องค์หญิงหมิงเฉิงและโป๋หลิงโหวหยางว่างเป็นคู่สามีภรรยาที่เหมาะสมราวกับกิ่งทองใบหยก
ก่อนที่ไท่จู่จะเคลื่อนพลเดิมทีท่านดำรงตำแหน่งจวินโหว[1] ในบรรดาบุตรชายบุตรสาวของเขา องค์หญิงหมิงเฉิงอายุมากที่สุด นางเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้จากท่านพ่อของนางตั้งแต่ยังเล็ก
โป๋หลิงโหวหยางว่างทำงานภายใต้คำสั่งของไท่จู่ พวกเขาสองคนทำงานร่วมกันอยู่หลายปีจนในที่สุดก็ได้อภิเษกสมรสกัน
หมิงเวยในยุคสมัยนั้น มีผู้เชี่ยวชาญได้เรียบเรียงบทเพลงและขับร้องเรื่องราวของพวกเขาทั้งสองคน
องค์หญิงหมิงเฉิงผู้นี้ยามอยู่ในสนามรบนางทั้งกล้าหาญและดุดัน แต่โดยส่วนตัวแล้วนางเป็นผู้ที่ไม่ต้องการชื่อเสียงเงินทอง
เมื่อราชวงศ์นี้ได้ก่อตั้งแคว้นขึ้น ไท่จู่ได้แต่งตั้งนางขึ้นเป็นองค์หญิง ซึ่งองค์หญิงหมิงเฉิงนางไม่ได้เต็มใจเท่าใดนัก ต่อมานางกับโป๋หลิงโหวหยางว่างก็ได้ถอดชุดทหารและเดินทางกลับบ้านเกิดกัน พวกเขาสองคนจะไม่เข้าร่วมงานใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวกับการเมืองอีกต่อไป แต่จะหันไปสนับสนุนและให้ทุนการศึกษาและสร้างสถานศึกษาสำหรับเด็กผู้หญิงแทน
ตั้งแต่นั้นมาเมืองหลวงก็มีประเพณีการศึกษาเรียนรู้ของผู้หญิง
หมิงเวยเคารพองค์หญิงหมิงเฉิงมาก แม้ว่าราชวงศ์ฉีเหนือจะอยู่ได้ไม่นานและท้ายที่สุดแล้วหญิงสาวก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากคุกได้ แต่ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา หญิงสาวหลายคนก็ได้รับประโยชน์ไปไม่น้อย ถือว่าท่านมีบุญกุศลเหลือคณานับ
“องค์หญิงหมิงเฉิงและพระสวามีของท่านได้เสียชีวิตไปเมื่อสามปีก่อน โป๋หลิงโหวคนปัจจุบันคือบุตรชายคนโตของพวกท่าน คุณชายสามท่านนั้นต้องเรียกเขาว่าท่านลุงเจ้าค่ะ”
หมิงเซียงพูดเรื่องในเมืองหลวงอย่างคล่องแคล่วเหมือนกับนับสมบัติในบ้านของตน
“เขาเป็นคนที่น่าสงสารมากเจ้าค่ะ ก่อนที่เขาจะเกิดท่านพ่อของเขาได้เสียชีวิตลงจากอุบัติเหตุ พอเขาเกิดมาได้ไม่นานนัก ท่านแม่ของเขาก็เสียชีวิตลงด้วยโรคซึมเศร้า โชคดีที่องค์หญิงหมิงเฉิงผู้เป็นย่ายังมีชีวิตอยู่ ชีวิตของเขาเลยไม่ลำบากอะไร ได้ยินมาว่าในช่วงที่องค์หญิงหมิงเฉิงและพระสวามียังมีชีวิตอยู่นั้น ทั้งรักทั้งโอ๋เขามาก เขาเลยกลายเป็นคนที่ร้ายโดยไร้เหตุผลเจ้าค่ะ”
“โอ้…” หมิงเวยพยักหน้า เป็นคุณชายที่นิสัยเสียนี่เอง นางเข้าใจแล้ว
