[โอ๊ย งงไปหมดแล้ว สรุปว่าภาพนี้ก็เป็นผลงานของเธอเหรอ]
[แล้วเธอยังจะบอกว่าภาพนี้ขยะ ไม่เข้าใจ]
[คอมเมนต์ก่อนหน้า เธอไม่เข้าใจสินะ ฉันเรียนจิตรกรรมอยู่คณะศิลปกรรม ทุกครั้งที่กลับไปดูผลงานเก่าของตัวเองยังรู้สึกว่าขยะเลย]
[ฉันก็ด้วยๆ ทนดูไม่ได้เลยล่ะ แถมยังคิดด้วยว่าทำไมฉันถึงวาดภาพอัปลักษณ์แบบนี้ออกมาได้]
[สุดยอดๆ ฉันรักเธอคนนี้ หาว่าฉันไม่ได้เป็นคนเขียนใช่ไหม งั้นฉันก็จะบอกว่าภาพดีๆ นี่มันเป็นขยะ จากนั้นก็เขียนอีกภาพให้ดูสดๆ เป็นการตบหน้า เจ็บไหมล่ะ]
[เจ็บๆๆ หลินสี่หน้าเขียวแล้ว]
หลินสี่มีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย มีความทะนงตน
เขาออกจากอ้อมอกของอาจารย์เร็ว แถมอาจารย์ของเขายังเป็นนักเขียนภาพเขียนอักษรพู่กันที่โด่งดังรุ่นเดียวกับเซิ่งชิงถัง
อีกทั้งนี่เป็นครั้งแรกที่ถูกเซิ่งชิงถังสั่งสอนแบบนี้ แถมยังถูกคนจำนวนมากพูดแบบนี้ใส่
เพียงแค่เพราะการ ‘ทุจริต’
หลินสี่ไม่ใช่คนโง่ เขาย่อมนึกอะไรได้
กวาดตามองก็เจอจงจือหว่านที่นั่งอยู่ล่างเวที
สายตาเย็นชาสุดขั้ว
จงจือหว่านหลบสายตาของหลินสี่อย่างลนลาน ใบหน้าซีดยิ่งกว่าเดิม ตัวก็เริ่มสั่น
หัวหน้าชมรมศิลปะสังเกตเห็นความผิดปกติของเธอจึงถามด้วยความเป็นห่วง “จือหว่าน เธอไม่เป็นไรนะ”
จงจือหว่านฝืนยิ้ม “ฉันไม่เป็นไร”
เธอหยิกมือ มองไปบนเวที
เซิ่งชิงถังมีสถานะที่สูงมากในวงการศิลปะ แม้แต่ผู้เฒ่าจงยังเชิญมาไม่ได้
แล้วคนอย่างอิ๋งจื่อจินรู้จักเซิ่งชิงถังด้วยเหรอ
แถมยังเชิญเซิ่งชิงถังให้ช่วยดูผลงานได้ด้วย
ล้อเล่นอะไรน่ะ
เธอเรียนเขียนอักษรพู่กันมาสิบสี่ปียังฝีมือแค่พื้นฐานในสายตาของนักเขียนอักษรพู่กัน
อิ๋งจื่อจินอยู่อำเภอชิงสุ่ยตั้งแต่เด็ก ไม่มีแม้กระทั่งอาจารย์ก็สามารถเขียนออกมาได้ดีขนาดนี้
มันไม่ยุติธรรมเกินไปหรือเปล่า
จงจือหว่านคลายมือออก จากนั้นก็กำชุดนักเรียนแน่น นั่งไม่เป็นสุข
แต่เธอเป็นหัวหน้าชมรมในสภานักเรียน จะออกไปก็ไม่ได้
ทำได้เพียงบากหน้านั่งอยู่ที่นี่ สะกดกลั้นความอิจฉาที่อยู่ในใจ ทุกข์ทรมานเหลือเกิน
เว่ยโฮ่วไม่ต่างจากจงจือหว่าน
เซิ่งชิงถังยิงคำถามใส่อย่างต่อเนื่อง เล่นเอาเขาตั้งรับไม่ทัน ไม่เหลือทางให้รอดแม้แต่น้อย
โดยเฉพาะเรื่องที่เขายังยอมรับต่อหน้าทุกคนอีกว่านั่นเป็นผลงานของเขา พอหลักฐานมาก็เหมือนเป็นสิ่งชี้ชะตา
“เว่ยโฮ่วเอ๋ยเว่ยโฮ่ว นึกไม่ถึงว่านายจะแอบขโมยผลงานของนักเรียนอิ๋ง” เซิ่งชิงถังโมโหยิ่งกว่าเดิม
“แถมยังประทับตราของตัวเอง นายคิดว่าตัวเองเป็นใคร”
“ผมไม่ได้ขโมย!” เว่ยโฮ่วอดกลั้นจนหน้าแดงก่ำ เขาแก้ตัว “มีคนให้ผมมา”
บนหน้าจอด่าแทนเซิ่งชิงถังกันแล้ว
[ยอมใจ คนอื่นให้ก็เอาเหรอ หน้าใหญ่ขนาดนั้นเลย]
