ท้องฟ้าเริ่มมืดอย่างรวดเร็วในช่วงฤดูใบไม้ผลิ สายลมเพิ่งพัดพาให้ดอกไม้ร่วงโรยไม่ทันไรก็เงียบสงบเสียแล้ว ไฟทุกดวงในจวนตระกูลหมิงได้ดับลง ประตูทุกบานในจวนถูกลงกลอนหมดแล้วเช่นกัน
ตัวฝูกำลังจัดที่นอนนำโถน้ำร้อนซุกไว้ใต้ผ้านวมอย่างระมัดระวัง หมิงเวยยืนอยู่ที่ริมหน้าต่างมองไปที่สวนภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน จากตรงนี้นางสามารถมองเห็นมุมหนึ่งของทะเลสาบ ต้นหลิวที่มีสิ่งชั่วร้ายซ่อนอยู่ถูกแสงสีเลือดจางๆ ปกคลุมในความมืดและถูกกั้นด้วยกำแพงบางๆ ทำให้ไม่สามารถหลบหนีได้
นี่คือวิชาของแม่นางหลิว แม้จะอ่อนไปหน่อย แต่ก็ใช้ได้ผล หมิงเวยนึกถึงเรื่องที่ตนเองส่งวิญญาณไปเมื่อไม่นานมานี้ร่างกายจึงอ่อนแอ ยิ่งมีทางสกัดกั้นเช่นนี้แม้จะล่าช้าไปอีกหนึ่งเดือนก็ไม่เป็นไรถึงตอนนั้นนางก็คงมีพลังที่เพียงพอแล้ว
นางมองกลับไปที่เตียงหลังใหญ่ วิญญาณของคุณหนูเจ็ดอยู่ในม่านพลังที่ตนเองสร้างขึ้น สีหน้านางหม่นหมองไม่รู้ตัวว่าเกิดอันใดขึ้น
หมิงเวยถอนหายใจอย่างเงียบๆ เด็กคนนี้ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ เกิดมาโง่เขลา แต่มีแม่ที่เห็นนางสำคัญเท่าชีวิต ถ้าเกิดฮูหยินสามรู้ว่าบุตรสาวของนางได้จากโลกนี้ไปแล้ว นางจะเศร้าโศกเพียงใดกัน
ยิ่งไปกว่านั้นนางไม่รู้ว่าจิตวิญญาณสองส่วนกับกายทั้งสี่ของนางที่ถูกชำระล้างไปนั้นอยู่ที่ไหนหายไปนานกว่าสิบปีเกรงว่าเป็นเรื่องยากที่จะหาเจอ
“คุณหนู อุ่นเตียงเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ จะนอนเลยไหมเจ้าคะ” ตัวฝูเรียกนาง
“อืม” หมิงเวยถอดเสื้อคลุมและนอนลงบนเตียงอันอบอุ่น สายตามองไปยังด้ายแดงที่อยู่บนมือของตัวฝู
“ตัวฝู”
“มีอันใดหรือเจ้าคะคุณหนู”
“เจ้าอย่าถอดออกนะ” ตัวฝูก้มหน้าลง เมื่อเห็นว่านางมองไปที่ใดก็ยิ้ม “เจ้าค่ะ นี่เป็นของที่คุณหนูให้ข้า ตัวฝูจะไม่ถอดมันเจ้าค่ะ”
หมิงเวยหลับตาลง คุณหนูเจ็ดกับสาวใช้นางนี้มีชะตากรรมหยินหยางเหมือนกัน สาวใช้ข้างกายนางมีชะตาชีวิตหยางบริสุทธิ์ เป็นไปได้หรือไม่ว่าที่นางถูกสวรรค์ส่งมาเวลานี้เป็นชะตาฟ้าลิขิต
……..
