซิวอวี่ไว้เพื่อบอกว่าอย่าบุ่มบ่าม
เธอลุกขึ้นแล้วเดินขึ้นเวที
พอเห็นภาพนี้พวกนักเรียนที่อยู่ล่างเวทีก็เริ่มอยู่ไม่สุข
แต่ละคนยืนขึ้น แทบอยากจะขึ้นเวทีไปดู ตื่นเต้นกันมากทีเดียว บนหน้าประหนึ่งเขียนว่า ‘รอชมคนหน้าแตก’
เจียงหรานสงบสติอารมณ์ ข่มความหงุดหงิด
“มือที่ชอบใช้ความรุนแรงแบบนั้นจะเขียนอะไรออกมาได้”
มือที่ใช้เขียนอักษรไม่ใช่ว่าจะต้องดูแลปกป้องอย่างดีเหรอ
“ฉันก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน แต่พ่ออิ๋งทำเป็นทุกอย่างแน่นอน”
“…”
เจียงหรานรู้สึกว่าเขาปฏิเสธคำพูดนี้ไม่ได้
เพราะระยะนี้เขาอยู่ในช่วงสงบเสงี่ยมเจียมตัวมาตลอด
เขาจำต้องใจเย็นแล้วมองไปบนเวที
อีกด้านหนึ่ง จงจือหว่านขมวดคิ้ว สีหน้าสงสัย
เธอไม่เข้าใจ อิ๋งจื่อจินยังจะกล้าขึ้นไปทั้งที่ยอมรับว่าตัวเองโกง
เธอกับหลินสี่เป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน ย่อมรู้จักนิสัยของหลินสี่ดี
ปกติหลินสี่เป็นคนใจเย็น แต่ถ้าเจอเรื่องเกี่ยวกับศิลปะก็จะเข้มงวดมาก ขนาดเธอยังเคยโดนสั่งสอนไปหลายครั้ง
ครั้งนี้อิ๋งจื่อจินปะทะกับหลินสี่ ต่อไปก็อย่าหวังจะได้เหยียบวงการศิลปะแม้เพียงครึ่งก้าว
ตระกูลเศรษฐีกับวงการศิลปะเกี่ยวข้องกัน เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ผู้เฒ่าจงยังจะเอ็นดูลูกเลี้ยงที่สร้างตราบาปในวงการศิลปะได้อีกเหรอ
อิ๋งจื่อจินมองแท่นฝนหมึกก็พบว่าหมึกถูกฝนไว้เรียบร้อยแล้ว ลดขั้นตอนไปได้มาก
เธอเชิดหน้าขึ้น ชี้ไปที่ม้วนภาพเขียน “อันนี้เป็นมูลค่าเท่าไร”
หลินสี่ข่มความโกรธ “อย่างน้อยก็ห้าล้าน เขียนของเธอไป”
อิ๋งจื่อจินพยักหน้า “อืม จำไว้ด้วยนะ”
เธอก้มหน้า หยิบพู่กันขนหมาป่าออกมาจากกระบอก
ผู้ชมที่ดูถ่ายทอดสดต่างไม่เข้าใจ
[เธอหมายความว่าไง ให้หลินสี่จำอะไร]
[ไม่เข้าใจ แต่เธอก็กล้าจริงนะ เอาแค่ความกล้าหาญนี้ก็สมควรได้รับการปรบมือ]
[กล้าหาญอะไร ขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้มากกว่า เดี๋ยวถ้าเขียนออกมาไม่ได้คงหน้าแตกยับเยิน]
หลินสี่มองด้วยสายตาเย็นชาอยู่ข้างๆ
ที่ด้านหลังของเขา ผู้อำนวยการมองอาจารย์หัวหน้ากลุ่มวิชาศิลปะ “ลงโทษไล่ออกไปหารือตั้งแต่เมื่อไร ทำไมผมที่เป็นผู้อำนวยการถึงไม่รู้เรื่องล่ะ”
“เรื่องแค่นี้ต้องรบกวนผู้อำนวยการด้วยเหรอครับ” อาจารย์หัวหน้ากลุ่มวิชาศิลปะยิ้ม “ทุจริต แถมยังเล่นถึงหัวอาจารย์เว่ยโฮ่ว จะไม่ไล่ออกได้เหรอครับ”
ผู้อำนวยการขมวดคิ้ว “เรื่องนี้จะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่”
“เธอก็กำลังเขียนอยู่ไม่ใช่เหรอครับ” อาจารย์หัวหน้ากลุ่มวิชาศิลปะไม่คิดแบบนั้น “เดี๋ยวผู้อำนวยการดูก็รู้แล้ว เดิมทีเธอก็เป็นแค่เด็กที่มาจากบ้านนอก แล้วจะ…”
ทันใดนั้นเสียงได้หยุดลง
คอมเมนต์บนหน้าจอถ่ายทอดสดก็หยุดอย่างกะทันหัน
เพราะเวลานี้ ใครก็ตามที่จับตาดูบนเวที ต่างเห็นเด็กสาวยกมือซ้ายขึ้น จับพู่กันขนหมาป่าอีกอัน
เธอใช้แท่งไม้ทับกระดาษสำหรับเขียนอักษรพู่กันโดยเฉพาะไว้ ถอยหลังหนึ่งก้าวราวกับกำลังสังเกตอะไร จากนั้นถึงโน้มตัวลง
วินาทีถัดมามือทั้งสองที่จับพู่กันก็ขยับพร้อมกัน
[…]
[โอ้โห เขียนสองมือพร้อมกันเหรอ บ้าไปแล้ว เรื่องที่ขนาดหลินสี่ยังทำไม่ได้ ปีนี้เธอเพิ่งจะอายุเท่าไร]
[เร่เข้ามา! ศิลปะถูกคนแบบนี้เหยียบย่ำแล้ว!]
