คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ – ตอนที่ 98 ฝากตัวเป็นศิษย์ของอิ๋งจื่อจินต่อหน้าจงมั่นหวา

คราวนี้กลับได้เรื่อง ขายหน้าไปถึงเมืองนอกแล้ว

นอกจากเหตุผลนี้ จงมั่นหวาก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าอิ๋งจื่อจินจะมีอะไรให้อาจารย์ชื่อดังของมหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลแห่งยุโรปมาหาถึงที่ชิงจื้อด้วยตัวเองได้

เธอย่อมเคยได้ยินชื่อเบิร์ก ไบรอัน

ตอนที่เธอเลือกอาจารย์ศิลปะให้เสี่ยวเซวียน อาจารย์ศิลปะคนนั้นศรัทธาในตัวเบิร์กมาก

เรียกได้ว่าเบิร์กเป็นตัวแทนของภาพสีน้ำมันสไตล์บารอกชั้นแนวหน้าของยุโรปในตอนนี้

เอาแค่มหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลแห่งยุโรปก็มีนักเรียนจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนที่อยากมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของเบิร์ก

แต่เบิร์กนิสัยพิลึก ยิ่งกว่าเซิ่งชิงถัง ไม่เคยรับใครเป็นลูกศิษย์ แค่ชี้แนะเด็กรุ่นหลังบ้างเป็นครั้งคราว

ตอนนี้จงมั่นหวาแค่คิดว่าอีกหน่อยออกไปข้างนอกจะต้องถูกคนซุบซิบก็รู้สึกแน่นหน้าอกไปหมด

เป็นแบบนี้อีกแล้ว

ถ้าเป็นเสี่ยวเซวียน ไม่มีทางทำให้เธอขายหน้าแบบนี้เด็ดขาด

“พี่สะใภ้คะ เป็นอะไรไป” อิ๋งลู่เวยเห็นสีหน้าของจงมั่นหวาเปลี่ยนจากบึ้งตึงเป็นซีดเซียวจึงถามด้วยความเป็นห่วง “ไม่สบายหรือเปล่าคะ”

“ไม่เป็นไรจ้ะ” จงมั่นหวากดขมับ ปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอ “คุณเบิร์กยังอยู่ที่ชิงจื้อไหม”

“ตอนฉันออกมาจากโรงเรียน ผู้อำนวยการอยู่กับเขาค่ะ” อิ๋งลู่เวยพูดต่อ “พวกเขาน่าจะไปหาเสี่ยวจินแล้ว อาจจะยังอยู่นะคะ”

“เตรียมรถ” พอได้ยินแบบนี้จงมั่นหวาก็ลุกขึ้น ตัดสินใจในทันที “ไปชิงจื้อเดี๋ยวนี้”

เธอต้องไปยอมรับผิดก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้

“ฉันรู้จักชิงจื้อดี ฉันไปเป็นเพื่อนพี่สะใภ้นะคะ” อิ๋งลู่เวยยื่นซุปบำรุงให้พ่อบ้านพลางกำชับ “ช่วยดูแลคุณนายผู้เฒ่าให้ดีด้วยนะคะ”

พ่อบ้านพูดอย่างนอบน้อม “วางใจได้ครับคุณลู่เวย ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอนครับ”

หลังจากกำชับเสร็จ จงมั่นหวาก็ไปที่ชิงจื้อพร้อมอิ๋งลู่เวย

ณ โรงเรียนมัธยมชิงจื้อ

พอผู้อำนวยการได้ยินคำตอบที่ลูกน้องวิ่งมาบอกก็รู้สึกช็อกนิดหน่อย

ด้วยสถานะของเบิร์ก อย่าว่าแต่มาชิงจื้อเลย ต่อให้ไปมหาวิทยาลัยตี้ตู พวกนักเรียนที่เรียนศิลปะจะต้องแย่งกันมาดูแน่นอน

แล้วนี่…

แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายของผู้อำนวยการก็คือ คราวนี้เบิร์กทำตัวนิสัยดีอย่างน่าประหลาด

