ภาพสเก็ตช์…
อาจารย์หัวหน้ากลุ่มวิชาศิลปะอ่านไปเรื่อยๆ ก็เข้าสู่ห้วงความเงียบ ตะลึงจนพูดไม่เป็นแล้ว
“คือว่า การประกวดทุกรายการ นักเรียนอิ๋งจื่อจินกวาดรางวัลที่หนึ่งหมดทุกรายการเลยค่ะ” หนึ่งในอาจารย์ที่เป็นกรรมการตัดสินกระแอมหนึ่งที “ก็เลยบอกว่ามันค่อนข้างพิเศษค่ะ”
การประกวดที่ผ่านๆ มาก็เคยมีดาวเด่นปรากฏอยู่ไม่น้อย แต่อย่างมากสุดก็แค่กวาดรางวัลชนะเลิศไปได้สามรายการ
ได้รางวัลชนะเลิศสักหนึ่งรายการก็ถือว่ายากมากแล้ว
กวาดรางวัลที่หนึ่งหมดทุกรายการยิ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้
อย่างไรเสียย่อมมีทักษะที่ถนัดเป็นพิเศษ ไม่มีใครถนัดไปทั้งหมด
แต่ครั้งนี้กลับมีนักเรียนที่กวาดรางวัลชนะเลิศได้หมดจริงๆ
นี่ใช่มนุษย์เหรอ
เหล่าอาจารย์และผู้ทรงคุณวุฒิในวงการศิลปะที่เป็นกรรมการตัดสินต่างก็เคยดูผลงานกันหมด พูดไม่ออกเลยจริงๆ
ให้รางวัลชนะเลิศยังถือว่าต่ำไปด้วยซ้ำ
อาจารย์หัวหน้ากลุ่มวิชาศิลปะเงียบไปสักพักถึงพูดด้วยสีหน้าเหม่อลอย “เอ่อ อีกเดี๋ยวเอาไปติดที่บอร์ดประกาศนะครับ”
…
พิธีเปิดเสร็จสิ้น เทศกาลศิลปะครั้งนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับนักเรียนส่วนใหญ่แล้ว
นักเรียนหลายคนสะพายกระเป๋าหนังสือเฮโลกันออกจากโรงเรียน
ก่อนไปยังไม่ลืมวิ่งไปทำระริกระรี้อวดหน้าอาคารเรียนของเด็กมอหก
เล่นเอาพวกนักเรียนมอหกโมโหจนอยากเขวี้ยงปากกาใส่ แต่ช่วยไม่ได้ การสอบเข้ามหาวิทยาลัยกำลังใกล้เข้ามา พวกเขาจำต้องทำแบบฝึกหัดข้อสอบต่อ
เวินทิงหลานไม่ได้อยู่ในห้องเรียน
เขาเป็นนักเรียนที่ชิงจื้อรับมาโดยเฉพาะ มีสิทธิพิเศษไม่น้อยเลยทีเดียว
ทางชิงจื้อถึงขั้นเคยไปที่อำเภอชิงสุ่ยเป็นการพิเศษเพราะเขา อยากให้เขามาอยู่คลาสเด็กอัจฉริยะ
ขอเพียงแต่สุดท้ายเวินทิงหลานเข้าร่วมการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เรื่องอื่นก็ไม่เป็นไร
ดังนั้นต่อให้เป็นการสอบกลางภาคหรือปลายภาค เวินทิงหลานจะไม่สอบก็ได้
ใช่ว่าจะไม่มีนักเรียนในคลาสเด็กอัจฉริยะที่บ่นเรื่องนี้
แต่ช่วยไม่ได้ เวินทิงหลานสอบได้คะแนนเต็มแม้กระทั่งข้อสอบในเน็ตที่นักเรียนคลาสเด็กอัจฉริยะยอมรับว่าหินสุดๆ
