วันรุ่งขึ้นหยางชูพานายท่านสองกับนายท่านสามกลับไป พวกเขาสองคนเป็นนักโทษร้ายแรง แต่ที่สามารถออกจากคุกได้ก็เพราะเจี่ยงเหวินเฟิงอนุมัติเป็นพิเศษ
ตระกูลหมิงจัดงานศพอย่างเรียบง่าย หมิงเวยไม่สนใจเรื่องนี้ เพราะว่าในที่สุดตระกูลจี้ก็ได้ส่งคนมาแล้ว คนจากตระกูลจี้ที่เดินทางมาหาคือจี้หลิง บุตรชายคนโตของนายท่านใหญ่แห่งตระกูลจี้ หมิงเวยต้องเรียกเขาว่าพี่ใหญ่
เมื่อคุณชายใหญ่แห่งตระกูลจี้มาเยือนตระกูลหมิง ภาพที่ปรากฏต่อสายตาของเขาคือคนในตระกูลหมิงสวมชุดไว้ทุกข์ ใบหน้าทุกคนเศร้าหมอง
เขาถามเด็กรับใช้ที่นำทางเขาเข้ามา “ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว พิธีศพของท่านอายังจัดไม่เสร็จอีกหรือ” ระยะทางจากเมืองหลวงมาตงหนิงไม่ใกล้เลย ทันทีที่ตระกูลจี้ได้รับข่าวก็รีบเดินทางมาที่นี่ซึ่งใช้ระยะเวลาหนึ่งเดือน
ดังนั้นจี้หลิงจึงไม่คิดว่าตัวเองจะมาทันพิธีศพ ใครจะรู้เล่าว่าเด็กรับใช้จะตอบว่า “พิธีศพของฮูหยินสามเกิดความล่าช้าขอรับ แต่พิธีศพในวันนี้เป็นพิธีศพของนายท่านหกขอรับ”
จี้หลิงได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว พิธีศพอะไรนะ เหตุใดฟังดูแปลกๆ หมายความว่าท่านป้าของเขายังไม่ถูกฝังและนายท่านหกแห่งตระกูลหมิงก็เพิ่งล่วงลับไปงั้นหรือ
ระหว่างที่พูดคุยกันเด็กรับใช้ก็ได้พาเขามายังห้องรับแขก ส่วนคนที่ออกมาต้อนรับเขานั้นคือหมิงเฉิง คุณชายสี่
จี้หลิงมองหมิงเฉิงที่ดูหดหู่หงอยเหงาดูไม่มีชีวิตชีวา แววตาหมองคล้ำ เขาก็ยิ่งงงงวยถึงแม้คนที่ตายจะเป็นท่านอาหกของเขา แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นถึงเพียงนี้เลยนี่ ทำตัวเหมือนอย่างกับบิดามารดาของตนเองตายไปได้…
ทั้งสองฝ่ายคารวะให้กันพูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยค จี้หลิงก็เปิดประเด็นว่าเขาต้องการพบฮูหยินผู้เฒ่า
หมิงเฉิงกลับตอบไปว่า “ท่านย่าเสียใจหนักมาก ไม่สะดวกพบแขก แต่ท่านย่าได้กำชับมาแล้วว่าหากท่านมาถึงให้นำทางไปพบน้องเจ็ดได้เลย”
จริงๆ ในเรือนจัดพิธีศพอันที่จริงไม่ต้องสนใจมารยาทพอเป็นพิธีเหล่านี้หรอกมันเป็นเรื่องปกติมาก จี้หลิงเดินตามหมิงเฉิงเข้าไปในสวนอวี๋ฟาง
ฮูหยินสามมีความคาดหวังอย่างมากต่อตระกูลจี้ และด้วยนิสัยของฮูหยินสามแล้วคนจากตระกูลจี้ก็ไม่น่าจะเลวร้ายใช่หรือไม่ ระหว่างที่คิดอะไรหลายอย่างในหัว ก็เห็นว่าหมิงเฉิงพาคนเข้ามาในสวนอวี๋ฟาง
คนผู้นี้อายุน่าจะประมาณยี่สิบสอง ยี่สิบสาม รูปร่างบอบบางแต่ทรงพลัง ใบหน้าคมสันที่ดูจริงจัง เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูไม่เก่ามาก แต่เนื้อผ้าที่สวมใส่ยังคงดูดีเหมาะสม เขาก้าวเดินอย่างใจเย็น ยามเลิกคิ้วขมวดแต่แววตากลับซื่อตรง เขามีกลิ่นอายเยือกเย็นบ่งบอกว่าไม่ใช่คนที่เข้าหาได้ง่าย
หมิงเวยมองดูด้วยความพอใจ ดูจากภายนอกแล้วถือเป็นบุคลิกที่ดีที่หาได้ยาก
“เสี่ยวชี” หมิงเฉิงสบตากับนางเขาก้มศีรษะลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ลูกพี่ลูกน้องจากตระกูลจี้มาหาน้อง”
หมิงเวยก้าวไปข้างหน้าเพื่อทำความเคารพ “คารวะพี่ใหญ่”
