เบิร์กรอช่วงเวลานี้ตั้งแต่ก่อนมาจากยุโรปแล้ว
และด้วยเหตุนี้เขายังไปหาอาจารย์ชาวจีนท่านหนึ่งของมหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลแห่งยุโรปเพื่อทำความเข้าใจการฝากตัวเป็นศิษย์ของประเทศจีน
ได้ยินว่าธรรมเนียมการฝากตัวเป็นศิษย์ในตอนนี้ของประเทศจีนไม่ได้อลังการแบบสมัยก่อนแล้ว แต่เบิร์กก็ยังคงตัดสินใจจะทำการคำนับสามทีอย่างเคร่งครัดที่สุด
เพียงแต่ภาษาจีนของเขาไม่ค่อยดี พูดได้แค่ภาษาอังกฤษ
ไม่รู้ว่าอาจารย์อิ๋งท่านนี้จะฟังเข้าใจหรือไม่ เบิร์กรู้สึกกังวลใจ
ผู้อำนวยการที่ตามมาด้านหลัง “???”
เขาหูแว่วหรือว่าตาบอดกันแน่นะ
จะต้องเป็นเพราะเขาเดินตามมาด้วยท่าทางที่ไม่ถูกต้องแน่นอน
ส่วนอิ๋งลู่เวยที่เห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดก็ยิ้มค้าง
อยู่ไกลเกินไป เธอไม่ได้ยินว่าเบิร์กพูดอะไร
แต่แน่ใจได้ว่า เบิร์กไม่ได้มาเอาเรื่องอิ๋งจื่อจิน กลับดูขอร้องอิ๋งจื่อจินเสียด้วยซ้ำ
แต่จะเป็นไปได้ยังไง
เบิร์กเป็นใคร
ปรมาจารย์ชั้นแนวหน้าของวงการภาพเขียนสีน้ำมัน ชื่อเสียงโด่งดังยิ่งกว่าเซิ่งชิงถังในระดับโลก
จิตใจของอิ๋งลู่เวยสับสนในชั่วขณะ หวาดหวั่นยิ่งกว่าเดิม
เธอไม่ได้เรียนวาดภาพ แต่เรียนเปียโน
เธอมีชื่อเสียงภายในประเทศด้วยความตั้งใจโปรโมท
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เธอก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะไปสัมผัสกับบรรดานักเปียโนชั้นแนวหน้าระดับโลกเหล่านั้น
นี่ไม่ใช่เรื่องที่เศรษฐีจะใช้เงินจัดการได้
“ไม่มีอะไรค่ะ” อิ๋งลู่เวยรีบละสายตากลับมา เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น “พี่สะใภ้คะ พวกเราไปห้องพยาบาลกันก่อนเถอะค่ะ”
จงมั่นหวาเจ็บข้อเท้ามาก พอได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้ถามอะไร
ยิ่งไปกว่านั้นอาจเป็นผลมาจากการคาดคะเนเรื่องโกงผลงาน เพื่อไม่ให้อึดอัดใจไปมากกว่านี้ เธอเองก็ไม่ได้หันกลับไปมอง
…
ที่หน้าอาคารเรียน ผู้อำนวยการยังคงอยู่ในอาการตะลึง
โชคดีที่ออดเข้าเรียนดังแล้ว ต่อให้พวกนักเรียนจะอยากรู้กันแค่ไหนก็จำต้องกลับเข้าห้องเรียน
อิ๋งจื่อจินถอยหลังไปหนึ่งก้าว สีหน้ายังคงเรียบเฉย “คุณเบิร์กคะ ช่วยลุกขึ้นก่อนค่ะ”
“ไม่ลุก ไม่ลุก” เบิร์กไม่ขยับ พูดซ้ำอีกครั้ง “อาจารย์อิ๋ง ผมเห็นภาพ ‘แขกในโบสถ์’ ที่คุณวาดแล้ว โปรดรับผมเป็นศิษย์ด้วยครับ”
ผู้อำนวยการที่ร่างแหลกสลายเป็นผุยผงจำต้องเชื่อแล้ว “…”
ปรมาจารย์ภาพสีน้ำมันแห่งยุโรปท่านนี้ไม่ได้มาติดต่อรับนักเรียนอิ๋งไปเรียนที่มหาวิทยาลัยศิลปะรอยัลแห่งยุโรป แต่มาขอฝากตัวเป็นศิษย์!