นอกหน้าต่างมืดมิดน้ำค้างแรง ฮูหยินสามสวมเสื้อคลุมศีรษะ พร้อมออกไปข้างนอก
แม่นมถงเดินเข้ามา “ฮูหยินที่สวนยังมีสิ่งชั่วร้ายนั่นอยู่ วันนี้ไม่ออกไปดีกว่าไหมเจ้าคะ”
ฮูหยินสามยืนนิ่งไม่ไหวติง “แม่นมวางใจเถิด ข้าไม่ไปแถวทะเลสาบ ไม่มีอันใดเกิดขึ้นหรอก”
“แต่ว่า…” ฮูหยินสามยกกระโปรงแล้วออกไป แม่นมถงจำต้องเรียกสาวใช้ “ซู่เจี๋ย เจ้านำเตาอุ่นมือไปด้วย กลางคืนลมแรง ถือโคมไฟให้ระมัดระวังด้วย…”
“เจ้าค่ะ แม่นม!” สาวใช้ตอบรับด้วยรอยยิ้ม
เจ้านายและสาวใช้เดินออกไปด้วยกัน ไม่ทันไรก็เดินห่างไปไกลเสียแล้ว
จนกระทั่งแสงไฟเล็กๆ นั้นหายไป แม่นมถงจึงละสายตาแล้วค่อยๆ กลับเข้าห้องไป ใบหน้าแก่ชรานั้นมีเงาบดบังไปทั้งใบหน้า
ในคืนที่เงียบสงัดสาวใช้ที่มีหน้าที่เฝ้าชาเห็นแสงไฟจากข้างนอกหน้าต่าง นางถูมือแล้วถามสาวใช้ด้านข้างตนว่า “ดึกดื่นปานนี้แล้วฮูหยินไปที่ใดกัน ไม่ใช่ว่าในสวนมีผีหรอกหรือ หากเจอเข้าจะทำอย่างไร”
สาวใช้ที่โตกว่าอีกคนรินชาร้อนให้ตัวเองแล้วพูดช้าๆ “เจ้าไม่รู้หรือ ฮูหยินท่านไปคัดลอกคัมภีร์ ว่ากันว่าเป็นความปรารถนาที่เกิดขึ้นในช่วงต้นปีเป็นการขอพรให้คุณหนู แม้ว่าหิมะจะตกหนัก แต่ท่านก็ไม่หยุด วันนี้เกิดเรื่องมากมายจึงล่าช้า ถึงได้สายแบบนี้”
สาวใช้เท้าคาง นางรู้สึกอิจฉา “ฮูหยินท่านเป็นคนดีมากจริงๆ ถ้าแม่ข้าดีได้สักครึ่งของท่าน ข้าคงไม่ถูกขายเข้ามาแบบนี้”
สาวใช้ที่อายุมากกว่าหัวเราะ “จะว่าดีก็ดี แต่ก็ทุกข์เกินไป หากเป็นแม่ข้า นางคงไม่ยอมทนทุกข์แบบนี้หรอก”
……..
ฮูหยินสามเดินเข้าไปในห้องหลิวจิ่ง
ซู่เจี๋ยจุดเทียน แสงเทียนสลัวๆ ให้ความรู้สึกอบอุ่นจางๆ มีแท่นบูชาสามอันตั้งอยู่ในห้อง มีโต๊ะบูชาขนาดยาวตั้งอยู่ตรงกลาง บนโต๊ะมีรูปปั้นเทพธิดาขนาดครึ่งตัววางอยู่
ซู่เจี๋ยได้ยินแม่นมถงบอกว่านั่นคือจิ่วเทียนเซวียนหนี่เหนียงเหนียง ครั้งแรกที่ได้รับรู้ นางยังรู้สึกแปลกใจ โดยทั่วไปแล้วผู้คนไม่ได้บูชาพระโพธิสัตว์กวนอิมหรอกหรือ อย่างไรก็ตามเซวียนหนี่เหนียงเหนียงเป็นเทพเจ้าที่ทรงพลังมาก และท่านยังช่วยคุ้มครองคุณหนูด้วยใช่หรือไม่
ฮูหยินสามถอดเสื้อคลุมและม้วนแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นมือขาวๆ คู่หนึ่ง จากนั้นนางก็หยิบไม้ปัดฝุ่นขึ้นมาทำความสะอาดด้วยตนเอง สุดท้ายจึงจุดธูป กราบไว้สามครั้งแล้วนำไปปักลงบนกระถางธูป