[พี่ช่างภาพ อย่าถ่ายเธอสิ ถ่ายที่ภาพเขียน เร็วเข้าๆ ให้พวกเราดูหน่อยว่าเธอเขียนได้ขยะแค่ไหน]
[ทุกคนใจเย็นๆ รอเธอเขียนเสร็จเดี๋ยวก็ได้เห็นแล้วว่าเป็นยังไง]
จงจือหว่านส่ายหน้าอีกครั้ง ผิดหวังยิ่งกว่าเดิม
มือซ้ายสัมพันธ์กับสมองซีกขวา มือขวาสัมพันธ์กับสมองซีกซ้าย
เขียนด้วยสองมือพร้อมกัน แถมยังต้องเขียนให้ได้ดี มันยากเสียยิ่งกว่ายาก
ยังไงซะการแยกประสาทในสมองก็มีอย่างจำกัด ถ้าไม่เคยฝึกมาไม่มีทางทำได้
บรรดาผู้ทรงคุณวุฒิในแวดวงศิลปะที่อยู่บนเวทีต่างก็ตะลึงมาก แต่พวกเขาอยู่ค่อนข้างห่าง มองไม่เห็นว่าเด็กสาวเขียนอะไร
เพียงเวลาแค่ไม่กี่สิบวินาทีอิ๋งจื่อจินก็วางพู่กันลง
“เขียนเสร็จแล้วเหรอ” หลินสี่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี พูดประชดปนโมโห “การเขียนอักษรห้ามใจร้อน เธอเขียนเสร็จเร็วขนาดนี้จะเขียนอะไรออกมาได้”
ขณะพูดก็เดินขึ้นหน้า หยิบกระดาษที่เขียนขึ้นมาดู
พอก้มดูสีหน้าของเขาก็ชะงักในชั่วขณะ
ตากล้องถ่ายตามหลินสี่อยู่ตลอด ขยายสีหน้าของเขาอย่างชัดเจน ถึงขนาดที่มองเห็นแม้กระทั่งกล้ามเนื้อที่กระตุกเล็กน้อย
[ดูเหมือนหลินสี่จะตะลึง เขาเห็นอะไรน่ะ]
[คงไม่ได้เขียนได้น่าเกลียดมากหรอกนะ]
[สงสัยจัง ขอพวกเราดูบ้างสิว่าเป็นไง]
หลินสี่มองอักษรที่อยู่บนกระดาษ ดวงตาเบิกโพลงอย่างรุนแรง แม้แต่นิ้วก็เริ่มสั่น รู้สึกเหลือเชื่อมาก
กระดาษหนึ่งแผ่นแบ่งเป็นสองกรอบ
ด้านหนึ่งเป็นอักษรแบบจ้วน อีกด้านหนึ่งเป็นอักษรแบบข่าย
รูปแบบอักษรที่แตกต่างกัน สไตล์ก็ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง
อักษรมีชีวิตชีวา ไหลลื่นไม่มีสะดุด
แต่ละเส้นคมชัดได้สัดส่วน
หากไม่ได้เห็นกับตา หลินสี่ไม่กล้าเชื่อว่านี่เป็นฝีมือของเด็กมัธยมปลายอายุสิบเจ็ดคนนี้
แถมยังเป็นการเขียนโดยใช้สองมือพร้อมกัน
เป็นไปได้ยังไง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ภาพเขียนอักษรนี้ดูทรงพลัง ราวกับมีสายฟ้าพุ่งออกมาจากในอักษร ชวนให้ตะลึงงัน
ทำให้หลินสี่รู้สึกกดดันอย่างหนัก แทบจะไม่กล้าจ้องนานเกินไป
สิบกว่าวินาทีผ่านไป เขายังคงยืนอึ้งอยู่ที่เดิม
ตากล้องเดินขึ้นหน้า เขาเองก็ตกใจ กระซิบเตือน “คุณหลินครับ ช่วยยกขึ้นหน่อยครับ กล้องจะจับภาพ”
หลินสี่ยังคงอึ้งอยู่ แต่ก็กางกระดาษออก