[ลองสืบเว่ยโฮ่วกับลูกศิษย์ของเขาดูเถอะ สงสัยวีรกรรมคงไม่น้อย]
[จริงสิ พวกคนที่ก่อนหน้านี้อวยเว่ยโฮ่วล่ะ ทำไมไม่โผล่หน้าออกมา เว่ยโฮ่วไม่ใช่ใครที่ไหน เว่ยโฮ่วคือขยะของความอัปยศ]
[เว่ยโฮ่วห่วยกว่าสาวมัธยมอีก ดูภาพเขียนของนักเรียนสิ นักเลงคีย์บอร์ดเห็นกันหรือยัง]
“ไสหัวไป!” เซิ่งชิงถังไม่อยากฟังเว่ยโฮ่วแก้ตัวแม้แต่คำเดียว “อย่ามาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ตรงนี้
เจ้าหน้าที่สองคนเข้ามาประคองเว่ยโฮ่วออกไป
“พวกคุณจัดงานต่อเถอะ” เซิ่งชิงถังยังคงโมโหไม่หาย “ผมจะไปแทะเม็ดแตงให้หายโมโหหน่อย”
ประธานสมาคมศิลปะแห่งเมืองฮู่เฉิงรีบพูดขึ้น “เดี๋ยวผมพาไปพักผ่อนในห้องนะครับ”
ปรากฏว่าเพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าวเซิ่งชิงถังก็วกกลับมาอย่างกระฟัดกระเฟียด “ภาพนี้ผมเอาแล้ว พวกคุณห้ามคิดแตะต้อง”
ทุกคน “…”
พวกเขาก็ไม่กล้าแตะต้องเหมือนกัน
อิ๋งจื่อจินหาวออกมา หันตัวเดินลงจากเวที กลับไปยังที่นั่งของตัวเอง
พอเธอนั่งลง เงยหน้าขึ้นก็เห็นซิวอวี่กับพวกลูกน้องอยู่ห่างๆ ด้วยความยำเกรง
“…”
อิ๋งจื่อจินขมวดคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงเรียบเฉย เจือไปด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกลัว”
“กลัว กลัวไม่ไหวแล้ว” ซิวอวี่กระชับชุดนักเรียนแน่น “พ่ออิ๋ง เธอจะเทพเกินไปแล้ว ไม่นับถือไม่ได้หรอก”
ต้องยอมรับเลยว่า จิตใจแข็งแกร่งจริงๆ
อีกทั้งเธอถึงขั้นสงสัยว่าพ่ออิ๋งของพวกเขาตั้งใจวางกับดักเพื่อรอใครบางคนตกลงไป
จากนั้นเว่ยโฮ่วก็หลงกลเต็มๆ
“สรุปว่าเธอเป็นคนเขียนภาพนั้นเหรอ” เจียงหรานหันมา “ทำไมถึงเคยไปอยู่ในมือเว่ยโฮ่วได้”
อิ๋งจื่อจินสวมหมวกเบสบอลอีกครั้ง ดึงลงมาปิดครึ่งหน้า เผยให้เห็นแค่คาง “ใครจะไปรู้”
“ต้องสืบให้กระจ่าง” เจียงหรานแสยะยิ้ม “ฉันอยากจะรอดูว่า…”
ซิวอวี่พูดต่อ “ใครที่มันใส่ร้ายพ่ออิ๋งของพวกเรา”
เจียงหราน “…”
พ่ออิ๋งของพวกเราอะไรกัน
ทำอย่างกับเขาเป็นเด็กใต้อาณัติ
…
หลังจากละครฉากใหญ่ผ่านพ้น พิธีเปิดถึงได้เริ่มขึ้น
ที่หน้าโรงเรียน จงมั่นหวาก็มาเช่นกัน
เธอลงจากรถ ยังโมโหจนหัวหมุน เกือบเดินชนต้นไม้
เป็นพ่อบ้านที่มือไวคว้าไว้ได้ทันเวลา “คุณนายระวังครับ”
จงมั่นหวาตั้งสติอยู่สักพัก “พิธีเปิดจะเสร็จตอนไหน”
เธอไม่มีทางเข้าไปตอนนี้ให้คนอื่นรู้ว่าเธอเป็นแม่ของอิ๋งจื่อจิน
“ถ้าเริ่มเก้าโมง สิบโมงครึ่งก็น่าจะเสร็จแล้วครับ” พ่อบ้านเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ “ตอนนี้เก้าโมงครึ่ง คุณนายจะไปนั่งรอที่ร้านกาแฟด้านข้างก่อนไหมครับ”
“ไปสิ” จงมั่นหวาพยักหน้า
เธอจะไปรอที่ร้านกาแฟจนพิธีเปิดเสร็จสิ้น จากนั้นก็จะเข้าไปกระชากตัวอิ๋งจื่อจินออกมา
โกงการประกวด!