ในระหว่างที่ควันธูปลอยขึ้น ฮูหยินสามเดินไปที่มุมห้อง เติมน้ำหมึกแล้วเริ่มคัดลอกพระคัมภัร์
ซู่เจี๋ยถอยออกไปอย่างเงียบๆ กาถ่ายน้ำ[1]หยดแล้วหยดเล่า เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ก็เข้าสู่ยามสามโดยไม่รู้ตัว
ประตูลับที่ซ่อนอยู่ถูกเปิดออกอย่างเงียบๆ ร่างที่ปรากฏขึ้นนั้นสูงโปร่งจนดูไม่เหมือนเป็นร่างของหญิงสาว เงานั้นยืดยาวเนื่องจากถูกแสงจากเทียนส่องกระทบ ฮูหยินสามดูเหมือนจะไม่สังเกตเห็นและยังคงคัดลอกพระคัมภีร์อย่างเงียบๆ
แสงเทียนส่องลงบนใบหน้าของนางที่ดูเหมือนจะไม่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ใบหน้าของนางนั้นยิ่งดูนุ่มนวลมากขึ้น ชายคนนั้นยืนพิงประตูชื่นชมนางอย่างเงียบๆ อยู่สักพักแล้วจึงเดินเข้ามาหาช้าๆ
ร่างสูงของชายคนนั้นยืนอยู่ข้างหลังฮูหยินสาม ทำให้นางดูบอบบางและน่าสงสาร ชายคนนั้นหัวเราะเบาๆ แล้ววาดแขนโอบกอดฮูหยินสาม วางคางไว้บนผมสึดำเงางามและพูดด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน
“พี่สะใภ้สามทำเพื่อเสี่ยวชีขนาดนี้ช่างกล้าหาญยิ่งนัก ได้ยินมาว่ามีผีร้ายซ่อนอยู่ในสวนอวี๋ฟาง จนตอนนี้ไม่มีผู้ใดกล้าออกมาข้างนอก พี่สะใภ้สามยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง มาที่ห้องบูชากลางดึกเพื่อคัดลอกพระคัมภัร์ ไม่สิ หรือว่ามาหาข้ากันนะ”
เขาทำได้เพียงกอดจนข้อมือของฮูหยินสามขยับ ปลายพู่กันที่ชุ่มไปด้วยน้ำหมึกหยดลงบนกระดาษ
ฮูหยินสามมีท่าทางนิ่งเฉย นางยกกระดาษที่เปื้อนหมึกไปไว้ด้านข้างแล้วหยิบกระดาษแผ่นใหม่ที่สะอาดมาเขียนต่อ
“ยังเหลืออีกสองบทให้ข้าคัดให้เสร็จก่อน”
“อา…” ชายข้างหลังหยุดชะงักและยอมปล่อยมือในที่สุด “ได้ หากพี่สะใภ้สามต้องการเช่นนั้น น้องเล็กจะปฏิเสธได้อย่างไรกัน”
ฮูหยินสามคัดพระคัมภีร์ต่อ ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่ได้หันกลับไปมองชายผู้นั้นเลย ไม่คิดที่จะหยุดคัดลอกด้วย ชายที่ปรากฏตัวโดยไม่คาดคิดหันตัวกลับไป แล้วเอนกายบนโต๊ะราวกับไร้เรี่ยวแรง จากนั้นก็หยิบกระเป๋าใส่น้ำออกจากในแขนเสื้อแล้วยกขึ้นดื่ม
กลิ่นเหล้ารุนแรงอบอวลไปทั่วห้อง เขาจิบเหล้าสายตาจ้องมองไปที่ฮูหยินสามอยู่หลายครั้ง แล้วจู่ๆ เขาก็หัวเราะ “ว่ากันว่าการมองหญิงงามท่ามกลางไฟนั้นทำให้งามเพิ่มขึ้นหลายเท่า คงจะเป็นเรื่องจริง! ความงามของพี่สะใภ้สามนั้นไม่เหมือนมนุษย์เหมือนเทพธิดาเสียมากกว่า”