จี้หลิงคารวะตอบแล้วพูดว่า “ท่านพ่อเสียใจมากเมื่อรู้ว่าท่านอาเสียชีวิตจึงสั่งให้พี่มาดูเจ้าและจุดธูปไหว้ท่านอา”
หมิงเวยกล่าวตอบ “พี่ใหญ่เดินทางมาอย่างยากลำบากเข้าไปดื่มชาด้านในก่อนเถิดเจ้าค่ะ” จากนั้นก็เชื้อเชิญพวกเขาและสั่งให้สาวใช้ไปชงชามา
ตอนที่นางสั่งงานพวกนี้ จี้หลิงได้มองดูอย่างเงียบๆ นายท่านใหญ่แห่งตระกูลจี้แก่กว่าฮูหยินสามประมาณเจ็ดถึงแปดปี ตอนที่จี้หลิงยังเป็นเด็ก ฮูหยินสามยังไม่ออกเรือน นางมักจะช่วยพี่สะใภ้เลี้ยงดูหลานชาย จี้หลิงจึงสนิทสนมกับท่านอาคนนี้มาก
ตอนที่เขายังเด็ก ท่านอายังอยู่ที่เมืองหลวง ทั้งสองบ้านไปมาหาสู่กันบ่อยๆ จี้หลิงเองก็ยังจำรูปลักษณ์ของลูกพี่ลูกน้องคนนี้ได้ดี
นางเกิดมามีหน้าตาเหมือนท่านอา ตัวเล็กผิวขาวราวกับหิมะ นางงดงามมาก เสียดายที่เกิดมาโง่เขลา นางมักจะทำหน้างุนงงตลอดเวลา ผู้คนมักไม่เข้าใจเวลาพูดคุยกับนาง ราวกับนางเป็นตุ๊กตาเคลือบที่เคลื่อนไหวไม่ได้
เมื่อไม่นานมานี้ท่านพ่อได้รับจดหมายจากท่านอา บอกว่าน้องสาวคนนี้หายจากอาการป่วยแล้ว แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี
ตอนที่ท่านอาเดินทางออกจากเมืองหลวง ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงทำการหมั้นหมายด้วยปากเปล่า ท่านอามีชีวิตที่ยากลำบาก เสียสามีไปตั้งแต่ยังสาว เหลือเพียงบุตรสาวที่โง่เขลาผู้หนึ่ง หากครอบครัวฝั่งหญิงสาวไม่ดูแลแล้วจะยังหวังพึ่งผู้ใดได้อีก
เพียงแต่สองปีมานี้น้องห้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เมื่อเขาทราบเรื่องนี้ก็อาละวาดเสียใหญ่โต แม้พวกเขาจะไม่สามารถถอนหมั้นเพียงฝ่ายเดียวได้ แต่เรื่องที่ให้เขาแต่งงานกับหญิงโง่เขลานั้น ทุกคนในครอบครัวต่างก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย
ตอนนี้น้องสาวคนนี้หายดีแล้วทุกคนจึงรู้สึกยินดี ยามที่ไม่ได้พบกันจี้หลิงอยากรู้มากว่าน้องสาวผู้โง่เขลามาสิบกว่าปี เมื่อหายดีแล้วจะเหมือนกันกับคนธรรมดาหรือไม่
เมื่อมองดูนางจัดการเรื่องต่างๆ แล้ว ดูเข้มแข็งกว่าคนธรรมดาทั่วไปเสียอีก…
“พี่ใหญ่”
สติของจี้หลิงกลับมา เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามของหมิงเวย เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นางถามถึงสถานการณ์ที่บ้านของตนจึงตอบกลับไปว่า “ขอบคุณที่น้องเป็นห่วง ท่านพ่อกับท่านแม่แล้วก็ทุกคนที่นั่นสบายดี” หมิงเวยยิ้มแล้วพยักหน้า
จี้หลิงนึกถึงภาพที่เขาเพิ่งเห็นไปเมื่อครู่จึงถามออกไป “จริงสิ นายท่านหกตระกูลหมิงเพิ่งจากไปงั้นหรือ”
สีหน้าของหมิงเวยไม่เปลี่ยนแปลง “ใช่เจ้าค่ะ พี่ใหญ่เดินทางมาเวลาไม่ดีเท่าไร ท่านอาหกเพิ่งเสียไปเมื่อคืน”
หมิงเฉิงที่นั่งอยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพที่นางฆ่าคน มีดคาดเอวที่ส่องแสงราวกับหิมะตวัดเข้าไปอย่างไม่ลังเล…
หมิงเฉิงตัวสั่น จี้หลิงเห็นอย่างนั้นก็รู้สึกแปลกใจ
คุณชายสี่เป็นโรคอะไรที่ไม่สามารถเปิดเผยได้หรือไม่ ตั้งแต่เขาเข้ามาในสวนอวี๋ฟาง เขาก็ทำท่าทางเหมือนตกอยู่ในนรก ตอนนี้พอมองน้องสาวของตนเองก็ทำเหมือนกับเจอราชาแห่งยมราชอย่างนั้นแหละ