เขาโบกมือพลางพูดอย่างใจกว้าง “ไม่เป็นไร ลองถามเธอดูว่าว่างเมื่อไร ผมจะรอเธออยู่ที่นี่”

ผู้อำนวยการที่รู้ซึ้งว่าอะไรคือสองมาตรฐาน “…”

ครั้งนี้เขาช็อกอย่างสิ้นเชิง

“อ่อ” ลูกน้องไม่รู้จักเบิร์ก เขาเกาหัว “รีบไหมครับ ถ้ารีบผมจะวิ่งไปให้อีกรอบ”

“ไม่รีบๆ” เบิร์กอารมณ์ดี “ช่วงสองสามวันนี้ผมจะอยู่ที่ฮู่เฉิง เธอว่างเมื่อไรก็เมื่อนั้นครับ”

ผู้อำนวยการ “…”

เมื่อกี้คุณไม่ได้พูดแบบนี้นะ

“โอเคครับ” ลูกน้องรู้สึกว่าฝรั่งคนนี้คุยง่ายมาก

ขณะที่เขาเตรียมเดินเอ้อระเหยกลับไปก็ได้ยินเบิร์กพูดว่า “เอ๊ะเดี๋ยวก่อน วานถามเธอให้หน่อยสิว่าเธอชอบชิโน ฟอนใช่หรือเปล่า”

หลังจากที่ลูกน้องกลับห้องสิบเก้าพร้อมประโยคนี้ก็เห็นดวงตาหงส์ของพ่ออิ๋งของพวกเขาฉายแววเย็นชา

“ไม่ชอบ เขาพูดมากเกินไป ฉันอยากจะฝังเขา”

“งั้นก็ฝังไปเลยสิคร้าบ” ลูกน้องกระตือรือร้น “พ่ออิ๋ง เขาอยู่ไหน พวกเราจะไปจัดการยัดใส่กระสอบ”

ซิวอวี่พูดขึ้น “ตายไปหลายร้อยปีแล้ว ไปขุดสิ”

ลูกน้องงง “…”

“พ่ออิ๋ง ล้อเล่นได้น่าสนใจดีนะ” มือข้างหนึ่งของซิวอวี่วางบนไหล่อิ๋งจื่อจิน “เธอไม่เคยเจอเขาเสียหน่อย รู้ได้ไงว่าเขาพูดมาก”

บันทึกเกี่ยวกับชิโน ฟอนมีอยู่เยอะมาก แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการชื่นชมว่าภาพวาดของเขายอดเยี่ยมเพียงใด

เขาเกิดปีค.ศ.1623 ตายปีค.ศ.1709

ตลอดชีวิตทิ้งผลงานภาพวาดไว้หลายร้อยภาพ ชีวิตรุ่งโรจน์

แต่ภาพสีน้ำมันที่ทิ้งไว้ล้วนอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ใหญ่หลายแห่งในยุโรป

ในพิพิธภัณฑ์ตี้ตูก็มีอยู่สองภาพ ซิวอวี่เคยเห็นผลงานของชิโน ฟอนที่นั่น

“เพราะ…” อิ๋งจื่อจินยังคงมีสีหน้าเย็นชา “เพราะเวลาเขาวาดภาพจะท่องคัมภีร์ไบเบิลไปด้วย แถมยังใช้ภาษาละติน”

หนวกหูจนเธอปวดหัว

ซิวอวี่ “???”