ฮูหยินไม่พูดอะไรออกมาสักคำมือยังคัดลอกคัมภีร์เรื่อยๆ ไม่หยุด
ชายหนุ่มเมื่อเห็นว่านางไม่ตอบสนองจึงเลิกรังควานนาง แล้วดื่มด่ำอยู่กับเหล้าในที่สุด เวลาผ่านไปสักพักฮูหยินสามก็คัดพระคัมภัร์เสร็จ นางวางพู่กันลง ซับหมึกให้แห้งแล้วพับอย่างระมัดระวัง
ชายผู้นั้นรอนางเก็บของทุกอย่างให้เสร็จ จนกระทั่งนางหันตัวมาเผชิญหน้ากับเขา เขาโยนกระเป๋าใส่เหล้าทิ้งไปอย่างไม่ลังเลแล้วโอบกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน สองมือล้วงเข้าไปในปกคอเสื้อ
ฮูหยินสามคว้ามือของเขาไว้ “เซวียนหนี่เหนียงเหนียงอยู่ที่นี่”
พอถูกนางขัดจังหวะ ชายผู้นั้นก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ได้ ท่านไม่ต้องการให้เซวียนหนี่เหนียงเหนียงของท่านเห็นเรื่องสกปรกเช่นนี้เพื่อที่พระองค์จะได้ไม่ลงโทษท่าน ไม่คุ้มครองเสี่ยวชี”
ทันใดนั้นสายตาของเขาฉายแววรู้สึกตื่นเต้นเขาก้มตัวลงกอดเอวนางแล้วเดินไปยังห้องทางซ้าย “ออกมาเสี่ยงโดนผีหลอก พี่สะใภ้รู้สึกตื่นเต้นหรือไม่ น้องเล็กทนแทบไม่ไหวแล้ว!”
ทั้งสองกลิ้งไปบนเก้าอี้ยาวเสียงดังตุ้บ รองเท้าหลุดออกไป ตามด้วยเสียงเสียดสีของเสื้อผ้า หลังจากนั้นเสียงหอบหายใจหนักก็ดังขึ้น ภายในห้องไม่มีคำพูดใดๆ มีเพียงเซวียนหนี่เหนียงเหนียงเท่านั้นที่ยังคงเฝ้าดูความสุขและความเศร้าโศกของมนุษย์อย่างเงียบๆ
…………………………………
[1] กาถ่ายน้ำ :ในสมัยโบราณแผ่นดินจีนมีการประดิษฐ์เครื่องมือชนิดหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันมากสำหรับ “การคำนวณเวลา” เครื่องมือบอกเวลาชนิดนี้ทำด้วยโลหะทองเหลือง ที่เรียกว่า โล้วเคอ หรือ เคอโล้ว (แต้จิ๋ว;เหล่าเข็ก,เหล่าขัก) “漏刻”(“刻漏”), หรือเรียกอีกชื่อว่า ถงหูตี้โล้ว (ตั่งฮู้ติเหล่า)“铜壶滴漏”ประกอบด้วยกาน้ำ 4 ใบ วางเรียงลำดับจากที่สูงสู่ที่ต่ำ 3 ใบแรก จะมีท่อสำหรับให้น้ำรั่วออก จากกาใบที่อยู่บนสุดหยดใส่กาน้ำใบที่อยู่ต่ำกว่าเป็นลำดับไป 3 ใบจนถึงกาใบสุดท้ายที่อยู่ต่ำที่สุด จึงเรียกอาการของน้ำที่รั่วหยดไหลออกจากกานี้ว่า โล้วเคอ “漏刻” หมายถึงการ “ถ่ายน้ำ” เครื่องมือนี้จึงเรียกว่า “กาถ่ายน้ำ” หรือเรียกโดยทั่วไปสากลว่า “นาฬิกาน้ำ” โดยมีอุปกรณ์ที่เป็นทุ่นลูกลอย และเข็มวัดระดับ เป็นมาตรวัด