พวกเขาเป็นเด็กเรียน แต่เวินทิงหลานเก่งถึงขั้นประหลาด
จึงทำได้เพียงหุบปากไว้
ดังนั้นในขณะที่นักเรียนคนอื่นกำลังนั่งทำโจทย์ เวินทิงหลานก็กำลังพักผ่อนอยู่ที่ระเบียงยาวกับผู้เฒ่าจง
ผู้เฒ่าจงมาถึงโรงเรียนตั้งแต่แปดโมงครึ่งแล้ว แต่ไม่ได้ดูพิธีเปิด อิ๋งจื่อจินให้เวินทิงหลานมาพาเขาไป
ถึงแม้เวินทิงหลานจะไม่รู้ว่าทำไมพี่สาวของเขาถึงให้ทำแบบนี้ก็ตาม
ผู้เฒ่าจงย้ายเก้าอี้โยกมานั่งเล่นอยู่ใต้ร่มเงาไม้อย่างสบายใจ “เสี่ยวหลาน วันนั้นเราชนะตาได้อั่งเปาไปตั้งเยอะ รับปากตาเรื่องหนึ่งได้หรือเปล่า”
เวินทิงหลานมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ
จากนั้นก็เห็นผู้เฒ่าจงล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดเวยปั๋ว “มา เรามากดติดตามกันหน่อย”
“…”
เวินทิงหลานสีหน้าเรียบเฉย “ไม่เล่นเวยปั๋วครับ”
“เอ๋” ผู้เฒ่าจงทำปากจู๋ “เด็กอย่างเราไม่เล่นเวยปั๋ว ล้าหลังกว่าตาอีกนะ”
คนติดตามหายไปหนึ่งคนเลย
อารมณ์เสีย
เวินทิงหลานหลุบตาลง เม้มริมฝีปากแน่น
เขาก็อยาก แต่กลับกลัวที่จะสัมผัสกับโลกภายนอก
“เสี่ยวหลาน งั้นเราลองเล่าให้ตาฟังหน่อยสิ ตอนจื่อจินเด็กๆ มีเรื่องสนุกอะไรบ้าง” ผู้เฒ่าจงยิ้มตาหยี “นอนตกเตียงบ้างหรือเปล่า”
เขาไม่ได้รับคำตอบ แต่ได้รับสายตาที่ราวกับมองคนแก่ติงต๊อง
“…”
ผู้เฒ่าจงอัดอั้นตันใจเล็กน้อย ทำได้เพียงหยิบโทรศัพท์ออกมาเล่น
เรื่องที่เขามีความสุขที่สุดในแต่ละวันก็คือได้เม้าท์มอยกับชาวเน็ตหนุ่มๆ สาวๆ
“เอ๊ะ เว่ยโฮ่วไปสร้างวีรกรรมอะไรไว้” ผู้เฒ่าจงดันแว่นตาสายตายาว “ถึงทำให้ทางสมาคมศิลปะแห่งประเทศจีนต้องออกมาประกาศด้วยตัวเอง”
เวินทิงหลานเหลือบตาขึ้นแล้วมองไป
แอดสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีน : [จากการที่มีคนร้องเรียนเข้ามาว่าหนึ่งในกรรมการของสมาคมเรา แอดเว่ยโฮ่วเขียนอักษรข่าย มีพฤติกรรมทุจริตในการแข่งขัน สวมรอยผลงานของนักเรียน พฤติกรรมเลวร้ายและรุนแรงเช่นนี้ ทางสมาคมจึงขอลงโทษด้วยการไล่ออก ถูกแบนตลอดกาล ต่อไปหากมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก ทางสมาคมจะไม่มีทางนิ่งเฉย!]
