แม้เหล่าเจ้าหน้าที่จะมีท่าทางตื่นตระหนก แต่ในใจของพวกเขานั้นกลับปิติยินดีและติดตามทหารลงจากเขาไป
มีเพียงไม่กี่คนที่คิ้วขมวดไม่ยอมคลายเสียที
แม้ว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับวัดเป่าหลิง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเชิญทหารจากเมืองข้างเคียงเลยนี่ ตงหนิงก็มีกองกำลังทหารเหมือนกัน!
ท่านเจ้าเมืองอู๋เดินไปแล้วก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
“จี้หรูล่ะ เจ้าอาวาสจี้หรูล่ะ”
เขาหมุนตัวกลับจะไปตามหาคน แต่ก็ถูกทหารห้ามไว้ “ท่านทำอะไรน่ะ เดินต่อไปดีๆ! หากเดินกลับไปทีละคนสองคน คนด้านหลังก็เดินออกมาไม่ได้ นี่เป็นเรื่องสำคัญมากโปรดอย่าสร้างปัญหานักเลย!”
ขุนนางพลเรือนจะสูงส่งกว่าขุนนางทหาร ปกติแล้วหากท่านเจ้าเมืองอู๋ถูกทหารปฏิบัติเช่นนี้ เพียงแค่หันกลับไปเขาก็สามารถจัดการคนพวกนี้ให้ตายเรียบได้
แต่ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้เขาจะใส่ใจเรื่องนี้ได้อย่างไร “จี้หรู เจ้าอาวาสวัดเป่าหลิงเป็นสหายของข้า ท่านช่วยผ่อนปรนด้วย…”
ทหารผู้นั้นตะโกนใส่เขา “นี่มันใช่เวลาหรือ หากให้ท่านกลับไปแล้วผู้อื่นล่ะ หากตามใจปล่อยพวกท่านจะไม่ยุ่งเหยิงไปหน่อยหรือ ใต้เท้าเจี่ยงสั่งการมาชีวิตคนสำคัญเท่าฟ้า มีเรื่องอะไรลงจากเขาก่อนแล้วค่อยพูดเถิด!”
กล่าวจบก็ไม่สนใจท่านเจ้าเมืองอีก เขาหันกลับมาและตะโกนเสียงดัง “เร็วๆ ตามมาเร็วเข้า! จงอย่าก่อความวุ่นวาย มาทีละคน!”
ท่านเจ้าเมืองอู๋หน้าซีดด้วยความโกรธ
“ใต้เท้าขอรับ!” เจ้าหน้าที่คนสนิทปลอบ “อย่าไปโกรธทหารเหล่านี้เลยขอรับ มันไม่คุ้มเสียเลย ท่านจี้หรูอาจจะจัดการกับสิ่งชั่วร้ายนั้นอยู่ก็เป็นได้ ท่านเป็นพระที่มีสมณศักดิ์สูง หินเทพธิดาอยู่ในเขตวัดเป่าหลิง เกิดอะไรขึ้นเขาก็ต้องเข้าช่วยเหลืออยู่แล้วจริงหรือไม่ขอรับ”
ที่พูดมาก็มีเหตุผล แต่ท่านเจ้าเมืองอู๋ก็ยังไม่วางใจ
เจ้าอาวาสจี้หรูผู้นั้นสำคัญมาก…
ทางด้านครอบครัวจวิ้นอ๋องเองก็ถูกเคลื่อนย้ายเช่นกัน อันเซียงเสี้ยนจู่เอนกายพิงหน้าต่างรถม้ามองไปยังค่ำคืนที่มืดมิดด้านนอก
“ไม่รู้ว่าเปี่ยวเกอปลอดภัยหรือยัง…” นางพึมพำเสียงเบา
“ภูเขาไฟดับลงแล้ว พวกเขาบอกว่าหาเปี่ยวเกอพบแล้ว คงไม่เป็นอะไรหรอก” จินหลินเสี้ยนจู่กระซิบ
อันเซียงเสี้ยนจู่หันไปมองพี่สาว ภายใต้แสงเทียนในตะเกียงที่แกว่งไปมา จึงมองเห็นสีหน้าของจินหลินเสี้ยนจู่ไม่ชัดเจน
“ท่านพี่…” นางถามเสียงเบา “ท่านเสียใจมากหรือไม่”
จินหลินเสี้ยนจู่ฝืนยิ้ม “อะไรหรือ”
“เปี่ยวเกอกับคุณหนูเจ็ดจากตระกูลหมิงถูกขังอยู่ด้วยกัน คาดว่าหลังจากผ่านเรื่องนี้ไปพวกเขาต้องแต่งงานกันแน่” อันเซียงเสี้ยนจู่เอียงศีรษะพลางครุ่นคิด
“ไม่สิ ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ของตระกูลหมิง นางจะมีคุณสมบัติเป็นภรรยาที่ถูกต้องได้อย่างไร มากสุดคงเป็นได้แค่อนุ!”