ภาพเขียนอักษรสองภาพปรากฏบนหน้าจอใหญ่ เผยโฉมให้ทุกคนได้เห็นอย่างชัดเจน
จงจือหว่านกำลังหัวเราะพูดคุยกับหัวหน้าชมรมศิลปะ เวลานี้ได้เงยหน้ามองไป
รอยยิ้มหยุดชะงัก สมองว่างเปล่า “…”
เสียงที่อยู่ข้างหูราวกับหายไปหมดในชั่วขณะนั้น
เกิดความเงียบขึ้นภายในงานอีกครั้ง
คอมเมนต์บนหน้าจอถ่ายทอดสดประเดประดังอย่างกะทันหัน
[โอ้โห ภาพนี้มัน…]
[พูดตามตรง พอเทียบกันแบบนี้ ภาพเขียนของเว่ยโฮ่วดูเป็นขยะไปเลย]
[เขียนด้วยสองมือพร้อมกันแบบรวดเดียวจบ แถมเขียนเป็นอักษรสองแบบ แบบนี้หรือเปล่าที่เรียกว่าโคตรเทพ]
[เธอเขียนได้ดีขนาดนี้ยังต้องทุจริตอีกเหรอ]
[อย่าหาว่าฉันใส่ร้ายเลยนะ ทำไมฉันสงสัยว่ามีคนแอบสับเปลี่ยนผลงานของเธอล่ะ จงใจใส่ร้ายว่าเธอทุจริต]
เมื่อครู่แดกดันกันมากขนาดไหน ตอนนี้ก็กลับลำกันมากขนาดนั้น โดยเฉพาะบรรดาผู้ชมที่รอดูเหตุการณ์พลิกมาตลอด
[ขอโทษนะ หลินสี่คลื่นลูกใหม่ที่พวกเธอว่าน่ะ…ฉันชอบไม่ลง ถึงขั้นเกลียดเลยล่ะ]
[เอาแค่ท่าทางเมื่อกี้ของเขา อวดดีมากไม่ใช่เหรอ งั้นก็ให้หลินสี่เขียนตอนนี้บ้างสิ เขาอายุยี่สิบแปดแล้วใช่ไหม เด็กคนนี้อายุสิบเจ็ดแถมใช้สองมือเขียน ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องเพิ่มเขียนด้วยสองเท้าหรือเปล่า]
[มือเท้าเขียนพร้อมกันเหรอ ประเมินหลินสี่สูงไปแล้ว พวกเธอบอกว่าตอนหลินสี่อายุสิบสองขายภาพเขียนออกไปได้ในราคาห้าแสน แต่ทำไมฉันได้ยินมาว่าคนที่ซื้อเป็นปู่ของเขาล่ะ]
[ว้าว นี่สินะเบื้องหลัง! เมื่อกี้ฉันได้ยินอิ๋งจื่อจินถามหลินสี่ว่า ‘ขยะ’ นั่นเท่าไร หลินสี่บอกห้าล้าน งั้นภาพที่เธอเขียนไม่สิบล้านไปเลยเหรอ]
[หลินสี่ต่างหากที่ตบหน้าตัวเอง ว่ากันตามตรง ถ้าเขาแอบไปเคลียร์กับนักเรียนคนนั้นเป็นการส่วนตัว ถ้านักเรียนไม่ยอมปรับปรุงตัวค่อยบอกโรงเรียนให้ไล่ออกก็ยังไม่สาย อีกอย่าง เขาก็ไม่ใช่อาจารย์ชิงจื้อด้วยรึเปล่า]
เนื่องจากนักเรียนทั้งมอต้นและมอปลายรวมกันมีเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีเจ้าหน้าที่ครูอาจารย์ ข้างเวทีสองฝั่งจึงมีหน้าจอขนาดใหญ่ให้รับชมด้วย
บนหน้าจอเป็นภาพถ่ายทอดสด อีกทั้งผู้เข้าร่วมประกวดยังเป็นเยาวชน ทางโรงเรียนถ่ายทอดให้ชมไปพร้อมกันจึงไม่ได้มีการปิดคอมเมนต์บนหน้าจอ