เดี๋ยวนะ นี่มันอะไรกัน

ไม่สิ ทำไมเธอถึงได้เชื่อคำเพ้อเจ้อหน้าตายของพ่ออิ๋งล่ะ

ชิโน ฟอนตายมาสามร้อยกว่าปีแล้ว กระดูกคงแหลกสลายกลายเป็นผุยผงไปหมดแล้ว

แต่จะว่าไป ซิวอวี่ครุ่นคิด

เธอเคยไปดูบ้านเกิดของชิโน ฟอนที่ยุโรป เธอยังจำได้ว่าภายในห้องทำงานของเขาเต็มไปด้วยคัมภีร์ไบเบิลสารพัดเวอร์ชั่น

“พ่ออิ๋ง สุดยอด” ซิวอวี่ยกนิ้วโป้งให้ “ฉันยอมเธอแค่คนเดียวเรื่องเล่าเรื่อง แถมยังใกล้เคียงกับความเป็นจริงด้วย”

อิ๋งจื่อจินหลุบตาลง แววตาหม่นลงเล็กน้อย

แต่ไหนแต่ไรเธอไม่ค่อยนึกย้อนอดีต

ความทรงจำมากเกินไปจะลืมเร็ว และก็ยุ่งเหยิงมาก

แต่ช่วงสามร้อยปีนั้นที่อยู่ยุโรป เธอกลับยังคงจำได้อย่างชัดเจน

เธอเรียนเขียนภาพสีน้ำมันกับชิโนมาสามปี เวลาส่วนใหญ่คือนั่งฟังเขาพล่าม

ส่งผลทางอ้อมให้ต่อให้เธอไม่อ่านไบเบิลก็ยังสามารถท่องย้อนโดยใช้ภาษาละตินได้อย่างคล่องแคล่ว

วาดภาพเก่งเป็นเรื่องจริง แต่นิสัยน่ารำคาญก็เป็นของจริงเหมือนกัน

ขอแค่เขาไม่พูดก็จะเป็นตาแก่ที่น่ารัก

ตอนชิโนตาย เธอเคยไปดูเขา

หลังจากนั้นทุกปีเธอจะเอาช่อดอกไอริสสีขาวไปวางที่หน้าหลุมศพของเขาจนกระทั่งเธอจากโลกนี้ไป

ชิโนก็ถือเป็นหนึ่งในอาจารย์หลายคนบนโลกนี้ของเธอ

แต่ที่น่าเสียดายคือชิโนก็เป็นเพียงคนธรรมดา เธอเองก็ไม่สามารถทำให้เขาอายุยืนยาวได้

อิ๋งจื่อจินดึงสติกลับมา สายตากลับไปมองที่โทรศัพท์มือถืออีกครั้ง

เธอใช้เวลาว่างในช่วงสองวันนี้เลื่อนระดับแอคเคาท์เอ็นโอเคขึ้นไปถึงระดับบีแล้ว แต้มสะสมการใช้งานก็มีอยู่ที่สี่พัน

ขาดอีกหนึ่งพันเธอก็จะสามารถเข้าพื้นที่ปิดของเอ็นโอเคได้แล้ว

อันที่จริงเธอเองก็รู้ว่าในพื้นที่ปิดคุยกันเรื่องอะไร

เป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของโลกใบนี้

สิ่งที่คนทั่วไปเห็นเป็นเพียงยอดน้ำแข็ง

แน่นอนว่าความลับระดับโลกไม่มีทางเอามาเปิดเผย ไม่อย่างนั้นจะนำมาซึ่งความหวาดกลัว

เว็บบอร์ดเอ็นโอเคเป็นเพียงองค์กรที่รับหน้าที่ปกป้องความลับพวกนี้เท่านั้น

อิ๋งจื่อจินหลุบตาลง มองภารกิจล่าแต้มระดับบีที่รับมาใหม่

เจ้าของภารกิจส่งข้อความส่วนตัวมาหาเธอ

[คุณเป็นหน้าใหม่ใช่หรือเปล่า มียาที่ช่วยลบรอยแผลเป็นบนตัวผมจริงเหรอ ผมหาหมอมาหลายคนแล้วก็ไม่มีประโยชน์ เป็นหนักขึ้นด้วยซ้ำ]

อิ๋งจื่อจินตอบแบบกระชับ

[ที่อยู่ อีกสามวันรอรับพัสดุ]

ถึงแม้เจ้าของภารกิจจะไม่ค่อยเชื่อ แต่ก็ยังคงส่งที่อยู่มาให้

[ถ้ายาของคุณไม่มีประโยชน์ คุณจะไม่ได้แต้ม แต่ถ้าเห็นผล ผมเพิ่มรางวัลให้ได้]

