ในเวลาเดียวกันกับที่หมิงเฉิงถามออกไปเจี่ยงเหวินเฟิงก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่อยู่ในแขนเสื้อของเขาขยับ
เขาเลี่ยงเดินออกไปให้ห่างจากผู้คนแล้วถามเสียงเบา “เกิดอะไรขึ้น”
มีเสียงดังขึ้นในหู “ข้ารู้สึกถึงลมหายใจที่อันตราย”
“มันคืออะไร”
“ไม่รู้ รู้แต่ว่าอันตรายมากทางที่ดีอยู่ให้ห่างจะดีกว่า”
เจี่ยงเหวินเฟิงถอนหายใจ “ทางเดินลงเขายังไม่เปิดถึงอยากจะไปแต่ก็ไปไม่ได้”
“มันอาจฆ่าคนได้…”
“ใต้เท้าขอรับ!” เสียงขององครักษ์ดังขัดการสนทนาของพวกเขา “ท่านดูนั่น!”
ทิศทางที่เขาชี้เป็นทิศทางที่เป็นที่ตั้งของหินเทพธิดา
มีแสงสีแดงสว่างขึ้นส่องสว่างราวกับแสงไฟ
………….
ตัวฝูรู้สึกตัวขึ้นก็พบว่าร่างกายของตนเจ็บปวดอย่างรุนแรง สิ่งที่อยู่ใต้ร่างของนางคือหินอันเย็นเยียบแล้วยังได้กลิ่นเขียวของหญ้า
ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำสนิทแล้วพระจันทร์เสี้ยวส่องแสงจางๆ อยู่บนท้องฟ้า
นางรู้สึกสับสนเล็กน้อย ที่นี่คือที่ไหน เกิดอะไรขึ้น ทำไมนางถึงได้มาอยู่ที่นี่
จริงสิ! นางนึกออกแล้ว!
คุณหนูกับคุณชายหยางเดินทางไปยังยอดเขาชุ่ยมู่ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม นางกับอาหว่านรออยู่ที่หินเทพธิดา จากนั้นยอดเขาชุ่ยมู่ก็เกิดไฟไหม้ อาหว่านกับอาสวนออกไปขอความช่วยเหลือส่วนนางยังคงรออยู่ที่นี่
จากนั้น…จากนั้นนายท่านสี่ก็ปรากฏตัวออกมา!
ความทรงจำสุดท้ายของนางคือนายท่านสี่ดึงระฆังบนศาลเจ้าแล้วโบกมือให้คนของเขา
จากนั้นนางก็มีอาการปวดศีรษะแล้วจำอะไรไม่ได้อีก
ตัวฝูแตะที่ด้านหลังศีรษะของตนซึ่งมีสะเก็ดเลือดติดอยู่ นางรู้สึกเจ็บปวดมาก
กระแสความอบอุ่นในร่างกายก็วนเวียนอยู่รอบๆ หัวใจของนาง
คาถาที่คุณหนูสอนได้ช่วยนางไว้งั้นหรือ ตัวฝูพยุงตนเองให้ลุกขึ้นและพบว่าตนเองอยู่ในพุ่มไม้ใต้หินเทพธิดา
นางอดทนต่อความเจ็บปวดและเดินโซซัดโซเซออกไป ไม่รู้ว่าคุณหนูปลอดภัยหรือยัง แต่นางต้องไปหาคุณหนู…
ตัวฝูเดินไปได้ไม่ไกลก็พบว่ามีแสงสีแดงปรากฏขึ้นด้านบน พร้อมด้วยกลิ่นอายอันตรายปกคลุมเข้ามา
นางเงยหน้าขึ้นและเห็นแสงสีแดงบนหินเทพธิดา
โลหิตชั่วร้ายงั้นหรือ! ตัวฝูเชื่อว่าตนเองดูไม่ผิด
ตอนที่วิญญาณร้ายตนนั้นอยู่ในสวนอวี๋ฟาง คุณหนูสอนนางอยู่หลายรอบว่านั่นคือโลหิตชั่วร้ายที่สะสมมาจากความแค้น หากไม่ระงับให้ทันเวลามันจะสามารถฆ่าคนได้!