“เขามีชื่อเสียงอยู่สามเรื่อง เรื่องแรกคือดุร้ายอย่างไร้เหตุผล องค์หญิงหมิงเฉิงสงสารเขา พี่สาวคนโตที่เคารพคนปัจจุบันก็ทั้งรักทั้งประคบประหงมเขามากอย่างกับองค์ชาย เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาต้องยอมถอยให้สามก้าว เขาเป็นคนอารมณ์แปรปรวนและใครก็ตามที่มายั่วยุเขาก็จะได้รับความโชคร้าย แถมยังเป็นพวกรักสนุก ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมา ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย ชื่นชอบการดื่มสุราเคล้านารีเป็นที่สุด…”
เมื่อเห็นดวงตาที่แวววาวของหมิงเซียง หมิงเวยก็เข้าใจ “ท่านอาสะใภ้สี่บอกว่าเจ้าไม่สามารถไปเข้าร่วมได้ เป็นเพราะเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ”
หมิงเซียงพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ ได้ยินมาว่าคุณชายหยางท่านนี้เป็นคนเหลวไหลไร้สาระ หากเขาสนใจใคร ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นคุณหนูตระกูลไหน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำเรื่องที่เกินไป แค่ปล่อยให้เขาพูดจาเกี้ยวใส่สักสองประโยค มันก็ทำให้เราเสียชื่อเสียงได้แล้ว เพราะฉะนั้นในเมืองหลวงบ้านไหนที่มีบุตรสาวล้วนหลีกเลี่ยงที่จะพบเจอเขาทั้งนั้น”
มันช่าง…ไร้สาระจริงๆ
“แล้วเหตุผลที่สองล่ะ”
“เหตุผลที่สองก็คือ เขาเป็นคนที่มีดวงกินเมียเจ้าค่ะ”
หมิงเวยเลิกคิ้ว “เสียชีวิตไปกี่คนหรือ”
หมิงเซียงชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว “สามคน!” พอมาคิดๆ ดูแล้ว “พูดให้ถูกก็คือเขามีดวงชะตากาลกิณีส่งผลต่อครอบครัว พ่อแม่เสียตั้งแต่ยังเล็ก พี่น้องก็ไม่มี ส่วนภรรยา.. แม้กระทั่งคู่หมั้นของเขาก็ยังตายเลย ตอนนี้เลยไม่มีผู้ใดกล้าที่จะแต่งงานกับเขาเลยเจ้าค่ะ”
“ว่ากันว่าภรรยาคนแรกของเขาเป็นคู่หมั้นคู่หมายตั้งแต่วัยเด็ก ผู้หญิงคนนั้นเสียไปก่อนที่นางจะโตเสียอีก คนที่สองถูกหมั้นหมายไว้ตอนที่เขาอายุสองขวบ แต่ไม่ถึงสองปีนางก็เสียชีวิตลงด้วยอาการป่วย ส่วนคนที่สามนางนั้นรีบหนีตายไปบวชชีแล้ววิ่งขึ้นเนินเขา ผู้ใดจะรู้ว่านางทำไม่สำเร็จตกลงมาตายเสียก่อน”
หมิงเซียงอธิบายอย่างสมจริงสมจังจนหมิงเวยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เจ้ารู้มาเยอะเหลือเกิน”
“มีผู้ใดไม่รู้เรื่องพวกนี้บ้าง ตอนที่ข้าไปเมืองหลวงเมื่อปีก่อนข้าได้ยินจนหูอื้อไปหมดแล้ว!”