จินหลินเสี้ยนจู่เอื้อมมือไปลูบหัวนางและถอนหายใจ “สาวน้อย เจ้าอย่าพูดถึงเรื่องภรรยาเรื่องอนุเลย”
อันเซียงเสี้ยนจู่ไม่พอใจ “ท่านพี่ เหตุใดถึงได้กลายเป็นเหมือนท่านแม่ไปได้…”
จินหลินเสี้ยนจู่พูดช้าๆ “ตอนนี้ข้าคิดว่าสิ่งที่ท่านแม่พูดมามีเหตุผล พวกเราเป็นเสี้ยนจู่ แน่นอนว่าต้องมีคู่ครองที่เหมาะสมจะทำเรื่องมากมายให้ยุ่งยากไปทำไมกัน”
อันเซียงเสี้ยนจู่กะพริบตาและตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง สองพี่น้องเงียบมาตลอดทางและเคลื่อนย้ายตามขบวนรถเพื่อออกจากวัดเป่าหลิง
เมื่อรถม้าหยุดลง พวกนางถูกประคองให้ลงจากรถ อันเซียงเสี้ยนจู่เห็นทิวทัศน์โดยรอบแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ “ที่นี่คือที่ใดกัน ทำไมไม่พาพวกเรากลับจวนเล่า”
มีคนเดินเข้ามาตอบว่า “เสี้ยนจู่ทั้งสองพักผ่อนก่อนเถิดเจ้าค่ะ พวกท่านไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องก่อนหน้านี้ อีกไม่ช้าพวกท่านจะทราบเอง”
อันเซียงเสี้ยนจู่จ้องคนผู้นั้น “เจ้าเป็นสาวใช้ของเปี่ยวเกอใช่หรือไม่”
อาหว่านยิ้ม “ใช่เจ้าค่ะ เชิญเสี้ยนจู่ทั้งสองด้านนี้เจ้าค่ะ!”
เสียงมาจากระยะไกลและดูเหมือนว่าจะเป็นเสียงของท่านเจ้าเมืองอู๋
“เจี่ยงเหวินเฟิง! ท่านทำอะไร ข้าได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ เจ้าเมืองใหญ่ ท่านมีสิทธิ์อะไรมาทำกับข้าเช่นนี้!”
แต่เสียงที่ลอยตามมากลับเป็นเสียงตะโกนห้ามของทหาร “โปรดพักผ่อนอย่างสงบเถิด! ใต้เท้ามีคำสั่งจงรออยู่ที่นี่ก่อนแล้วค่อยออกไป!”
สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านพาให้เสี้ยนจู่ทั้งสองรู้สึกหนาวเหน็บในใจ
ดูเหมือนจะมีบางอย่างที่แตกต่างจากเมื่อก่อน
…………
หยางชูวางร่มหนังฉลามในมือลงแล้วนั่งลงกับพื้น เขาเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ แสงจางๆ ของพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวส่องให้เห็นด้านดีและไม่ดีของมนุษย์
“คุณชาย…”
อาสวนคิดที่จะพูดโน้มน้าวเขา แต่ก็ถูกหยางชูโบกมือตัดบทไป “พวกเจ้าไปเฝ้าบันไดหินก็พอแล้ว”
เขาหันหน้าไปมองด้านข้าง
ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวฝูเป็นตายร้ายดีอย่างไร ร่างของนางเปล่งประกายสีแดงโดยมีหมิงเวยโอบกอดนางไว้ ฝ่ามือของนางกดทับที่ส่วนบนของกะโหลกศีรษะไม่ห่างไปไหน
รอบตัวพวกนางมีวงเวทขนาดใหญ่ที่ชุ่มไปด้วยเลือดจนน่าสยดสยอง เมื่อเห็นว่าสีหน้าของพวกนางแย่ลง หยางชูคิดอยู่พักหนึ่งแล้วกรีดข้อมืออีกข้าง
เลือดสีแดงสดหยดลงบนวงเวท อาสวนเห็นว่าเลือดเขาไหลออกเยอะก็เป็นกังวล พอเลือดไหลน้อยลงเขาจึงพันแผลและให้ยาห้ามเลือด
ครั้งนี้หยางชูไม่คัดค้าน
“พอแล้ว…” น้ำเสียงของหมิงเวยยังคงแผ่วเบา “หากท่านให้เลือดมากกว่านี้ ท่านคงได้ล้มนอนลงเจ้าค่ะ”
หยางชูหัวเราะแล้ววางกริชลง
อาสวนถาม “ใช้เลือดของข้าน้อยได้หรือไม่”
“เลือดของมนุษย์ที่ยังมีชีวิตสามารถยับยั้งวิญญาณชั่วร้ายได้” หมิงเวยตอบ “แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว เลือดของเขามีประโยชน์มากที่สุด”
“….” อาสวนคิดในใจ ถ้าหากใช้การได้ เหตุใดไม่บอกให้เร็วกว่านี้เล่า เขาพาคนมาเยอะเพียงนี้ ให้เลือดคนละนิดก็สามารถทำให้เลือดท่วมหินเทพธิดาได้แล้ว
โชคดีที่เขาไม่พูดออกไป เพราะหากพูดออกไปนางต้องตอบเขาว่า ในเมื่อมีเลือดที่ดีกว่า เหตุใดต้องใช้เลือดของคนอื่นด้วยเล่า
“นายท่านสามตายแล้วหรือเจ้าคะ” หมิงเวยถาม
หยางชูตอบ “เขากินยาพิษฆ่าตัวตายแบบเดียวกับที่ทหารของเขาทำก่อนหน้านี้”
“…..”