แต่ลมหายใจของโลหิตชั่วร้ายนี้รุนแรงกว่าสิ่งชั่วร้ายที่อยู่ในสวนอวี๋ฟางหลายเท่า ตัวฝูไม่คิดอะไรมาก นางรีบหันกลับแล้วปีนขึ้นไปบนหินเทพธิดาทันที
หากเจอโลหิตชั่วร้ายจำเป็นต้องปราบปราม นี่เป็นสิ่งที่คุณหนูเคยบอกไว้
ในฐานะเสวียนชื่อ นางจะต้องปกป้องญาณชีวิตในใต้หล้า
นางจะต้องปราบปรามโลหิตชั่วร้าย คุณหนูเคยสอนคาถากับนางแล้ว แล้วยังบอกอีกว่านางมีพลังหยางบริสุทธิ์ซึ่งหาได้ยาก สิ่งชั่วร้ายจะไม่รุกรานนาง
ตัวฝูปีนขึ้นไปถึงจุดสูงสุดและเห็นเงาที่คุ้นเคยยืนอยู่ใต้แสงสีแดง
“นาย นายท่านสี่” ตัวฝูจ้องมองคนที่อยู่ในแสงสีแดงอย่างประหลาดใจ
คนผู้นี้ไม่ใช่นายท่านสี่ แต่คนที่หมุนตัวกลับมาคือนายท่านสาม
พอเห็นนางเขาก็เลิกคิ้วขึ้น “เจ้ายังไม่ตายงั้นหรือ”
คนพวกนั้นจัดการกันอย่างไร แม้แต่คนยังไม่ตายก็ยังไม่รู้อีก
พอเห็นสีหน้าของเขา ผู้ใต้บังคับบัญชาสองนายก็รีบคุกเข่ายอมรับผิด “ข้าน้อยละเลยในหน้าที่ ปล่อยให้เด็กรับใช้ผู้นี้…”
“ช่างเถอะ” นายท่านสามพูดขัดจังหวะ “ไม่ตายเช่นนี้คงเป็นความประสงค์ของสวรรค์ อย่างไรก็ตามหากไม่มีผู้ใดมาร่วมชมด้วยก็น่าเบื่อไปเสียหน่อย! ในเมื่อนางโชคดีก็ให้นางมาเป็นพยานก็แล้วกัน”
“ขอรับ”
ตัวฝูเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็สับสนแล้วนางก็เห็นว่าหินเทพธิดาได้ถูกยกออกไปแล้ว เผยให้เห็นวงเวทที่มีลวดลายสีเข้มสลักอยู่ด้านล่าง
“ค่ายกลปีศาจ!” นางโพล่งออกมา
“เจ้ารู้จักงั้นหรือ” นายท่านสามประหลาดใจ จากนั้นเขาก็พยักหน้า “นางเก่งกว่าที่ข้าคิดไว้จริงๆ นี่อาจเป็นการละเลยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผนของข้า”
หากไม่ใช่เพราะเด็กคนนั้นอยู่ในร่างของเสี่ยวชี เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ปิ่นทองนั่นจะไม่ถูกค้นพบ กระดูกของเกิงซานก็จะไม่ถูกขุดขึ้นมา นับประสาอะไรกับอุโมงค์ลับใต้ดินของวัดเป่าหลิงกัน
แม้แต่เด็กรับใช้นางนี้ก็ยังคุ้นเคยกับวิชาคาถา
“แต่ไม่เป็นไร” เขายิ้ม “อีกไม่นานทุกอย่างก็จบแล้ว”
ดวงตาของเขาทอดมองไปในความมืด นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เขาต้องการ
เขาแบกรับความเสี่ยงครั้งใหญ่ แกล้งตายแล้วกลับตงหนิงก็เพื่อให้ฉีตงจวิ้นอ๋องก่อการกบฏ
ตอนที่จัดฉากฆ่าในครั้งนี้เขาก็ยังกอดจุดประสงค์นี้ไว้อยู่
แต่เขาไม่คิดเลยว่าแผนการจะเดินมาถึงจุดๆ นี้
กับดักที่ยอดเขาชุ่ยมู่ไม่สามารถฆ่าพวกเขาได้ ซ้ำยังทำให้พวกเขาค้นพบอุโมงค์ใต้ดิน กลไกห้องเก็บพระสูตรไม่สามารถใช้การได้ทหารใต้บังคับบัญชาถูกฆ่าตายหมด
ตอนนี้เขาทำได้เพียงฝากความหวังไว้ที่ฉีตงจวิ้นอ๋อง
“นายท่านสี่ ท่านคิดจะทำอะไรเจ้าคะ” ตัวฝูถาม “รีบเอาหินเทพธิดากลับไปที่เดิมเถอะเจ้าค่ะ โลหิตชั่วร้ายรุนแรงเช่นนี้ ปีศาจตนนี้ต้องอันตรายมากแน่”