คอมเมนต์ที่เยาะเย้ยอิ๋งจื่อจินก่อนหน้านี้หายไปนานแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงคอมเมนต์ประชดหลินสี่ที่อวดดีเกินไป
สมองของจงจือหว่านเกิดเสียงอื้อ แทบไม่ได้ยินว่าคนรอบตัวพูดอะไรกัน
ริมฝีปากของเธอค่อยๆ ซีดลง ใบหน้าก็ซีดเผือด
เป็นไปได้ยังไง
อิ๋งจื่อจินเขียนออกมาได้จริงเหรอ
ไม่ได้โกหกหรอกเหรอ
“คุณหลินครับ ไม่ทราบว่าทำไมคุณถึงมั่นใจว่านักเรียนอิ๋งจื่อจินขโมยผลงานของอาจารย์เว่ยโฮ่วมาเหรอครับ” ผู้อำนวยการมองอาจารย์หัวหน้ากลุ่มวิชาศิลปะด้วยสายตาเย็นชา “แต่ตอนนี้เรื่องกระจ่างแล้ว คุณหยามศักดิ์ศรีของเธอ ควรจะขอโทษนักเรียนอิ๋งหรือเปล่า”
[โอ๊ยๆๆ ฉันชอบผู้อำนวยการคนนี้ ไม่ใช่แบบที่เห็นแก่หน้าตัวเอง ไม่ใช่พวกชอบประจบคนมีอิทธิพลด้วย]
[หลินสี่ควรขอโทษ โชคดีที่สาวน้อยจิตใจแข็งแกร่ง ฉันยังหลอนข่าวนักเรียนโดดตึกตายเมื่อหลายวันก่อนอยู่เลย]
หลินสี่ตัวแข็งทื่อ รู้สึกอายมาก
แต่เขาไม่ได้ขอโทษ กลับพูดว่า “แต่ภาพเขียนอักษรพู่กันภาพนี้เป็นของอาจารย์เว่ยโฮ่วจริงๆ”
ต่อให้อิ๋งจื่อจินเขียนได้ดีแค่ไหน ก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าไม่ได้แอบขโมยมา
ผู้อำนวยการยังไม่ทันได้พูด ทันใดนั้นประธานสมาคมศิลปะแห่งฮู่เฉิงก็ลุกขึ้น สีหน้าตกใจ “ประธานเซิ่ง”
อิ๋งจื่อจินหันหน้าไป
ห่างออกไปไม่กี่เมตร เซิ่งชิงถังสวมหมวกฟางกับรองเท้าแตะ กำลังเดินมาทางที่นั่งแขกผู้ทรงคุณวุฒิ
ประธานสมาคมศิลปะแห่งเมืองฮู่เฉิงเข้ามาต้อนรับ “ประธานเซิ่งมาได้ยังไงครับ”
หากพูดถึงสถานะในวงการศิลปะ เซิ่งชิงถังอยู่ในอันดับต้นๆ
ถึงแม้เขาจะถอนตัวจากสมาคมภาพเขียนอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนไปแล้ว แต่คนอื่นๆ ก็ยังคงเรียกเขาว่าประธานเซิ่งด้วยความเคารพ
“มาดูน่ะ” เซิ่งชิงถังส่ายมือ “วันนี้ว่างพอดี”
เขาไม่มีทางบอกหรอกว่า เขาอยากอาศัยหน้าแก่ๆ ของตัวเองมาเอาภาพเขียนอักษรพู่กันของหมออิ๋งกลับไปด้วย
ภาพที่ดีขนาดนั้นเอามาประกวดเทศกาลศิลปะทำไม
ควรให้เขาใส่กรอบไว้แล้วแขวนที่ผนังมองดูทุกวัน
คนพวกนี้มีเหรอจะเข้าใจแก่นแท้ของภาพ
ถุย!
แต่เมื่อกี้เขาได้ยินอะไรนะ
ผู้เฒ่าเซิ่งโมโหแล้ว
หลินสี่ก็ตกใจ “ผู้อาวุโสเซิ่ง”
เซิ่งชิงถังกลับไม่สนใจเขา แค่ชี้ไปที่ม้วนภาพเขียนแล้วพูด “นายบอกว่าภาพเขียนม้วนนี้เป็นของเว่ยโฮ่วอย่างนั้นเหรอ”