“คุณเบิร์กคะ ฉันไม่รับลูกศิษย์” อิ๋งจื่อจินจับศีรษะ พูดอย่างสุภาพ “ฉันยังต้องเรียนหนังสือค่ะ”
ลูกน้องที่แอบตามมามุงดู “…”
อายุสั้นแล้ว พ่ออิ๋งของพวกเขาไปหลอกใครมาอีกเนี่ย
“ไม่ๆๆ อาจารย์อิ๋ง คุณไม่ต้องเรียน” เบิร์กร้อนใจ “แต่ถ้าคุณอยากเรียนจริงๆ ผมช่วยให้คุณเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยทุกที่ได้ทั่วโลกยกเว้นนอร์ตันได้นะ เชิญเลือกได้เลย”
“ขอบคุณน้ำใจของคุณเบิร์กค่ะ” อิ๋งจื่อจินพยักหน้าเบาๆ “ฉันจะไปมหาวิทยาลัยนอร์ตันค่ะ”
เธอบอกว่าไป ไม่ใช่เข้า
เบิร์กไม่ได้สังเกตคำที่ใช้ กลุ้มใจจนทึ้งหัว “งั้นผมต้องทำยังไงอาจารย์อิ๋งถึงจะยอมสอนผมวาดภาพครับ ถ้าไม่ใช่เพราะผมรู้ว่าชิโน ฟอนตายไปหลายร้อยปีแล้ว ผมคงคิดว่าคุณเป็นเขา”
ด้วยเหตุนี้ตอนที่เขาเห็นภาพนั้นในเน็ตจึงรีบทิ้งงานในมือแล้วรีบมาที่ประเทศจีน
ชิโน ฟอนเป็นไอดอลของเขามาตลอด ตอนนี้เขารับเพิ่มมาอีกคนได้
เบิร์กเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าอิ๋งจื่อจินอายุยังน้อย เป็นแค่นักเรียนมอปลาย ไม่มีทางวาดภาพแบบนี้ออกมาได้
พรสวรรค์!
จิตรกรอย่างพวกเขามีแค่ความขยันไม่พอ พรสวรรค์ต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
มีคำพูดอยู่ไม่ใช่เหรอว่า พรสวรรค์คือหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของแรงบันดาลใจบวกกับหยาดเหงื่อเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าไม่มีหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของแรงบันดาลใจ หยาดเหงื่อก็สูญเปล่า
อิ๋งจื่อจินชะงัก
เธอไม่ใช่ตาแก่ซื่อบื้อที่วันๆ เอาแต่อ่านไบเบิ้ลนั่นหรอกนะ
“พวกเราแลกเปลี่ยนวิชากันได้ค่ะ” อิ๋งจื่อจินเงียบไปเล็กน้อย “แต่ไม่จำเป็นต้องฝากตัวเป็นลูกศิษย์ คุณเบิร์กเป็นถึงปรมาจารย์ภาพเขียนสีน้ำมันชั้นแนวหน้าแล้ว นี่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก”
เธอดูภาพวาดของเบิร์กแล้วระหว่างทางที่ลงมา
มีสไตล์ของชิโน ฟอนสมัยหนุ่มจริงๆ
“ช่างหัวพวกเขาสิครับ!” เบิร์กโมโหขึ้นมาทันที “ผมเป็นยังไงจะไม่รู้ตัวเองเลยเหรอ”
ผู้อำนวยการ “…”
แย่ละ เขาจะเป็นลม
แต่เบิร์กก็รู้ว่าตัวเองคงไม่มีหวังได้ฝากตัวเป็นศิษย์แล้ว เขาประนมมืออีกครั้ง “อาจารย์อิ๋ง งั้นช่วยวาดภาพให้ผมอีกสักสองสามภาพได้ไหมครับ ผมจะเอาไปเลียนแบบ”
“ได้ค่ะ”
เบิร์กดีใจ
“คิดเงิน”
“จัดไป!” เบิร์กสะบัดมือ “ภาพวาดของผมหนึ่งภาพขายราคาเจ็ดล้านดอลลาร์ อาจารย์อิ๋ง ผมให้คุณสองเท่าเลยครับ”
ในที่สุดอิ๋งจื่อจินก็หันไปมองเขานานหน่อย “ฉันแถมให้หนึ่งภาพได้ค่ะ”
“เยี่ยมไปเลยครับ อาจารย์อิ๋งช่างเป็นคนดีจริงๆ ครับ”
หลังจากที่ตกลงกันได้ด้วยดี เบิร์กก็เตรียมไปกินไอศกรีมของประเทศจีน