ด้านล่างแนบประกาศที่ประทับตราของสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีน
รวมถึงลายเซ็นของประธานและรองประธานสมาคม
สมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนเป็นสมาคมระดับประเทศ สมาคมศิลปะแห่งฮู่เฉิงเป็นเพียงสมาคมในระดับเขต
ประธานสมาคมศิลปะแห่งฮู่เฉิงเทียบไม่ได้กับสมาชิกในสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีน
คนที่สามารถเข้าไปอยู่ในสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนได้ล้วนเป็นนักเขียนอักษรพู่กันที่มีชื่อเสียง ซึ่งก็เป็นตัวแทนของสุดยอดนักเขียนอักษรพู่กันของประเทศจีน
คนที่มีพรสวรรค์อย่างหลินสี่ตอนนี้ยังไม่มีแม้กระทั่งคุณสมบัติที่จะได้สอบเข้าไป
นักเขียนอักษรพู่กันที่อาวุโสกว่าหนึ่งรุ่นส่วนใหญ่จะอยู่กันอย่างถ่อมตัว นับตั้งแต่สมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนเริ่มเปิดแอคเคาท์เป็นต้นมา มีการโพสต์เวยปั๋วเพียงสิบโพสต์ ซึ่งเก้าโพสต์เป็นการแชร์โพสต์จากที่อื่น
โพสต์แรกที่เป็นการโพสต์เองเป็นโพสต์ทักทายที่ระบบเวยปั๋วสร้างโดยอัตโนมัติ
ส่วนโพสต์ที่สองนี้คือประกาศลงโทษเว่ยโฮ่ว
ช่วงเที่ยงคนที่เล่นเว่ยปั๋วมีค่อนข้างน้อย แต่ความสนใจมีแต่จะสูงขึ้นทุกที
นอกเหนือจากคนที่มีงานอดิเรกเขียนอักษรพู่กัน คนอื่นๆ ต่างก็คลิกเข้าไปอ่าน
เนื่องจากมีการโปรโมตไปหลายครั้ง ทำให้ชื่อเว่ยโฮ่วเป็นที่โด่งดังยิ่งกว่าเซิ่งชิงถัง
[หูยยย เว่ยโฮ่วถูกสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนไล่ออกจริงดิ ต้องไปก่อเรื่องใหญ่ขนาดไหนไว้ ฉันจำได้ว่าเขาเป็นนักเขียนอักษรพู่กันที่มีชื่อเสียงมากเลยนะ]
[พวกนายไม่รู้สินะ เว่ยโฮ่วพูดออกมาได้เต็มปากเต็มคำว่าผลงานของเด็กมัธยมเป็นของเขา ใส่ร้ายว่าเด็กทุจริต ขโมยผลงานของเขาไปส่งประกวด]
[??? เดี๋ยวนะ สมองเว่ยโฮ่วมีแต่น้ำเหรอ เขาเป็นถึงนักเขียนอักษรพู่กันที่โด่งดัง ทำเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ เขาอยากได้ชื่อเสียงมีชื่อเสียง อยากได้ตำแหน่งมีตำแหน่ง แล้วนี่ต้องการอะไร]
[ใช่ไหมล่ะ ปรากฏว่าเซิ่งชิงถังมา เว่ยโฮ่วเลยถูกเปิดโปง]
[ส่วนเรื่องที่น่าตลกที่สุดพวกเธอรู้ไหมว่าคืออะไร เว่ยโฮ่วสวมรอยเป็นเจ้าของผลงานของนักเรียนใช่ไหมล่ะ แต่นักเรียนคนนั้นกลับไม่เสียดาย เขียนอันใหม่ที่ดีกว่าตรงนั้นเลย ฉันอยู่ในงานด้วย เดี๋ยวเอาคลิปให้ดู (คลิปวิดีโอ)]
