หลังชำระกายเสร็จตัวฝูก็เข้านอนไป ส่วนหมิงเวยนั่งครุ่นคิดอยู่ตรงหน้าต่าง
นางคิดมาสักพักแล้วเขียนคำว่าหนิงซิวลงบนกระดาษสีขาว
ชื่อนี้นางได้ยินเป็นครั้งแรก เจ็ดสิบปีหลังจากนี้หนิงซิวจะมีอายุประมาณร้อยปี ถึงตอนนั้นคงมีการเปลี่ยนแปลงรุ่นไปเรียบร้อยแล้ว หากตนจะไม่เคยได้ยินชื่อนี้ก็คงไม่แปลกเพียงแต่…
นางเขียนคำว่า ‘ตัดขาด’ ไว้อีกด้านหนึ่ง บทเพลงนี้ไม่ได้เป็นที่แพร่หลายในวงกว้าง นางแค่เคยได้ยินอาจารย์เล่นเพลงนี้ แต่หนิงซิวกลับบอกว่าเพลงนี้เขาเป็นคนแต่งขึ้นมา
ที่แปลกกว่านั้นก็คือวรยุทธ์ของเขา
บนรถม้าก่อนหน้านี้หยางชูพูดถูก
ใช้กู่ฉินเป็นสิ่งควบคุมพลังวิธีการของหนิงซิวคล้ายกับนางมาก แต่เสียงกู่ฉินของเขาเป็นวรยุทธ์ ใช้เป็นเครื่องจักรสังหารได้ แต่เสียงขลุ่ยของนางใช้ชี่เป็นเคล็ดวิชามุ่งเน้นไปที่การขับไล่สิ่งชั่วร้ายเหมือนดอกไม้สองดอกที่บานบนต้นไม้ต้นเดียวกันมีต้นกำเนิดเหมือนกัน แต่เส้นทางที่เดินนั้นต่างกัน
นางรู้ว่ามีสถานศึกษาสอนเกี่ยวกับการใช้เสียงเป็นอาวุธอยู่หลายแห่ง แต่ไม่มีที่ไหนใกล้เคียงกับยุทธวิธีของนางเลย ทั้งสองปัจจัยนี้เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าหนิงซิวมีความสัมพันธ์บางอย่างกับท่านอาจารย์
อย่างที่เคยบอกว่าหากไม่ใช่อาจารย์ลูกศิษย์กันไม่มีทางถ่ายทอดวิชาให้ได้
อย่างไรก็ตามนางรู้ว่าอาจารย์ของท่านอาจารย์ไม่ได้ชื่อหนิงซิว
สายสัมพันธ์ของปรมาจารย์แห่งชีวิตเคยสูญหายไปนานแล้ว จนกระทั่งอาจารย์ของท่านอาจารย์ได้พบป้ายคุ้มกัน นามของปรมาจารย์แห่งชีวิตจึงได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เมื่อคำนวณระยะเวลาดูแล้วอาจารย์ของท่านอาจารย์ในตอนนี้น่าจะเป็นเสวียนชื่อธรรมดา และป้ายคุ้มกันที่เป็นตัวแทนสถานะของปรมาจารย์แห่งชีวิตปัจจุบันยังคงสูญหายไป
นี่คือสาเหตุที่นางกล้าเรียกตนเองว่าปรมาจารย์แห่งชีวิต หมิงเวยวางพู่กันลงและถอนหายใจ
ในช่วงปีแรกๆ นางเป็นคนชอบทำตามใจต้องการ ไม่ชอบฟังท่านอาจารย์พูดเกี่ยวกับอดีต เพราะฉะนั้นเรื่องราวชีวิตของอาจารย์ นางจึงรู้แค่เพียงผิวเผินจึงไม่สามารถบอกได้ว่าหนิงซิวกับเหล่าอาจารย์มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร
อืม…บางทีนางอาจต้องเริ่มจากการเข้าหาหนิงซิว และตามหาอาจารย์ของท่านอาจารย์ หากเป็นเช่นนั้นปรมาจารย์แห่งชีวิตอาจปรากฏตัวล่วงหน้า ตนเองจะได้ไม่หัวเดียวกระเทียมลีบอีกต่อไป
………….