หมิงเวยคิดในใจคนบนโลกนี้ดำเนินไปอย่างน้ำขุ่นๆ ไม่รู้ว่าชะตากรรมภรรยาของคุณชายหยางผู้นั้นตกลงเป็นจริงหรือแค่ผ่านไป
“ยังมีเหตุผลที่สาม พี่เจ็ดลองทายดูสิว่าคืออะไร” หมิงเซียงกะพริบตามองนาง
หมิงเวยส่ายหน้า “ข้าเดาไม่ออกหรอก มันคืออะไรหรือ”
หมิงเซียงหัวเราะแหะๆ พูดเสียงเบาว่า “ได้ยินว่าเขาหน้าตางดงามมาก แม้แต่นางสนมในวังก็ไม่สามารถเทียบเทียมได้ ดังนั้นข้าต้องอดทนกับเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้ที่หน้าตาดีมักได้เปรียบเสมอ!”
ดวงตาของนางเป็นประกายเหมือนกำลังคิดแผนการอยู่ในใจ
“เจ้าอยากไปดูหรือไม่”
หมิงเซียงก้มหน้าลงกอดเสา “ท่านแม่ไม่ให้ข้าไป”
หมิงเวยพูด “คุณชายหยางผู้นั้นไร้สาระขนาดนั้น ดูไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ มันไม่คุ้มค่าที่จะเสียชื่อเสียงหากเจ้าจะไปดูเขา”
หมิงเซียงไม่ใช่นาง ในอนาคตนางต้องออกเรือนหากได้รับผลกระทบเข้าไปคงไม่ใช่เรื่องดีแน่
“ข้ารู้!” หมิงเซียงกอดเสา สีหน้าเหมือนอยากจะทนแต่ก็ทนไม่ไหว “ข้าแค่อยากเห็นว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร ได้ยินว่าท่านแม่ของเขากับเผยกุ้ยเฟยเป็นพี่น้องกัน เขาเหมือนมารดามาก เพราะฉะนั้นโตมาต้องเหมือนเผยกุ้ยเฟยมากแน่ เผยกุ้ยเฟยถือเป็นสาวงามที่มีชื่อเสียง…”
เผยกุ้ยเฟย นางจำได้ นางเป็นหญิงสาวที่เหวินตี้รักมากที่สุด แม้ว่านางจะตายไปแล้ว แต่ฝ่าบาทก็ต้องการถูกฝังในโลงศพเดียวกันกับนาง
แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้…
ในกรณีของราชวงศ์หยวน กุ้ยเฟยกับฮ่องเต้จะอยู่ในโลงศพเดียวกันได้อย่างไร ฉีเหนือในเวลานั้นกฎหมายของราชสำนักยังไม่เกิดความวุ่นวายใด
“ทนไว้!” หมิงเวยได้แต่ปลอบนางแบบนี้ “ท่านอาสะใภ้สี่ไม่อนุญาต เจ้าคงไปพบเขาไม่ได้”
หมิงเซียงร้องไห้คร่ำครวญ และเสียงนั้นก็ทำให้ฮูหยินสี่ที่อยู่ในห้องได้ยิน นางจึงพูดต่อว่า “เจ้าเงียบๆ หน่อย อย่าทำตัวเหมือนลิง!”