เห็นสายตาผิดปกติของนางที่มองมาเขาจึงถาม “ทำไมหรือ มีปัญหาอะไรงั้นหรือ”
“มันแปลกมากเจ้าค่ะ คนอย่างเขาจะตายง่ายขนาดนี้ได้อย่างไรกัน”
“บางทีหลายปีที่ผ่านมานี้คงมากพอแล้วกระมัง” หยางชูพูด “ถึงมีชีวิตอยู่แต่ก็ไม่ต่างจากคนตาย คงไม่อยากรับรู้ถึงความรู้สึกเช่นนี้อีกแล้ว เวลาผ่านไปนานเช่นนี้ แม้แต่ตนเองยังลืมไปด้วยซ้ำว่ามีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว”
เขามองวงเวทเลือดบนพื้นแล้วไม่พูดอะไร
หมิงเวยยิ้มเล็กน้อย “ดูเหมือนท่านจะรู้สึกซาบซึ้งใจนะเจ้าคะ”
หยางชูหัวเราะเบาๆ “ข้าจะซาบซึ้งใจได้อย่างไร แค่รู้สึกว่าคนที่ฉลาดเกินไปมักจะสับสนได้ง่าย”
“ก็จริงเจ้าค่ะ” แล้วพวกเขาก็เงียบลงอีกครั้ง
ทางด้านวัดเป่าหลิงเสียงของผู้คนค่อยๆ หายไป แสงไฟเล็กๆ นั้นงดงามราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า
จู่ๆ ตัวฝูในอ้อมแขนของหมิงเวยก็สั่นสะท้านไปทั้งร่าง เลือดไหลออกทางปากและจมูกอีกครั้ง และในที่สุดนางก็อาเจียนออกมาเป็นเลือดจำนวนมากจากนั้นร่างกายของนางก็อ่อนลง
“นางเป็นอย่างไรบ้าง” หยางชูถามด้วยความตกใจ “หรือว่าวิญญาณชั่วร้าย…”
หมิงเวยกลับดีใจมากจนน่าแปลกใจ “ดีมาก! นางกักขังวิญญาณชั่วร้ายได้แล้ว”
“กักขังงั้นหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ ตัวฝูได้ยินแล้วตอนนี้นางก็ใช้ร่างของตนเองคุมขังวิญญาณชั่วร้ายไว้” หมิงเวยหันไปถามอาสวน “มีด้ายแดงหรือไม่”
บนตัวอาสวนจะไปมีของเช่นนั้นได้อย่างไร พอได้รับสัญญาณจากหยางชู เขาก็วิ่งลงไปเก็บอย่างรวดเร็ว
ไม่นานอาสวนก็กลับขึ้นมาใหม่แล้วส่งเชือกสีแดงให้กับหมิงเวย “ข้าน้อยถอดออกมาจากถุงใส่เงิน ใช้ได้หรือไม่”
“ใช้ได้”
หมิงเวยกวักมือเรียกหยางชูให้เดินเข้ามาแล้วปลดผ้าพันแผลที่ข้อมือของเขา จากนั้นนำด้ายแดงมาอาบเลือดของเขาอย่างตั้งใจ แล้วก็ค่อยๆ ตัดด้ายออกเป็นส่วนๆ แล้วผูกกับข้อมือและคอของตัวฝู
อาสวนเห็นแล้วก็รู้สึกปวดใจ แม่นางหมิงผู้นี้ช่าง บาดแผลของคุณชายปิดลงแล้วแต่นางกลับบีบให้เลือดออกมา…ช่างโหดร้ายยิ่งนัก!
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ” หมิงเวยอุ้มตัวฝูด้วยความยากลำบาก หยางชูเห็นก็ส่งสัญญาณให้อาสวนรับช่วงต่อ
“ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว เจ้าพาตัวฝูกลับไปก่อนเถอะ”
อาสวนฟังจากน้ำเสียงของนางก็ถามกลับไป “แล้วแม่นางล่ะ”
หมิงเวยมองหยางชูแล้วทอดสายตามองค่ำคืนที่ยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง หวังว่าจะยังไม่สายเกินไป”
…………………………………….