อิ๋งจื่อจินกวาดตามองที่อยู่ อีกเดี๋ยวค่อยเตรียมส่งของไป

ลูกน้องนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “พ่ออิ๋ง เขาบอกว่าเขาจะรอ พ่ออิ๋งว่างเมื่อไรก็เมื่อนั้น”

อิ๋งจื่อจินครุ่นคิด จากนั้นก็ลุกขึ้น “งั้นฉันจะไปเจอเขาตอนนี้”

ทางด้านนี้

จงมั่นหวากับอิ๋งลู่เวยมาถึงชิงจื้อแล้ว

ผ่านไปหนึ่งเดือน ผื่นแดงบนใบหน้าอิ๋งลู่เวยหายไปหมดแล้ว

เธอกลับไปตรวจซ้ำที่โรงพยาบาล หมอก็ยังคงหาสาเหตุไม่พบ

ถ้าไม่ใช่เพราะถูกผื่นแดงทรมานมาหนึ่งเดือน อิ๋งลู่เวยคงสงสัยแล้วว่าตัวเองฝันหรือเปล่า

“พี่สะใภ้ใหญ่คะ พวกคุณเบิร์กน่าจะอยู่ทางนี้ค่ะ” อิ๋งลู่เวยยิ้ม “ฉันพาไปนะคะ”

“รอเดี๋ยว” จงมั่นหวาหยิบหน้ากากปิดปากออกมาจากกระเป๋าแล้วปกปิดใบหน้าอย่างรัดกุม

“พี่สะใภ้…” อิ๋งลู่เวยอึ้งไปชั่วขณะ แต่แล้วก็เข้าใจ “ฉันได้ยินข่าวจากอาจารย์คนอื่นแล้วค่ะ ช่วงนี้เสี่ยวจินทำผลงานได้ดีในโรงเรียน ได้รางวัลในเทศกาลศิลปะด้วยนะคะ”

จงมั่นหวาได้ฟังก็หงุดหงิด “พอแล้วลู่เวย เลิกพูดเรื่องพวกนี้เถอะ พวกเราไปกันก่อน”

อิ๋งลู่เวยรู้จักวางตัว และก็รู้ว่าเวลาไหนควรพูดอะไรถึงจะได้ผลดี

ครั้นแล้วจึงไม่พูดอะไรมาก แค่เม้มริมฝีปากยิ้ม

ทั้งสองคนไปถึงหน้าอาคารเรียน

ตอนนี้เป็นเวลาสี่โมง เป็นช่วงพักระหว่างคาบพอดี

มีนักเรียนจำนวนมาก คนที่รู้จักอิ๋งลู่เวยก็มีอยู่ไม่น้อย

เนื่องจากอิ๋งลู่เวยไม่ค่อยมาที่โรงเรียน บางครั้งแค่มาช่วยสอนวิชาภาษาอังกฤษ

การทิ้งระยะห่างทำให้เกิดความสวยงาม นักเรียนส่วนใหญ่ยังคงชอบเธอ

“อาจารย์อิ๋ง”

“สวัสดีค่ะอาจารย์อิ๋ง”

อิ๋งลู่เวยยิ้มแย้มทักทายทุกคน

จงมั่นหวารู้สึกกระอักกระอ่วน รอด้วยความร้อนใจ

ผ่านไปห้านาทีในที่สุดเธอก็เห็นร่างที่คุ้นเคยเดินออกมาจากอาคารเรียน

“จื่อจิน” จงมั่นหวาเดินขึ้นหน้าไปหาทันที จงใจพูดเสียงเบา “จื่อจิน แม่มีเรื่องจะคุยด้วย รีบไปเก็บของก่อนแล้วออกจากโรงเรียนพร้อมแม่”

แต่อิ๋งจื่อจินไม่แม้แต่จะมองเธอ

ถึงแม้จะเดินมาทางเธอ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มาหาเธอ

จงมั่นหวาขมวดคิ้ว ความโกรธพลุ่งพล่าน

ขณะที่เธอกำลังจะเดินเข้าไปดึงตัวลูกสาว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงรีบร้อนดังมาจากด้านหลัง

“หลบหน่อยๆ!”

