ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน
หยางชูยิ้ม “นายท่านสาม ท่านกำลังทำอะไรอยู่หรือ พวกเราไปนั่งจิบชากันเถอะ!”
สีหน้าของนายท่านสามดูไม่ได้เป็นอย่างมาก ใบหน้าของเขาซีดเป็นพิเศษจนเกือบเขียวเนื่องจากยาแกล้งตาย
ในช่วงเวลาอันสั้นนี้เขาผิดพลาดมากกว่าการได้รับความทุกข์ทรมานมาทั้งชีวิตเสียอีก แต่เขาก็ยังไม่ยอม
“พวกท่านโชคดีมาก” เขาพูดอย่างเย็นชา “หากไม่ใช่เพราะขุดเจออุโมงค์ใต้ดิน พวกท่านคงได้กลายเป็นขี้เถ้าไปแล้ว”
รอยยิ้มของหยางชูหายไป “ข้าจะบอกความจริงให้หากตอนนั้นข้าตัดสินใจก็สามารถหนีออกจากหุบเขาที่ถูกไฟไหม้ได้ ด้วยวิชาตัวเบาของข้าอาจเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีแผลไหม้แต่ก็รอดชีวิตได้ไม่ยาก แต่ข้าพานางวิ่งออกไปด้วยไม่ไหว ไม่เช่นนั้นคงได้เห็นสาวงามถูกย่างจนกลายเป็นไก่ย่างไปแล้ว”
สีหน้าของหมิงเวยไร้ความรู้สึก “ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร ผู้ใดกันที่บอกว่าข้าเป็นบุรุษที่อยู่แทบเท้าสตรีกัน” หยางชูหัวเราะเบาๆ
หมิงเวยยกมุมปาก ไม่แม้แต่จะหัวเราะ
“เพราะฉะนั้น ท่านดูซะ” หยางชูไหวไหล่ “แผนของท่านมีช่องโหว่ตั้งแต่แรกแล้ว ท่านมองว่าข้าไร้ความสามารถมากเกินไป”
นายท่านสามมองเขาอย่างเฉยชา พอมาถึงจุดนี้เขาพูดอะไรก็พ่ายแพ้หมด
แต่สหายของเขากลับสนใจมาก เขายิ้มแล้วถามหมิงเวย “ท่านคงเป็นเสวียนชื่อผู้นั้นใช่หรือไม่”
หมิงเวยเลิกคิ้ว
“เขาบอกว่าท่านเป็นผู้เรียกวิญญาณชั่วร้ายจริงหรือไม่”
หมิงเวยตอบ “ใช่”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาหายไป “เป็นวิญญาณที่กลายเป็นสิ่งชั่วร้ายเมื่อสิบปีก่อนใช่หรือไม่”
“ใช่”
คนผู้นั้นมองหมิงเวยตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียดอีกครั้ง
การพินิจพิเคราะห์ของเขาอาจดูเสียมารยาทอย่างมาก แต่เขาก็มองอย่างเปิดเผยไม่ปิดบัง
มองสำรวจเสร็จเขาก็ยิ่งงงงวย “แปลกมาก ตัวท่านไม่มีพื้นฐานวรยุทธ์ ไม่มีการรั่วไหลของพลัง หรือท่านจะบอกข้าว่าท่านฝึกมาจนชำนิชำนาญจนถึงขอบเขตสมบูรณ์แบบแล้ว”
หมิงเวยยิ้ม “ท่านดูไม่ผิด อันที่จริงข้าไม่มีพื้นฐานวรยุทธ์ และพลังของข้าเองก็น้อยมาก”
ชาติก่อนนางได้รับการฝึกฝนจนถึงระดับนั้นแล้ว เพียงแต่พอเปลี่ยนร่างกายจึงต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น
“ถ้าอย่างนั้นท่านเรียกวิญญาณได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้! สิ่งชัวร้ายเมื่อสิบปีก่อน ดูจากพลังของท่านไม่สามารถปราบมันได้แน่” น้ำเสียงของเขาดูสับสนจริงๆ
หมิงเวยยังคงยิ้ม “ผู้ใดบอกว่าเรียกวิญญาณจำเป็นต้องพึ่งแค่พลัง”
“หากไม่ใช่พลังแล้วใช้อะไร”
“ใช้…” นางยิ้ม “ข้าไม่บอกท่านหรอก!”