ฮูหยินสี่พูดเรื่องนี้เสร็จนางก็เดินทางกลับ นางมาที่นี่เพื่ออธิบายให้ฮูหยินสามฟัง
ก่อนหน้านี้คุณหนูเจ็ดป่วยจนต้องหมกตัวอยู่แต่ในเรือน ตอนนี้อาการของนางก็ดีขึ้นแล้วจึงต้องให้นางออกไปพบปะผู้คนบ้าง จริงๆ แล้วฮูหยินสามไม่สนใจ นางตัดสินใจที่จะพาบุตรสาวกลับบ้านเกิดของนาง บุตรสาวจะออกไปพบปะผู้คนหรือไม่นั้นไม่สำคัญเลย
หมิงเวยเองนางก็ไม่สนใจ สิ่งที่นางสนใจก็คือในเรือนนี้ซ่อนสิ่งใดไว้อยู่กันแน่
ไม่นานหลังจากนั้นนายท่านสี่ได้มาหาอยู่หลายครั้ง เขาไม่ได้พูดอะไร แล้วก็ไม่ได้ทำสิ่งใดด้วย แค่ยืนดูอยู่เฉยๆ
หมิงเวยให้เขาดูเพื่อบอกถึงความแตกต่าง ซึ่งนายท่านสี่เองเข้าใจได้ด้วยตนเองหรือว่ามีคนบอกกันแน่นะ
ครั้งแรกนายท่านสี่ดูสับสนเล็กน้อย แต่พอครั้งที่สองเขาก็ดูอย่างละเอียดเป็นเวลานาน
หลังจากนั้นเขาก็ไม่มาอีกเลย หมิงเวยหัวเราะดูเหมือนจะเป็นคนอื่นที่เข้าใจ
คนคนนั้นรู้ว่านางเข้าใจ เขาจะลงมือหรือเปล่านะ
หมิงเวยยังไม่ทันรอจนคนคนนั้นลงมือ หมิงเซียงก็มารออยู่ก่อนแล้ว
“พี่เจ็ดๆ!”
หมิงเวยประหลาดใจที่เห็นหมิงเซียงที่ทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ในสวนอวี๋ฟาง “เจ้ามาทำอะไรตรงนี้ เป็นขโมยงั้นรึ”
นางทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนไม่อยากให้ใครรู้
“ชู่ว!” หมิงเซียงดึงนางให้ลงมาซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้ กระซิบข้างหูนางเบาๆ “ข้าจะออกไปข้างนอก ท่านจะไปด้วยกันหรือไม่”
หมิงเวยมองนาง ดวงตาเปล่งประกาย “เจ้าคงไม่ได้คิดจะแอบไปดูคุณชายหยางคนนั้นใช่หรือไม่”
“ฮะๆ” พอถูกนางรู้ทันหมิงเซียงก็รู้สึกเขินเล็กน้อย “ข้าแค่จะไปแอบดู จะไม่พบเขา เพราะฉะนั้นข้าไม่เสียชื่อเสียงแน่นอน!”
“….”
“ถ้าท่านไม่ไป ข้าไปเอง!”
หมิงเวยรู้สึกว่าต้องถามอีกสักสองสามคำถาม “เจ้าไปคนเดียวงั้นหรือ จะไปแอบดูที่ไหน ไม่กลัวว่าจะถูกพบตัวเข้าหรืออย่างไร”
หมิงเซียงตอบ “วันนี้เขามาที่ตงหนิง! ท่านเจ้าเมืองได้พาเหล่าชนชั้นสูงไปต้อนรับ ท่านพ่อของข้า ท่านลุงสองก็ไปด้วย! ข้ารู้ว่าพวกเขาจะไปต้อนรับที่ใด แค่แอบดูจากแถวๆ นั้นก็พอแล้ว ข้ากับน้องหกจะไปด้วยกัน ตอนนี้เขารออยู่ด้านนอกแล้วเจ้าค่ะ”
“…” หมิงเวยรู้สึกปวดหัว นางจะโน้มน้าวหมิงฮ่าวได้อย่างไรกัน เขาคงไม่ได้ถูกหมิงเซียงรังแกมาหรอกใช่ไหม
“พี่เจ็ด! ข้ารู้สึกดีกับท่านถึงได้มาชวนท่านด้วย ถ้าพี่เจ็ดไม่ไปก็อย่ามาเปิดโปงข้านะ!” เมื่อเห็นว่านางดูไม่สนใจมากนัก หมิงเซียงจึงประกาศจุดยืนอย่างรวดเร็ว
“วางใจเถอะ” หมิงเวยคิด “ข้าจะไปกับเจ้า”
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เด็กสองคนนี้สร้างปัญหา
………………………………………………………
[1] จวินโหว : โหวผู้บัญชาการทหาร