ก่อนไปเขานึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง “อาจารย์อิ๋งพูดภาษาอังกฤษเก่งจริงๆ ครับ สำเนียงเป๊ะกว่าผมอีก ผมยังคิดว่าคุณเป็นชาวยุโรปเหมือนพวกเราเสียอีก”
อิ๋งจื่อจินเงียบไปชั่วขณะ
เธอเสิร์ชในเน็ตมา ข้อมูลเขียนไว้อย่างชัดเจนว่าเบิร์กเกิดในครอบครัวจิตรกร
งั้นก็มีความเป็นไปได้ว่าเมื่อก่อนเธออาจจะเคยเจอบรรพบุรุษของเบิร์กมาก่อน
…
เวลาห้าโมงครึ่ง
ฟู่อวิ๋นเซินยืนอยู่ข้างประตูรถ รออิ๋งจื่อจินเลิกเรียน
หน้าตาของเขาเป็นที่สะดุดตาเกินไป รูปร่างก็สูงยาวผึ่งผาย สัดส่วนสมบูรณ์แบบ ขายาวดูแข็งแรง
โดยเฉพาะดวงตาดอกท้อคู่นั้นที่ดูเจือไปรอยยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งๆ ที่ไม่ได้จงใจทำอะไรเป็นพิเศษ แต่กลับดึงดูดสายตาเหลือเกิน
คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างอดเหลียวมองไม่ได้ มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง ผู้ชายก็มีจำนวนไม่น้อย
อิ๋งจื่อจินเปิดประตูรถเข้าไปนั่งบนเบาะข้างคนขับท่ามกลางสายตามากมายที่จับจ้องแบบนี้
ฟู่อวิ๋นเซินออกรถ ไปส่งเธอที่โรงพยาบาลเซ่าเหริน
อิ๋งจื่อจินเอามือเท้าคาง ขมวดคิ้ว
“วันนี้ไม่ง่วงเหรอ” ฟู่อวิ๋นเซินยื่นธัญพืชให้เธอหนึ่งห่อ “คิดอะไรอยู่จริงจังขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เมื่อหนึ่งเดือนก่อนฉันดูละครเรื่องหนึ่ง ยังดูไม่จบ” อิ๋งจื่อจินฉีกห่อ “แต่ฉันลืมชื่อละคร กลับไปค่อยเสิร์ชหา”
ตอนนั้นเป็นวันแรกที่เธอกลับมาโลกมนุษย์ ยังอยู่ที่บ้านตระกูลอิ๋ง เธอใช้คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะเปิดดู
ฟู่อวิ๋นเซินทำหน้าเรื่อยเปื่อย “จำได้ชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ เนื้อเรื่องเป็นไงล่ะ”
อิ๋งจื่อจินคิดแล้วเล่าคร่าวๆ “เป็นเรื่องของนักเรียนมอปลายคนหนึ่งที่ทะลุกระจกย้อนไปสมัยอดีต ไปเจอกับอ๋องคนหนึ่ง วันต่อมาก็ใช้กระจกทะลุมิติไปอีก พบว่าตัวเองไปอนาคตอีกสิบปีให้หลัง ทะลุมิติไปมาแบบนี้”
ฟู่อวิ๋นเซิน “…”
เป็นละครที่น้ำเน่ามากทีเดียว
“อืม รอเดี๋ยวนะ พี่ชายจะช่วยถามให้” ฟู่อวิ๋นเซินหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดเบอร์ หลังมีคนรับสายก็พูดด้วยน้ำเสียงเนือยๆ “ฮัลโหล”
นับตั้งแต่เกิดเรื่องที่ผับครั้งนั้น เนี่ยเฉาก็อยู่บ้านตลอด เขากำลังเล่นเกม “คุณชายเจ็ด โทรมามีธุระอะไร”
“ช่วยฉันค้นละครเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับ…” ฟู่อวิ๋นเซินเหลือบมองอิ๋งจื่อจิน เล่าเรื่องที่เมื่อครู่เธอเล่าให้ฟังโดยไม่หยุด “ละครเรื่องนี้แหละ”
เนี่ยเฉาตะลึง “คุณชายเจ็ด นายทะลุมิติได้เหรอ”