ผู้เฒ่าจงกดดูคลิป คิ้วขมวดแน่นในทันที “ผลงานที่เว่ยโฮ่วสวมรอยคือผลงานของจื่อจินเหรอ”
เขาลุกขึ้นด้วยความโมโห “ไอ้แก่หน้าไม่อาย กล้ารังแกแม้กระทั่งเด็ก ฉันจะไปเด็ดหัวมัน”
สีหน้าของเวินทิงหลานชะงัก
ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าทำไมพี่สาวของเขาถึงให้ลากผู้เฒ่าจงมาที่นี่
เพราะถ้าผู้เฒ่าจงอยู่ในงานด้วยจะต้องถกแขนเสื้อกระโดดถีบขาคู่แน่นอน
“เสี่ยวหลาน ไปกับตา” ผู้เฒ่าจงโมโหเลือดขึ้นหน้า “ตาจะพาเราไปล้างแค้นให้พี่สาว”
…
เว่ยโฮ่วเองก็ย่อมเห็นโพสต์ในเวยปั๋วแล้ว
แต่ตอนที่เขาเห็นก็เป็นช่วงบ่ายแล้ว
เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ กรรมการอีกคนหนึ่งของสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนได้มาเยือนถึงที่พร้อมประกาศลงโทษและยึดใบรับรองของเขา
เว่ยโฮ่วหน้าซีด นึกไม่ถึงว่าเรื่องจะดำเนินมาถึงขั้นนี้
อันที่จริงเรื่องแนวนี้ใช่ว่าเขาจะไม่เคยทำมาก่อน
ในการทดสอบคุณสมบัติเข้าสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีน จริงๆ แล้วเขาไม่ได้ใช้ผลงานของตัวเอง แต่เป็นผลงานของผู้ร่วมทดสอบอีกคน
แต่ผู้ทดสอบคนนั้นไม่ได้อารมณ์รุนแรงเท่าเขา อีกทั้งไม่มีหลักฐาน ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีคนหนุนหลัง
ทำได้เพียงมองเขาขโมยผลงานไป ร้องเรียนใครก็ไม่ได้
หลังเกิดเรื่องเว่ยโฮ่วยังได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากทางสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีน อีกทั้งยังเอาไปอวดผู้ทดสอบคนนั้น
คิดว่าจะทำอะไรเขาได้งั้นเหรอ
แต่ตอนนี้เซิ่งชิงถังให้สมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนตรวจสอบประวัติของเขา และก็สืบไปถึงเรื่องในตอนนั้น
ไม่เพียงแต่เขาจะถูกไล่ออก ชื่อเสียงก็พังทลายอย่างสิ้นเชิง
พ่ายแพ้หมดรูปไม่เหลืออะไร
สิ่งที่เว่ยโฮ่วแคร์ที่สุดคือชื่อเสียงกับเงินทอง ตอนนี้เขากำลังจะสูญเสียสองสิ่งนี้ไปแล้ว
เป็นเพราะรุ่นน้องของหลินสี่คนนั้นทั้งหมด
สายตาของเว่ยโฮ่วเย็นชา หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรถามเบอร์ของจงจือหว่านจากหลินสี่
เขากดโทรไป พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จงจือหว่าน เธอกล้าวางกับดักใส่ฉัน ฉันจะบอกเธอให้นะ ฉันเดือดร้อน เธอก็อย่าหวังจะได้อยู่ดีเลย”
“เธอเป็นคนเอาภาพนั้นมาให้ฉัน ก็แสดงว่าเธอขโมยมา หนีไม่รอดหรอก!”