นายท่านสามยิ้มแล้วถามไปว่า “เจ้ารู้จักค่ายกลปีศาจ แล้วยังรับรู้ถึงโลหิตชั่วร้าย คุณหนูของเจ้าสอนเจ้ามางั้นหรือ”
ตัวฝูมองเขาอย่างระวังตัว “แล้วอย่างไรเจ้าคะ คุณหนูเก่งกาจมาก เรื่องนี้ไม่คณามือนางเลย”
พูดแล้วตัวฝูก็มองไปที่ยอดเขาชุ่ยมู่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างกังวล คุณหนูปลอดภัยหรือยังนะ
ดูเหมือนนายท่านสามจะรู้ว่านางคิดอะไรอยู่จึงตอบไปว่า “วางใจเถอะ คุณหนูของเจ้ายังมีชีวิตอยู่”
“ท่านรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ” ตัวฝูรู้สึกว่านายทั้งสี่ตรงหน้านางนั้นแปลกมาก เขาเคยลงมือฆ่านางก่อนหน้านี้และตอนนี้เขาก็เอ่ยถึงคุณหนูอีก
ประสบการณ์เกือบถูกฆ่าทำให้นางรู้ว่านายท่านสี่ไม่ใช่คนดี นึกถึงสิ่งที่คุณหนูเคยสอนนาง หากพบเจออันตราย สิ่งแรกที่ต้องทำคือรักษาชีวิตของตนเอง ตัวฝูร้อนใจมาก นางควรออกไปจากที่นี่ไม่ใช่หรือ แต่เป็นเพราะนางโง่ พอเห็นโลหิตชั่วร้ายก็รีบพุ่งเข้าไปหา
“เพราะว่า…” นายท่านสามพูดอย่างสบายๆ “ข้าเป็นคนวางเพลิงเอง”
ตัวฝูโกรธมากจนแทบจะพุ่งไปข้างหน้า แต่ถูกคนควบคุมตัวไว้จึงทำได้แค่ตะโกนว่า “ทำไมท่านต้องฆ่าคุณหนูด้วย คุณหนูเป็นหลานสาวแท้ๆ ของท่านนะเจ้าคะ!”
“เด็กโง่” นายท่านสามหัวเราะหึๆ “เจ้าอยู่ข้างกายคุณหนูมาเกือบสิบปียังดูไม่ออกอีกหรือว่านางไม่ใช่คุณหนูของเจ้า”
ตัวฝูชะงัก “อะไรนะเจ้าคะ”
นายท่านสามรู้สึกชอบใจมาก “ข้าบอกว่าคุณหนูของเจ้าตายไปแล้ว นางเป็นแค่วิญญาณเร่ร่อนที่มาเข้าร่างคุณหนูของเจ้า เป็นอย่างไร รู้สึกว่าตนเองโง่หรือไม่ พูดอีกอย่างก็คือนางเป็นศัตรูของเจ้า! เจ้ายังอยากภักดีต่อนางอยู่อีกหรือ”
“อย่าพูดจาเหลวไหลนะเจ้าคะ!” ตัวฝูตะโกนใส่
ยิ่งเห็นนางเป็นอย่างนั้น นายท่านสามก็ยิ่งสนใจ “เจ้าลองคิดดูดีๆ สิ ความชอบของนางแตกต่างจากเสี่ยวชีโดยสิ้นเชิงเลยมิใช่หรือ เสี่ยวชีชอบทานของหวาน แล้วนางล่ะ เสี่ยวชีชอบเล่นแล้วนางล่ะ ตัวฝู…”
“แล้วอย่างไรกันเจ้าคะ” นางพูดแทรกจ้องมองเขาด้วยความเกลียดชัง
“หากนางเป็นวิญญาณเร่ร่อนแล้วอย่างไรกันเจ้าคะ นางเชื่อฟังและกตัญญูต่อฮูหยิน เคารพนับถือแม่นม รักและปกป้องเด็กรับใช้ นางเป็นคนดีไม่ได้มีเจตนาที่จะแย่งร่างกายของคุณหนู”
ตัวฝูพูดแล้วก็น้ำตาไหล “ข้าน้อยรู้ดีว่าคุณหนูตายแล้วรู้ตั้งนานแล้ว…แต่ฮูหยินมีความสุขเช่นนั้นข้าน้อยก็ไม่กล้าพูด แต่นางเป็นคนดีมาก! ถึงนางจะไม่ใช่คุณหนูตัวจริง ข้าน้อยก็จะนับถือนางเป็นเจ้านาย…”
ในประโยคที่ชวนสับสนนี้คำว่าคุณหนูที่พูดมามากมายหลายครั้งนั้นหมายถึงคนสองคนที่แตกต่างกัน
นายท่านสามได้ยินก็ทั้งงงทั้งโกรธ
“สาวใช้นางนี้ เสี่ยวชีดีต่อเจ้าเจ้าก็ยังมองผู้อื่นเป็นเจ้านายงั้นหรือ”
ในขณะนั้นก็มีคนขึ้นแท่นบันไดขึ้นมา “นายท่านสามขอรับ!”
นายท่านสามเห็นว่าข้างหลังเขาไม่มีใครตามมาในใจก็เริ่มรู้สึกไม่ดี “คนของท่านอ๋องล่ะ”
……………………………………………