เดี๋ยวนะ ละครน้ำเน่าแบบนี้ยังมีคนดูด้วยเหรอ
“อย่าพูดมาก” ฟู่อวิ๋นเซินเงยหน้า “รีบไปค้น”
“เออๆๆ” เนี่ยเฉาค้นหาอย่างขะมักเขม้น
เขาเปิดบริษัทเอนเตอร์เทนเมนท์เล็กๆ ของตัวเอง ค้นหาได้ไม่ยาก
ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบวินาทีเนี่ยเฉาก็ตอบกลับมา “โวะ คุณชายเจ็ด ฉันอยากจะอ้วก ละครน้ำเน่าขนาดนี้ผลิตโดยบริษัทฉันเอง เดี๋ยวนะ ฉันจะไปด่าลูกน้อง”
“ถ่ายอะไรมาฉันยังไม่รู้เรื่องเลย ละครน้ำเน่ามันทุกนาทีแบบนี้ สมองคิดอะไรกันอยู่เนี่ย”
“เอ่อคือ คุณชายเจ็ดเดี๋ยวฉันให้ชื่อละครนะ ค่อนข้างยาวแถมยังน่าอาย ขนาดฉันยังกระดากที่จะพูด”
ห้าวินาทีต่อมาฟู่อวิ๋นเซินก็วางสาย สีหน้าสับสนแบบที่เห็นได้ยาก “เยาเยา ละครที่เธอดูชื่อ…”
ชะงักเล็กน้อยแล้วถึงพูดออกมา
น้ำเสียงเรียบเฉย
“บอสจอมเผด็จการกับท่านอ๋องเย็นชาเปิดศึกแย่งชิงฉันทุกวัน”
“…”
โรงพยาบาลเซ่าเหริน
อิ๋งจื่อจินไปที่ฝ่ายบุคคล
ก่อนที่เธอจะมารับช่วงต่อโรงพยาบาลนี้มีแพทย์แผนจีนหลายคนที่ลาออก จึงค่อนข้างขาดคน
แต่ก็เพราะข่าวที่ช่วยชีวิตเซิ่งชิงถังกลับมาได้สำเร็จได้แพร่ไปยังทุกโรงพยาบาลในฮู่เฉิง จึงมีหมอจำนวนไม่น้อยที่กลับมาสมัครอีกครั้ง
อิ๋งจื่อจินไม่ได้บังคับว่าโรงพยาบาลเซ่าเหรินจะต้องเน้นรักษาด้วยการแพทย์แผนจีนเพียงอย่างเดียว ดังนั้นเธอก็รับสมัครแพทย์แผนตะวันตกด้วย
ขอเพียงแต่ทำเงินได้
“คุณอิ๋งครับ นี่เป็นรายชื่อคนที่มาสมัครครับ” หัวหน้าฝ่ายบุคคลยื่นแฟ้มเอกสารให้ “วันนี้มีคนมาสมัครทั้งหมดหนึ่งร้อยห้าสิบคน พวกเราสัมภาษณ์ไปแล้วหนึ่งร้อยยี่สิบคน ยังเหลืออีกสามสิบคนครับ”
อิ๋งจื่อจินไม่ได้รับ เธอพยักหน้า “เข้าใจแล้ว ลำบากแล้วนะคะ”
หัวหน้าฝ่ายบุคคลรู้สึกตกใจนิดหน่อย “คุณอิ๋งเกรงใจเกินไปแล้วครับ ถ้าไม่มีคุณอิ๋ง โรงพยาบาลไม่มีทางมีวันนี้”
คำพูดนี้ไม่ได้ชมเกินจริง
เดิมทีเขาอยากลาออก แต่สุดท้ายก็อยู่ต่อ
“เริ่มสัมภาษณ์หนึ่งทุ่ม” อิ๋งจื่อจินเหลือบดูเวลา “ฉันไปกินข้าวก่อน เดี๋ยวก็จะมาดูด้วยค่ะ”
“ครับ” หัวหน้าฝ่ายบุคคลออกไปส่งเธอ “คุณอิ๋งมาเป็นคนสัมภาษณ์เองเป็นเรื่องดีที่สุดเลยครับ”
จวบจนตอนนี้ไม่มีใครกังขาในฝีมือการรักษาของอิ๋งจื่อจินแล้ว
อิ๋งจื่อจินปิดประตูห้องทำงานแล้วลงจากตึก
ผู้เข้าสัมภาษณ์ที่เหลือสามสิบคนได้มาถึงแล้วหลายคน รออยู่ตรงโซนที่ให้รอ
ลู่จื่อรอจนร้อนใจ สายตามองเรื่อยเปื่อยไปรอบๆ
จนกระทั่งเห็นอิ๋งจื่อจิน
ลู่จื่ออึ้งไปชั่วขณะ “เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
เธอนึกถึงเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง แสยะยิ้มพลางพูด “เธอคงไม่ได้คิดว่ารู้จักสมุนไพรจีนแค่ไม่กี่ชนิดก็มาทำงานที่นี่ได้แล้วนะ”