ตอนที่จงจือหว่านรับสาย เธอกำลังยืนอยู่หน้าบอร์ดประกาศ
พอได้ฟังก็ขมวดคิ้ว เธอหันไปมองนักเรียนคนอื่นก่อนแล้วถึงเดินเข้าไปในสวนที่อยู่ด้านข้าง
“อาจารย์เว่ยโฮ่วคะ หนูไม่รู้ว่าอาจารย์พูดเรื่องอะไรอยู่” จงจือหว่านยิ้ม “อาจารย์โลภมากเองนะคะ อยากสวมรอยผลงานของน้องสาวหนู ทำไมถึงมาโทษหนูล่ะคะ”
“เห็นๆ อยู่ว่ารุ่นพี่ก็ถามอาจารย์แล้วว่าใช่ผลงานของอาจารย์หรือเปล่า อาจารย์ก็ยึดมันไป เรื่องพวกนี้หนูทำเหรอคะ”
เว่ยโฮ่วโมโหสุดขีด “เธอเป็นคนให้ฉันประทับตราลงบนภาพนั้น”
จงจือหว่านกลับยังคงใจเย็น “หนูบอก อาจารย์ก็เลยทำอย่างนั้นเหรอคะ อาจารย์เว่ยโฮ่วคะ อาจารย์ใส่ร้ายหนูแบบนี้ เตรียมจะล่วงเกินตระกูลจงเหรอคะ”
เว่ยโฮ่วสีหน้าเปลี่ยนไปมาก
เขาย่อมรู้จักตระกูลจง
หนึ่งในสี่ตระกูลเศรษฐีแห่งฮู่เฉิง สถานะสูงมาก
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาย่อมไม่มีทางกลัวตระกูลจง ตระกูลนี้ยังต้องให้เกียรติเขาด้วยซ้ำ
แต่เขาถูกสมาคมศิลปะอักษรพู่กันแห่งประเทศจีนไล่ออกแล้ว อีกทั้งเกิดเรื่องสวมรอยผลงานคนอื่น มีคนรอคิดบัญชีนานแล้ว
“อาจารย์เว่ยโฮ่วคะ อย่าลืมนะคะว่าอาจารย์สวมรอยผลงานของน้องสาวหนู” จงจือหว่านยิ้มอ่อนโยนอีกครั้ง “คุณปู่ของหนูรักน้องหนูคนนี้มาก อาจารย์ว่าถ้าคุณปู่เจออาจารย์จะยอมฟังคำอธิบายไหมคะ”
“คุณปู่จะเชื่อหนูหรือเชื่ออาจารย์กันล่ะคะ”
เว่ยโฮ่วโมโหจนปาโทรศัพท์ทิ้ง
สีหน้าของจงจือหว่านไม่เปลี่ยน จัดการบล็อกเบอร์ของเว่ยโฮ่ว เตรียมออกจากโรงเรียน
แต่ทันใดนั้นเองกลับมีเสียงฮือฮาของกลุ่มคนที่อยู่หน้าบอร์ดประกาศ
“โอ้โห อิ๋งจื่อจินใช่คนไหมเนี่ย กวาดที่หนึ่งเรียบเลยเหรอ”
“อักษรพู่กันไม่ต้องพูดถึงแล้ว พวกเราเห็นกับตามาแล้ว แต่จิตรกรรมจีนโบราณทำไมเอาชนะนางฟ้าจงได้ด้วยล่ะ”
“กรรมการต้องยุติธรรมอยู่แล้ว ก็แสดงว่าจงจือหว่านสู้อิ๋งจื่อจินไม่ได้ ยังจะมีอะไรล่ะ”
“แอบผิดหวังนะ นางฟ้าจงเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลจงไม่ใช่เหรอ ทำไมด้านศิลปะยังสู้เด็กบ้านนอกไม่ได้ล่ะ ฉายานางฟ้าของเธอมันไม่ค่อยสอดคล้องกับความเป็นจริงแล้วนะ”
“พูดเพ้อเจ้ออะไร” ลู่ฟั่งผู้คลั่งไคล้จงจือหว่าน เถียงด้วยความโมโห “ศิลปะก็แค่เพื่อความบันเทิง นายดูผลสอบของอิ๋งจื่อจินสิ มีสักวิชาไหมที่คะแนนสูงกว่าจือหว่าน”
“เอาเธอมาเทียบกับจือหว่าน มีแต่จะฉุดจือหว่านให้ต่ำลง”
ลู่ฟั่งแสยะยิ้มแล้วพูดต่อ “ถ้าสอบปลายภาคเดือนหน้าอิ๋งจื่อจินทำคะแนนรวมได้เกินสี่ร้อย ฉันจะไลฟ์โชว์กินขี้เลยเอ้า”