อีกฝ่ายหัวเราะเสียงดัง “สาวน้อย ท่านน่าสนใจจริงๆ น่าเสียดายที่ตอนนี้เวลาไม่เหมาะสม ไม่เช่นนั้นข้าคงดื่มให้ท่านสามร้อยจอกพูดคุยกับท่านเรื่องวิชา”
หมิงเวยโบกมือ “ดื่มสุราไม่ได้ แต่คุยเรื่องวิชาได้ แต่ข้าคิดว่าพวกเราคงไม่มีโอกาสนั้นนะ”
พูดจบทั้งสองคนก็ได้ยินเสียงฝีเท้า องครักษ์กลุ่มหนึ่งรีบวิ่งมาที่นี่แล้วรีบเข้ามาล้อมรอบพวกเขาไว้
หยางชูยิ้ม “พวกท่านจะยอมจำนนดีๆ หรือให้พวกเราลงมือ”
ชายคนนั้นเริ่มถอดเจี่ยอี[1]ออก เขาถอดไปบ่นไปว่า “ไอ้ของชิ้นนี้นี่ทั้งหนักทั้งร้อน ไม่สบายตัวจริงๆ”
คลายปมที่ผูกไว้เสร็จ เจี่ยอีก็ถูกโยนลงบนพื้นเผยให้เห็นชุดดำบางๆ ด้านใน
“แบบนี้ค่อยสบายหน่อย” เขายืดกระดูก
หยางชูหัวเราะแล้วส่งสายตาให้หัวหน้าองครักษ์ หัวหน้าองครักษ์เห็นก็เข้าใจจึงโบกมือ เหล่าองครักษ์ไม่พูดอะไรแต่รีบวิ่งเข้าหาทั้งสองคนทันที
ฝั่งนั้นเริ่มลงมือฝั่งหยางชูก็ชวนคุยเล่น “ท่านคิดว่าใบหน้าของคนผู้นั้นเป็นของจริงหรือของปลอม จากสายตาของข้ามันค่อนข้างยากที่จะจดจำใบหน้าของเขา”
หมิงเวยเหลือบมองเขาแต่ไม่พูดอะไร ก็รู้อยู่ว่านางจำหน้าคนไม่ได้ มาพูดถึงหัวข้อนี้หมายความว่าอย่างไรกัน!
หยางชูยังคงคึกคักเขาตะโกนสั่งผู้คุม “พวกท่านระวังหน่อย อย่าทำร้ายใบหน้าของเขา หากเป็นหน้ากากให้ลอกออกมา หากไม่ใช่ก็ลอกออกอยู่ดี”
ลอกอะไร แน่นอนว่าต้องเป็นลอกผิวหนัง!
ช่างโหดร้ายอะไรอย่างนี้ แต่เขากลับพูดอย่างใจเย็น
คนผู้นั้นถือกริชตวัดไปมาอย่างว่องไวราวกับปลา พอได้ยินประโยคนั้นจึงตะโกนกลับไปว่า “ใบหน้านี้แพงมากนะ!”
………….
อีกด้านหนึ่งฉีตงจวิ้นอ๋องเห็นเจี่ยงเหวินเฟิงเดินเข้ามาในห้องโถงเขาก็แทบจะกระโดดขึ้น
“ใต้เท้าเจี่ยง ท่านหมายความว่าอย่างไร เหตุใดเปิ่นหวางถึงกลับจวนไม่ได้”
เจี่ยงเหวินเฟิงประสานมือคารวะเขา จากนั้นก็นั่งจิบชาที่คนนำมาให้แล้วตอบว่า “ท่านอ๋องโปรดอย่าใจร้อน ตอนนี้มีเรื่องหนึ่งที่ต้องจัดการ รอให้เรื่องได้รับการตรวจสอบว่าจริงๆ แล้วท่านอ๋องไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ท่านก็จะสามารถกลับจวนได้แล้วขอรับ”
แววตาของฉีตงจวิ้นอ๋องวูบไหว “ในเมื่อไม่ใช่การไต่สวนความผิด เหตุใดคนรอบข้างเปิ่นหวางถึงไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ด้วยเล่าแล้วหวังเฟยของเปิ่นหวางอีก ท่านพาพวกนางไปไว้ที่ใดกัน”
เจี่ยงเหวินเฟิงยิ้ม “ท่านอ๋องไม่ต้องกังวล หวังเฟยกับเสี้ยนจู่อยู่ที่ศาล มีแม่นางอาหว่านสาวใช้ของคุณชายหยางคอยดูแลอยู่ ไม่มีเรื่องเกิดขึ้นแน่นอนขอรับ”
“แล้วซื่อจื่อของเปิ่นหวาง…”
ยังไม่ทันพูดจบเขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากที่ใดก็ไม่รู้ “พวกเจ้าจะทำอะไร รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใครถึงได้กล้าหยาบคายเช่นนี้ ปล่อยข้านะ! ปล่อยข้า!”