จงมั่นหวาสีหน้าแย่มาก
ลูกสาวแท้ๆ ของเธอจงมั่นหวาถึงกับกล้าทำเรื่องชั่วช้าแบบนี้ได้
แบบนี้พวกสตรีไฮโซในวงการเศรษฐีจะมองเธอยังไง
“คุณนายอิ๋ง”
มีเสียงเรียกเธอจากด้านหน้า
ฝีเท้าของจงมั่นหวาชะงัก ความคิดแรกคืออยากหลบ
แต่ก็ไม่ทันแล้ว
สตรีไฮโซคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเซอร์ไพรส์ “คุณนายอิ๋ง ใช่คุณจริงด้วย”
จงมั่นหวาตัวแข็งไปชั่วขณะ ทำได้เพียงตอบกลับ “บังเอิญจังนะคะ”
“คุณนายอิ๋งคงจำฉันไม่ได้แล้ว” สตรีไฮโซก็ไม่แคร์ ยังคงทำตัวสนิทสนม “ฉันเคยเจอคุณนายอิ๋งตอนงานเลี้ยงปีใหม่ค่ะ”
จงมั่นหวามีสีหน้าเย็นชา
คนที่เธอจำไม่ได้ล้วนเป็นตระกูลที่เธอไม่สนใจ
เธอหมดความสนใจที่จะเสวนากับคนคนนี้ อยากเดินออก
“คุณนายอิ๋งเก่งจริงๆ เลยนะคะ” สตรีไฮโซกลับพูดขึ้นในเวลานี้ “นึกไม่ถึงว่าลูกเลี้ยงของคุณจะโดดเด่นได้ขนาดนี้ คุณสอนมาดีจริงๆ ค่ะ”
จงมั่นหวาอึ้งทันที สงสัยว่าตัวเองฟังผิด “คุณว่าไงนะคะ”
คำพูดแบบนี้เธอเคยได้ยินบ่อย
อย่างไรเสียเสี่ยวเซวียนก็สร้างเกียรติให้เธอตลอด ตราบใดที่เป็นคนรู้จักก็จะชมเสมอ
แต่อิ๋งจื่อจินน่ะเหรอ
ไม่สร้างความเดือดร้อนให้เธอก็ขอบคุณมากแล้ว ยังจะโดดเด่นอะไรอีก
“คุณนายอิ๋งไม่ทราบเหรอคะ” สตรีไฮโซตกใจ “คุณหนูอิ๋งจื่อจินเป็นลูกเลี้ยงของคุณนายไม่ใช่เหรอคะ ก็เมื่อกี้ ฉันดูถ่ายทอดสด เธอ…”
“ขอโทษนะคะ ฉันรีบ” จงมั่นหวาพูดขัดจังหวะ “ขอตัวก่อนค่ะ”
พูดจบก็รีบร้อนเดินออกไป แต่ไม่ได้เข้าร้านกาแฟ เธอเดินไปขึ้นรถ
ทั้งยังปิดประตูรถ ท่าทางประหนึ่งห้ามคนแปลกหน้าเข้าใกล้
สตรีไฮโซพยายามเข้าหา ปรากฏว่าถูกเมินใส่ สีหน้าก็ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไร
“อุตส่าห์พูดไปตามมารยาทว่าเธอสั่งสอน คิดว่าตัวเองสั่งสอนจริงๆ หรือไง ทำเป็นยโส…”
สตรีไฮโซทำเสียงฮึดฮัดแล้วเดินออกไป
…
ภายในห้องพักผ่อน
ตอนบ่ายสี่รายชื่อของคนได้รับรางวัลจะถูกติดที่บอร์ดประกาศ
วันรุ่งขึ้นถึงจะเป็นการมอบถ้วยรางวัลกับเงินรางวัลของทั้งโรงเรียน
“ประธานเซิ่งครับ ในเมื่อประธานเซิ่งมาแล้ว ไม่สู้พิธีมอบรางวัลพรุ่งนี้ให้ท่านขึ้นเป็นเกียรติดีไหมครับ” ประธานสมาคมศิลปะแห่งฮู่เฉิงพูดด้วยความนอบน้อม “ครั้งนี้นอกจากนักเรียนที่มีพรสวรรค์จำนวนไม่น้อยแล้ว ประธานเซิ่งจะได้ลองดูด้วยว่ามีนักเรียนที่ถูกใจไหม”
“ไม่มา ไม่ว่าง” เซิ่งชิงถังปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด “ฉันต้องกลับไปปลูกผัก”
“…”
ประธานสมาคมศิลปะแห่งเมืองฮู่เฉิงไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี จำต้องพูดไปว่า “ก็ได้ครับ แล้วเรื่องอาจารย์เว่ยโฮ่ว…”