คนตระกูลหมิงนี่ไม่รู้จะพูดว่าอะไรจริงๆ นายท่านที่อยู่ที่เมืองหลวงก็ดูไม่ค่อยจะพึ่งพาได้ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าคุณชายสี่แห่งตระกูลหมิงดูไม่เลวเลยทีเดียว แต่พอดูเขาตอนนี้แล้วเหตุใดถึงได้…
จี้หลิงรู้สึกไม่พอใจ ลูกพี่ลูกน้องของตนทั้งดีทั้งรู้ความ แต่มีพี่ชายที่ทำตัวแปลกๆ เช่นนี้ จี้หลิงแสดงท่าทีเสียใจแล้วถามกลับไป “ได้ยินว่าท่านอายังไม่ถูกฝัง เวลาผ่านมาได้หนึ่งเดือนแล้วไม่ใช่หรือ เกิดอะไรขึ้นกัน”
หมิงเวยยิ้มแล้วตอบกลับไป “ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องขึ้น แต่ตอนนี้ได้รับการคลี่คลายแล้ว พี่ใหญ่มาได้จังหวะพอดีเลย น้องคิดว่าจะเผาศพท่านแม่ในอีกไม่กี่วัน”
“เผาศพงั้นหรือ” จี้หลิงเลิกคิ้ว “เหตุใดน้องถึงคิดจะเผาศพกันแล้วท่านอาของน้องมีความเห็นว่าอย่างไร”
ประเพณีดั้งเดิมคือการฝังศพ แล้วตระกูลหมิงมีเหตุผลอะไรที่จะให้เผาศพด้วย เช่นนี้จะฝังรวมในสุสานบรรพบุรุษได้อย่างไร
หมิงเวยตอบ “น้องยังไม่ได้พูดเรื่องนี้กับท่านอาสี่ วานพี่สี่ช่วยไปพูดกับท่านอาสี่ได้หรือไม่เจ้าคะ”
“อา” หมิงเฉิงที่ถูกนางเรียกก็เงยหน้าขึ้น พอเห็นสายตาของนางเขาก็ตัวหดทันที
“ได้สิ…” ได้ยินเช่นนั้นจี้หลิงยิ่งไม่พอใจ
หมิงเฉิงผู้นี้มีชื่อเสียงค่อนข้างดีในกั๋วจื่อเจียน เหตุใดถึงได้มีท่าทางหวาดกลัวอย่างกับน้องสาวของเขาเป็นโรคร้ายแรงเช่นนี้
หมิงเวยเห็นพี่ใหญ่ผู้นี้ครั้งแรก ความประทับใจแรกพบนับว่าไม่เลว แต่เพราะยังไม่ชิน บางคำพูดจึงยากที่จะพูดออกมานางจึงยังไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม เพียงตอบกลับไปว่า
“พี่ใหญ่เดินทางมาไกลคงเหนื่อยแล้วไปพักผ่อนก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ ไว้น้องจะพาพี่ใหญ่ไปจุดธูปไหว้ท่านแม่ตอนเย็น”
จี้หลิงรู้สึกว่ามันไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะพูดคุยด้วยจึงเห็นด้วยทันที “รบกวนน้องจัดการด้วย”
หมิงเวยพยักหน้าทั้งรอยยิ้มแล้วเรียกหมิงเฉิงอีกครั้ง “พี่สี่ น้องบอกท่านป้าสองเรียบร้อยแล้วว่าจะให้พี่ใหญ่พักที่เรือนซงเทา ที่นั่นอยู่ใกล้กับเรือนของพี่สี่ พี่สี่ช่วยนำทางพี่ใหญ่ไปได้หรือไม่”
หมิงเฉิงจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร เขารีบตอบรับอย่างรวดเร็ว หมิงเวยเรียกสาวใช้เข้ามาเพื่อสั่งให้นำของที่อาจจำเป็นสำหรับจี้หลิงไปส่งให้เขาที่เรือน
จี้หลิงมองนางที่จัดการงานต่างๆ ได้เป็นอย่างดี แม้แต่น้องสาวแท้ๆ ของตนที่ออกเรือนไปแล้วก็ยังเทียบไม่ติดจึงรู้สึกวางใจขึ้นมาก
มองอย่างไรนางก็ดีมากจริงๆ เช่นนี้น้องห้าคงไม่มีเหตุผลอะไรให้สร้างปัญหาอีกแล้ว อย่างไรก็ตามมันก็ไม่แน่นอนเช่นกัน เด็กนั่นมักจะคิดเรื่องแปลกๆ ผู้ใดจะไปรู้ว่าเขาจะเกิดบ้าขึ้นมาอีกหรือไม่
หมิงเฉิงลุกขึ้นก่อน “พี่ใหญ่จี้ เชิญทางนี้ขอรับ” จี้หลิงลุกขึ้นกล่าวลาหมิงเวยก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับหมิงเฉิง
…………………………