หัวใจของเบิร์กร้อนรุ่มดั่งไฟ ไม่ได้มองจงมั่นหวาเช่นกัน รีบวิ่งเข้าไปหาชนิดที่แทบทนรอไม่ไหว

จงมั่นหวาถูกชนไปด้านข้าง เท้าที่ใส่รองเท้าส้นสูงเกิดพลิกขึ้นมากะทันหัน แต่ได้อิ๋งลู่เวยประคองรับไว้ทัน

“พี่สะใภ้ไม่เป็นไรนะคะ” อิ๋งลู่เวยเป็นห่วง “ฉันพาพี่ไปที่ห้องพยาบาลก่อนนะคะ ยังไงซะก็ได้เจอเสี่ยวจินแล้ว ฉันจะบอกนักเรียนที่นี่ไว้ เดี๋ยวค่อยมาหาก็ยังไม่สายค่ะ”

เบิร์กชนแรงมาก จงมั่นหวาเจ็บจนต้องกัดฟัน

เธอมองข้อเท้าตัวเองที่เริ่มบวมขึ้นมาแล้ว

พอได้ยินแบบนี้ก็ไม่ปฏิเสธ จำต้องให้อิ๋งลู่เวยประคองเธอไป

อิ๋งลู่เวยพาจงมั่นหวาไปห้องพยาบาล เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็แสร้งทำเป็นหันไปมองอย่างไม่ตั้งใจ

เธอย่อมจำเบิร์ก ไบรอันได้ แล้วจะปล่อยให้จงมั่นหวาไปเป็นตัวกลางพูดประนีประนอมได้อย่างไร

ชื่อเสียงของเธอเสื่อมเสียไปแล้ว อิ๋งจื่อจินก็อย่าหวังจะได้ดี

แต่พอเธอหันไปก็เห็นเบิร์กจัดระเบียบเสื้อผ้าแล้วคุกเข่าลง

คำนับอย่างจริงใจเหมือนฝากตัวเป็นศิษย์ เขาเรียนมาจากตำราโบราณของจีนโดยเฉพาะ

เขาประนมมือ สีหน้ามุ่งมั่นศรัทธา “อาจารย์อิ๋ง โปรดรับผมไว้เป็นศิษย์ด้วย”

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ

Status: Ongoing
อ่านนิยาย คุณหนูไฮโซยอดอัจฉริยะ‘จื่อจิน ถึงเธอจะเป็นลูกสาวของพวกเรา แต่พวกเราเลี้ยงเสี่ยวเซวียนมาสิบห้าปี ผูกพันกับเสี่ยวเซวียนมาก เสี่ยวเซวียนถูกเลี้ยงมาอย่างคุณหนู ไม่เหมือนเธอที่ทนความลำบากที่บ้านนอกมาตลอด ดังนั้นคุณหนูใหญ่ของตระกูลอิ๋งก็ยังคงเป็นเสี่ยวเซวียน’ ‘เธอคงจะน้อยใจ แต่เธอจิตใจดีขนาดนี้ แม่รู้ว่าเธอไม่มีทางถือสาแน่นอน วางใจนะ อะไรที่เธอควรได้ก็จะไม่มีทางน้อยหน้า’ ‘อะไรนะ เธอเองก็อยากไปด้วยล้อเล่นหรือเปล่า ทางนั้นเขาต้องการคุณหนูไฮโซ เธอน่ะ แม้แต่เล่นเปียโนสักเพลงก็ยังไม่เป็น จะไปเล่าอะไรให้เขาฟังมีแต่จะทำขายหน้า’ ภายในความฝันเป็นเงาคนเต็มไปหมดกับคำพูดที่ตีกันยุ่งเหยิง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset