“…”
“…”
“…”
บางครั้งกลัวที่สุดคืออยู่ๆ ก็เกิดความเงียบ
ฟู่อวิ๋นเซินชักมือกลับราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เขาละสายตากลับไปมองข้างหน้าอีกครั้ง
ภายในลานจอดรถไม่มีใคร แสงไฟก็สลัว
“เยาเยา มียุงเกาะหน้าเธอน่ะ” ฟู่อวิ๋นเซินมีสีหน้าเรียบเฉย น้ำเสียงก็เนือยเป็นปกติ “พี่ชายเลยช่วยไล่ให้”
อิ๋งจื่อจินไม่ได้พูดอะไร
เขาเอามือจับคอเสื้อให้ดี
จากนั้นก็หันไปส่องกระจกมองหลัง
บนแก้มมีรอยจ้ำแดงๆ ที่เห็นได้ชัด
อีกทั้งยังมีหลายจุด
เป็นสีแดงระเรื่อ
แม้จะหลับอยู่ แต่เธอก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
อิ๋งจื่อจินเงียบไปเล็กน้อย “วันนี้อารมณ์ดีพอควร”
ฟู่อวิ๋นเซินมองเธอ “หืม?”
“ก็…” อิ๋งจื่อจินหันหน้าไป “ก็เลยปล่อยให้จิ้มได้หลายทีหน่อย”
เธอทำสีหน้าแบบว่า ‘จิ้มหน้าคนอื่นก็ยอมรับมาเถอะ อย่ามาทำเก๊ก กล้าๆ หน่อย’
“ไม่ทำอีกแล้ว” ฟู่อวิ๋นเซินกำมือวางตรงริมฝีปากแล้วกระแอมหนึ่งที “พี่ชายกลัวอีกเดี๋ยวจะกลายเป็นสัตว์ร้ายป่าเถื่อน”
เขาไม่เคยทำเรื่องแบบนี้เลยจริงๆ
ช่วยไม่ได้ เวลาเด็กน้อยนอนดูเป็นเด็กดีเหลือเกิน
ควบคุมตัวเองไม่ได้จริงๆ
อิ๋งจื่อจินปลดเข็มขัดนิรภัย เปิดประตูรถ น้ำเสียงเรียบเฉย “ไม่ คุณเปลี่ยนไปแล้ว”
ฟู่อวิ๋นเซินมองเธอ “?”
“ฉันจะตีคุณ”
“…”
เขาจำเป็นต้องเก็บความคิดเมื่อครู่กลับมา
ฟู่อวิ๋นเซินพิงเบาะรถ หัวเราะเล็กน้อย “ตอนแรกไม่เคยคิดจะตี ทำไมพอรู้จักกันนานเข้าก็คิดจะตีพี่ชายแล้วล่ะ”
“วางใจได้” อิ๋งจื่อจินเท้าศีรษะ หางตามีรอยยิ้ม พูดอย่างไม่รีบร้อน “ฉันตีคนไม่ตบที่หน้า”
“…”
โอเค เด็กน้อยเป็นประเภทที่ ‘ไว้หน้า’
เห็นทีอีกหน่อยทำเรื่องอะไรเขาต้องปกป้องหน้าตาไว้ก่อน
ไม่แน่เด็กน้อยอาจใจอ่อนไม่ลงมือแล้วก็ได้หรือเปล่า
ทั้งสองคนลงจากรถ
สุดสัปดาห์คนเยอะ อีกทั้งวันนี้ยังมีจัดโปรโมชั่นลดราคา มีคนต่อคิวร้านขายสินค้าแบรนด์เนมของห้างเซ็นจูรี่ยาวเหยียด
ฟู่อวิ๋นเซินกวาดตามอง สีหน้าเรียบเฉย “เยาเยา พวกเราขึ้นชั้นบนกัน”
ห้างเซ็นจูรี่มีทั้งหมดสิบเจ็ดชั้น ชั้นบนสุดต้อนรับเฉพาะสมาชิกระดับแพลตตินั่ม
ใช้จ่ายในห้างเซ็นจูรี่ครบสิบล้านก็จะได้รับบัตรสมาชิกแพลตตินั่ม
แต่บัตรที่ฟู่อวิ๋นเซินยื่นให้เป็นบัตรสีดำทอง
แม้พนักงานห้างไม่เคยเห็นบัตรประเภทนี้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้จักฟู่อวิ๋นเซิน
เธอจึงรีบเข้ามาต้อนรับ “คุณชายเจ็ด คุณผู้หญิง ยินดีต้อนรับค่ะ”
ฟู่อวิ๋นเซินพยักหน้า หันหน้าไป “เยาเยา ลองดูว่ามีตัวที่ชอบไหม”
อิ๋งจื่อจินไม่ได้ทำตัวเกรงใจเขา เริ่มเดินดูตั้งแต่ราวโชว์เสื้อผ้าราวแรก
พนักงานถามต่อ “คุณชายเจ็ดต้องการดื่มอะไรไหมคะ”
ฟู่อวิ๋นเซินส่ายหน้า เขานั่งรอที่โซฟาในล็อบบี้
เขาแค่นั่งอยู่เฉยๆ ตรงนั้น แต่กลับให้ความรู้สึกที่ยากจะมองข้ามไปได้
ผ่านไปสิบนาทีอิ๋งจื่อจินก็กลับมาพร้อมเสื้อผ้าหนึ่งชุด
เธอทำท่าเหมือนครุ่นคิดแล้วพูดขึ้น “ฉันว่าตัวนี้สวยดี”
ฟู่อวิ๋นเซินเอามือคลายปกเสื้อแล้วมองไป
จากนั้นเขาก็เห็นชุดตัวยาวสีดำที่เหมือนชาวอาหรับใส่ “…”
อืม
เด็กน้อยของเขารสนิยมไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไร
ดูแต่งตัวไม่ค่อยเป็น
ถึงแม้เด็กน้อยใส่เครื่องแบบนักเรียนจะดูดีมีระดับได้ขนาดนั้นก็ตาม
ฟู่อวิ๋นเซินรู้สึกอย่างแรงกล้าว่า การจะเลี้ยงดูเด็กน้อยของเขาค่อนข้างเหนื่อยพอสมควร
แต่กลับให้ความรู้สึกประสบความสำเร็จที่มากขึ้น
“คุณผู้หญิงคะ ชุดนี้ไม่เหมาะกับวัยของคุณผู้หญิง ดูแก่ไปหน่อยค่ะ” พนักงานยิ้มให้ “คุณผู้หญิงควรใส่ชุดที่ดูสดใส ทางเราเพิ่งนำเข้าชุดหรูจากยุโรปพอดี คุณผู้หญิง…”
“ไม่ต้องแล้วครับ” ฟู่อวิ๋นเซินลุกขึ้น “เหมาทั้งหมด ส่งไปที่นี่”
เขายื่นที่อยู่ให้
พนักงานอึ้งไปชั่วขณะ แต่ก็ไม่แปลกใจ รีบไปจัดการทันที
อิ๋งจื่อจินเงียบไปสักพัก เธอขมวดคิ้ว “คุณกำลังหัวเราะเยาะฉันที่เลือกเสื้อผ้าไม่เป็นหรือเปล่า”
ดวงตาดอกท้อของฟู่อวิ๋นเซินยกขึ้น ดูจริงจังแบบที่เห็นได้ยาก “พี่ชายเปล่า”
คราวนี้เขาเอามือหยิกแก้มเธออย่างเปิดเผย “เด็กน้อย วัยนี้จะขาดเสื้อผ้าไม่ได้นะ”
อิ๋งจื่อจินดึงมือของเขาลง “สามทีแล้ว”
พอรูดบัตรเสร็จพนักงานก็ส่งทั้งสองคนออกไป
กลับมาก็เจอผู้จัดการที่รับหน้าที่ดูแลชั้นสิบเจ็ด
ผู้จัดการมองเธอ “เมื่อกี้คุณชายเจ็ดตระกูลฟู่หรือเปล่า”
“ใช่ค่ะ” พนักงานทำหน้าอิจฉา “ซื้อรวดเดียวสิบล้านกว่า สมกับเป็นสี่ตระกูลเศรษฐี”
“ไร้ประโยชน์ เงินของเขาได้มาจากผู้เฒ่าฟู่ทั้งนั้น ตัวเองเป็นแค่คุณชายเสเพล ไม่เป็นโล้เป็นพาย มีแค่หน้าตาที่เอาไว้จีบสาว” ผู้จัดการดูถูก “เธอไม่รู้ใช่ไหมล่ะว่าคู่หมั้นของเขายอมขึ้นเตียงกับพี่ชายคนโตของเขาดีกว่าหมั้นกับเขา”
พนักงานอึ้ง “ผู้จัดการว่าไงนะคะ”
“เมื่อสองปีก่อนผู้เฒ่าฟู่หาคู่หมั้นให้เขา รอเขากลับมาจากยุโรปก็จะจัดงานแต่งให้” ผู้จัดการเล่า “แต่หลังจากที่อีกฝ่ายรู้ก็รีบไปหาคุณชายใหญ่ตระกูลฟู่ทันที จึ๊…”
เขากำชับ “ดังนั้นเธอไม่ต้องไปนอบน้อมกับเขามาก คนในเมืองฮู่เฉิงพูดกันให้แซดว่าวันไหนผู้เฒ่าฟู่ไม่อยู่ขึ้นมา คุณชายเจ็ดก็ไม่มีอำนาจอะไรแล้ว”
พูดจบผู้จัดการก็รีบร้อนเดินไปเข้าร้านถัดไป
พนักงานลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูด
บัตรที่ฟู่อวิ๋นเซินยื่นให้เมื่อครู่ ดูเหมือนจะมีแค่ใบเดียวในห้างเซ็นจูรี่แห่งนี้
…
ณ คฤหาสน์ตระกูลจง
คนรับใช้กำลังยุ่งอยู่ในครัว
คุณนายจงเหลือบมองผู้เฒ่าจงที่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ เธอลุกขึ้นแล้วบอกให้จงจือหว่านตามไปที่ระเบียง
จงจือหว่านเม้มริมฝีปากแล้วตามไป
คุณนายจงทำท่าทางบอกให้ลูกสาวปิดประตูกระจกให้สนิท จากนั้นถึงขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นว่า “ทำไมแม่ได้ยินว่าลูกเข้าร่วมเทศกาลศิลปะ แต่กลับไม่ได้แม้แต่รางวัลเดียว”
จงจือหว่านสีหน้าเปลี่ยน “แม่คะ หนู…”
“แม่ไม่อยากได้ยินข้ออ้างอะไรทั้งนั้น ข้ออ้างก็คือการปัดความรับผิดชอบ” คุณนายจงมองลงมาที่ลูกสาว “แม่ผิดหวังมาก แม่ขอให้คุณปู่ของลูกเชิญอาจารย์มาตั้งมากขนาดนั้น แต่ลูกกลับคว้าที่หนึ่งมาไม่ได้แม้แต่ในเทศกาลศิลปะ”
จงจือหว่านกัดริมฝีปาก
คุณนายจงถามต่อ “ลูกลงแข่งอะไรไป”
“ภาพเขียนอักษรพู่กัน จิตรกรรมจีนโบราณ และภาพสีน้ำมันค่ะ” จงจือหว่านพูดต่อ “แม่คะ หนูไม่ได้จริงจัง ก็แค่อยากลงสนุกๆ”
“เทศกาลศิลปะ ลูกยังคิดจะจริงจังด้วยเหรอ” คุณนายจงขมวดคิ้ว “ช่างเถอะ คลาสศิลปะของชิงจื้อก็เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ลูกแค่ลงเล่นๆ ก็เป็นเรื่องปกติ”
จงจือหว่านโล่งอก
โชคดีที่คุณนายจงไม่ได้ติดตามเรื่องนี้ก็เลยไม่รู้ว่าคนที่ได้รางวัลชนะเลิศคืออิ๋งจื่อจิน
ไม่ใช่แค่คุณนายจงที่ไม่สนใจ ตระกูลเศรษฐีตระกูลอื่นก็ไม่ได้ว่างมาสนใจเช่นกัน
“จริงสิ คุณปู่ของลูกรับลูกเลี้ยงคนนั้นของตระกูลอิ๋งกลับมาดูแลอีกแล้ว” ทันใดนั้นคุณนายจงได้พูดขึ้น “ลูกก็อย่าไปอะไรกับเด็กคนนั้นให้มาก พยายามเอาใจคุณปู่ของลูกหน่อย”
จงจือหว่านพยักหน้า “ค่ะแม่ หนูรู้ค่ะ”
สองแม่ลูกกลับไปที่โต๊ะอาหารได้ไม่นาน ประตูใหญ่ก็ถูกเปิดออก
“จื่อจินมาแล้ว” ผู้เฒ่าจงดีใจมาก “รีบนั่งสิ เดี๋ยวก็เริ่มกินข้าวแล้ว กินให้เต็มที่ วันนี้แม่ของหลานไม่มา หลานไม่หมดสนุกแน่นอน”
อิ๋งจื่อจินพยักหน้าแล้วนั่งลงข้างเขา “คุณตา”
คำพูดนี้ คุณนายจงฟังแล้วก็หน้านิ่ว
ช่วงนี้ผู้เฒ่าจงจะเลอะเลือนเกินไปหรือเปล่า
ตอนแรกก็ใช้แอคเคาท์เวยปั๋วของบริษัทหนุนหลังให้ลูกเลี้ยง ทั้งยังให้จงจือหว่านขอโทษ
ตอนนี้แม้แต่สถานะของจงมั่นหวาที่เป็นลูกสาวแท้ๆ ของตัวเองก็ยังสูงสู้ลูกเลี้ยงคนนี้ไม่ได้
คุณนายจงมองเด็กสาว หมดอารมณ์กินข้าว
แต่เธอเป็นลูกสะใภ้ของผู้เฒ่าจงย่อมพูดอะไรมากไม่ได้
จงจือหว่านยังร้อนตัวเรื่องเทศกาลศิลปะเมื่อหลายวันก่อนเลยไม่กล้าเงยหน้ามอง
อิ๋งจื่อจินก็ไม่ได้คิดจะสนใจสองแม่ลูก คุยเป็นเพื่อนผู้เฒ่าจงเท่านั้น
อาหารมื้อนี้คุณนายจงกับจงจือหว่านกินไปด้วยอารมณ์ที่ไม่ดี แต่ผู้เฒ่าจงกลับกินไปถึงสามชามใหญ่ เลยต้องออกไปขยับตัวหน่อย
คุณนายจงเห็นผู้เฒ่าจงออกไปเดินเล่นที่ระเบียงแล้ว ในที่สุดก็สบโอกาส
เธอขวางอิ๋งจื่อจินไว้ ไม่ให้เดินไป
“ฉันไม่รู้ว่ามั่นหวามีท่าทียังไงกับเธอ แต่ฉันต้องการแสดงท่าทีของฉัน” คุณนายจงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่สายตากลับดุดัน “สิ่งใดที่ไม่ควรคิดอาจเอื้อมก็อย่าคิดจะดีกว่านะ”
เธอเน้นเสียง จากนั้นก็พูดเตือนต่อ “เธอไม่มีวาสนานั้นหรอก”
ผู้เฒ่าจงเอาใจเด็กที่เป็นลูกเลี้ยงคนนี้ ใครจะไปรู้ว่าจะแบ่งหุ้นของจงซื่อกรุ๊ปให้ด้วยหรือเปล่า
เธอทนเรื่องแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด
“ฉันขอพูดไว้ตรงนี้” สายตาของคุณนายจงเย็นชา “ฉันหวังว่าเธอจะเป็นคนฉลาดรู้ว่าตัวเองควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร เข้าใจไหม”
พอเธอพูดจบ ผู้เฒ่าจงที่อยู่ไม่ไกลก็ฮัมเพลงเดินมา
คุณนายจงตัวเกร็ง เดินเข้าไปหา “ท่านผู้เฒ่า”
“เธอยืนทำอะไรน่ะ” ผู้เฒ่าจงขมวดคิ้ว “ไม่ไปอยู่กับหว่านหว่านรึ”
“หว่านหว่านอารมณ์ไม่ดี ไม่พูดกับหนู หนูก็เลยถามเด็กคนนี้ว่าที่โรงเรียนเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า” คุณนายจงยิ้ม “จะไปเดี๋ยวนี้แล้วค่ะ ท่านผู้เฒ่าก็รักษาสุขภาพนะคะ”
ผู้เฒ่าจงโบกมือไล่ เห็นได้ชัดว่าไม่อยากรั้งไว้
คุณนายจงโล่งอก
ดูท่าผู้เฒ่าจงจะไม่ได้ยิน
เธอหันตัวเตรียมเดินขึ้นชั้นบน
จากนั้นก็มีเสียงเย็นชาดังขึ้น
“คุณนายจงคะ ก่อนจะสั่งสอนคนอื่น ช่วยดูแลลูกสาวตัวเองให้ดีก่อนนะคะ”
คุณนายจงชะงักฝีเท้า หันกลับไปมองด้วยสีหน้าเย็นชา “หมายความว่าไง”
เป็นแค่ลูกเลี้ยง กล้าเทียบชั้นกับคุณหนูใหญ่ตระกูลจงเลยเหรอ
ถูกผู้เฒ่าจงตามใจจนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงแล้วสินะ
อิ๋งจื่อจินหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดปุ่ม
เสียงชัดแจ๋ว
นี่คือบันทึกเสียงสนทนาของจงจือหว่านกับเว่ยโฮ่ว