“เรื่องนี้ไม่จบแน่!” เซิ่งชิงถังโมโหขึ้นมาอีก “ฉันไม่มีทางปรานี กล้าทำก็ต้องกล้ายอมรับผลที่ตามมา”
ประธานสมาคมศิลปะแห่งเมืองฮู่เฉิงเข้าใจแล้ว
ท่าทีของเซิ่งชิงถังก็ถือเป็นท่าทีการตัดสินใจของสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีน
ถือว่าอนาคตของเว่ยโฮ่วดับแล้ว
ประธานสมาคมศิลปะแห่งเมืองฮู่เฉิงครุ่นคิดแล้วหยั่งเชิงถาม “ประธานเซิ่งครับ งั้นนักเรียนอิ๋งจื่อจินคนนั้น ประธานเซิ่งอยากรับเธอเป็นศิษย์ไหมครับ”
“ว่าไงนะ” เซิ่งชิงถังตะลึง “นายคิดว่าฉันคู่ควรเป็นอาจารย์ของเธอเหรอ”
ประธานสมาคมศิลปะแห่งฮู่เฉิง “…”
งั้นก็ไม่จำเป็นแล้ว
“รีบออกไปๆ” เซิ่งชิงถังไล่ด้วยความรำคาญ “ฉันยังแทะเม็ดแตงไม่หมดเลยนะ”
ประธานสมาคมศิลปะแห่งเมืองฮู่เฉิงรีบไสหัวออกไปอย่างเร็ว
…
อีกด้านหนึ่ง
เหล่าผู้ทรงคุณวุฒิในวงการศิลปะและคณาจารย์กลุ่มวิชาศิลปะได้แบ่งกลุ่มกัน กำลังตัดสินผลงานของแต่ละประเภท
กลุ่มภาพเขียนอักษรพู่กันแทบไม่ต้องดู ขนาดเซิ่งชิงถังยังเอ่ยปากชมได้ขนาดนั้น ถ้าไม่ให้อิ๋งจื่อจินได้ที่หนึ่งแล้วยังจะให้ใครได้
“น่าเสียดาย” อาจารย์ศิลปะหยิบภาพเขียนอักษรพู่กันภาพหนึ่งขึ้นมา “จงจือหว่านก็เขียนใช้ได้ ถ้าครั้งนี้ไม่มีอิ๋งจื่อจิน รางวัลที่หนึ่งต้องเป็นของเธอแน่นอน”
“จะเทียบกันได้ยังไง” อาจารย์ศิลปะอีกคนหนึ่งพูด “ผลงานของจงจือหว่านใช้ได้ก็จริง แต่ก็แค่ในระดับพื้นฐาน ยังห่างชั้นกับหลินสี่อีกเยอะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเทียบกับอิ๋งจื่อจินเลย”
นึกไม่ถึงว่าอิ๋งจื่อจินอายุยังน้อยกลับเขียนออกมาได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้
แม้แต่เซิ่งชิงถังยังตะลึง พรสวรรค์เต็มเปี่ยมจริงๆ
ผ่านไปสักพักอาจารย์หัวหน้ากลุ่มวิชาศิลปะก็เปิดประตูเข้ามา
เขาทักทายเหล่าอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิตามมารยาทก่อนแล้วถึงถามขึ้น “ได้รายชื่อคนชนะหรือยัง”
“ได้แล้ว” พวกอาจารย์ลังเลกันเล็กน้อย “ก็แค่รายชื่อคนได้รับรางวัลปีนี้ค่อนข้างพิเศษหน่อยน่ะค่ะ”
“พิเศษยังไงเหรอ” อาจารย์หัวหน้ากลุ่มวิชาศิลปะรับมาแล้วเริ่มดูตั้งแต่หน้าแรก
สายตาชะงักทันที
ภาพเขียนอักษรพู่กัน : รางวัลที่หนึ่ง (หนึ่งรางวัล) นักเรียนชั้นอิ๋งจื่อจิน มอห้าทับเก้า
จิตรกรรมจีนโบราณ : รางวัลที่หนึ่ง (หนึ่งรางวัล) นักเรียนชั้นอิ๋งจื่อจิน มอห้าทับเก้า
ภาพพิมพ์ : รางวัลที่หนึ่ง (หนึ่งรางวัล) นักเรียนชั้นอิ๋งจื่อจิน มอห้าทับเก้า
ภาพสีน้ำมัน : รางวัลที่หนึ่ง (หนึ่งรางวัล) นักเรียนชั้นอิ๋งจื่อจิน มอห้าทับเก้า