ใบหน้าของฉีตงจวิ้นอ๋องซีดลง เขาจำเสียงนี้ได้นี่เป็นเสียงของเจียงจ้านบุตรชายคนโตของเขา ถึงแม้บุตรชายคนนี้จะทั้งเสเพลและทำตัวไร้สาระ แต่ก็เป็นบุตรชายคนเดียวของเขา
“เจี่ยงเหวินเฟิง!” น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไป “ท่านจะทำอะไรบุตรชายของข้า!”
เจี่ยงเหวินเฟิงยิ้ม “ท่านอ๋อง พูดแล้วก็ทำให้ท่านกังวล ซื่อจื่ออยู่ห้องข้างๆ ได้ยินว่าช่วงนี้เขาป่วย คืนนี้ทำให้เขาหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ข้าน้อยจึงเชิญหมอมาดูแลเขาเป็นพิเศษ”
ยิ่งได้ยินเขาพูดเช่นนั้นฉีตงจวิ้นอ๋องก็ยิ่งรู้สึกกลัว เจียงจ้านป่วยเป็นอะไร เขารู้อยู่แก่ใจดี
เมื่อไม่นานมานี้ที่สวนซิ่นได้เกิดเหตุมั่วซั่วขึ้น เขาถูกผีเร่ร่อนทำให้ตกใจกลัวจนความเป็นชายมีปัญหา ท่านหมอบอกว่าเกิดจากความตกใจมากเกินไป ขอแค่เพียงทำตัวผ่อนคลาย ดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีก็หายแล้ว
นั่นเป็นเหตุผลที่เจียงจ้านถูกกักขังอย่างแน่นหนา แต่วันนี้เป็นวันสรงน้ำพระจึงได้พาเขาออกมาสูดอากาศ
เจี่ยงเหวินเฟิงเชิญคนให้มาดูอาการเขา มีอะไรให้น่าดูกัน!
ฉีตงจวิ้นอ๋องคิดถึงเรื่องนี้แล้วเขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากอีกด้านหนึ่ง
“พวกเจ้าทำกับข้าเช่นนี้ไม่ได้นะ! ข้ามีชื่อเสียงมีคุณงามความดี ข้าเป็นที่ปรึกษาของท่านอ๋อง พวกเจ้า!”
ฉีตงจวิ้นอ๋องรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้น นั่นมันเสียงของท่านอู่!
เพียงครู่เดียวทั้งสองฝั่งก็เงียบลง
หลังจากนั้นไม่นานเหลยหงก็เข้ามาพร้อมกับเอกสารสองสามฉบับที่เต็มไปด้วยตัวอักษร “ใต้เท้า นี่เป็นคำสารภาพขอรับ”
เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้าแล้วรับคำสารภาพมาอ่าน แล้วเขาก็ต้องเลิกคิ้วขึ้น รอยยิ้มหายไปจากใบหน้า
“เป็นเรื่องจริงงั้นหรือ”
เหลยหงตอบกลับ “ใต้เท้าวางใจได้ขอรับ พวกเราใช้ยาคายความลับกับเขา คำสารภาพเหล่านี้เป็นเรื่องจริงแน่นอนขอรับ”
เจี่ยงเหวินเฟิงถอนหายใจแล้วพยักหน้า “เข้าใจแล้ว เจ้าไปเถอะ”
ใจของฉีตงจวิ้นอ๋องเต้นรัวเป็นจังหวะกลอง เกิดอะไรขึ้น เหตุใดสายตาที่เจี่ยงเหวินเฟิงมองเขานั้นราวกับมี…ความเห็นอกเห็นใจงั้นหรือ
เขาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองคำสารภาพนั้น คำสารภาพบนโต๊ะเขียนไว้อย่างชัดเจนและเนื้อหาในนั้นดึงดูดสายตาของเขา
“เป็นไปไม่ได้!” ฉีตงจวิ้นอ๋องลุกขึ้น “เขาจะเป็นทายาทที่หลงเหลือของราชวงศ์ก่อนได้อย่างไรกัน!”
………………………………………..
[1] เจี่ยอี : ชุดสำหรับออกรบ