หยางชูจ้องมองอีกฝ่ายอยู่สักพักแล้วถอนสายตากลับไปจากนั้นก็กระโดดลงจากกำแพง “ศิษย์น้องอะไรกัน ข้าไม่เคยมีอาจารย์”
หนิงซิวกระโดดลงจากหลังคาเช่นกัน “ไม่ว่าท่านจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ วิชากระบี่ของท่านก็เป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์สอนมา”
หยางชูหัวเราะเยาะ “นอกจากท่านปู่ท่านย่าแล้ว คนสอนข้าขี่ม้า ยิงธนู กลยุทธ์ทางทหาร ประวัติศาสตร์มีอยู่มากมาย…หากต้องเรียกว่าศิษย์น้องเพราะเกี่ยวข้องกันเช่นนี้ ข้าเรียกไม่ลงหรอก” พูดจบเขาก็เดินเข้าจวนของตนเองไป
หนิงซิวไม่ได้โต้เถียงอะไรเพียงแต่เดินตามหลังอีกฝ่ายไปเท่านั้น
“คุณชาย!”
เสี่ยวถงที่รออยู่ใต้ชายคาเห็นเขาก็เดินเข้าไปหาอย่างดีใจ นางกำลังจะเอ่ยปากพูดแต่ก็หันไปเห็นหนิงซิวที่อยู่ด้านหลังเสียก่อน “คุณชายมีแขกหรือเจ้าคะ”
หยางชูไม่ตอบแต่ถามกลับไป “อาหว่านล่ะ”
“วันนี้พี่อาหว่านยุ่งมากพอกลับมาถึงก็เข้านอนเลยเจ้าค่ะ”
หยางชูพยักหน้า “งั้นเจ้าก็ไปนอนได้แล้ว!”
เสี่ยวถงกะพริบตา “คุณชายมีแขกไม่ให้บ่าวอยู่รินชาให้หรือเจ้าคะ”
“เขาดูเหมือนแขกตรงไหนกัน” หยางชูพึมพำแล้วยกพัดโขกหัวอีกฝ่ายเบาๆ
“ในเรือนมีแค่เจ้าคนเดียวที่ไหนต่อไปหากข้ากลับมาช้า เจ้าไม่ต้องรอเป็นเด็กต้องนอนเยอะๆ จะได้ตัวสูงๆ เข้าใจหรือไม่”
เสี่ยวถงเข้านอนด้วยความไม่เต็มใจ ก่อนจากไปนางมองเหล่าสาวใช้ที่รีบเข้ามาด้วยความกระตือรือร้นแล้วแค่นหัวเราะ
หนิงซิวมองสาวใช้ด้วยสายตาเย็นชาพวกนางล้วนมีอายุเท่ากัน แต่ละคนแต่งตัวได้งดงามฉูดฉาดหรูหรา
“คุณชาย…”
ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกหยางชูตัดบทเสียก่อน “ไปๆๆ ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าหากไม่เรียกพวกเจ้าไม่ต้องออกมาให้เห็น!”
สาวใช้รู้สึกเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม “แต่พี่อาหว่านไม่อยู่คุณชายต้องมีคนคอยรับใช้นะเจ้าคะ”
“ข้าไม่มีมือมีเท้าหรือไง” หยางชูมีสีหน้าเย็นชา “ไปให้พ้นหน้าข้าได้แล้ว!”
เมื่อห็นเขาโกรธสาวใช้ก็เงียบกริบไม่พูดอะไรต่อ
“ยังไม่ไปอีก” เหล่าสาวใช้ได้แต่ย่อกายแล้วถอยออกไป หยางชูคลี่พัดจากนั้นก็นำมาพัดใส่ตนเองเพื่อดับอารมณ์ร้อนแล้วเดินเข้าห้องหนังสือ
หนิงซิวเดินตามไปพลางพูดอย่างไม่รีบร้อนว่า “คนในเมืองหลวงพูดกันว่าคุณชายสามแห่งจวนโป๋วหลิงโหวเจ้าชู้ วันๆ เอาแต่เสพสุข ใช้เงินทองแสนสบาย หมกมุ่นอยู่กับเหล่าสตรี เหตุใดวันนี้ถึงได้โกรธเช่นนี้เล่า”
หยางชูพูดอย่างเกียจคร้าน “ข้าต้องอธิบายให้ท่านฟังด้วยหรือ”
หนิงซิวไม่สนใจเขานั่งลงฝั่งตรงข้ามแล้วพูดต่อว่า “ปีก่อนช่วงแรกๆ ที่ข้ามาเมืองหลวง ข้าได้ยินข่าวลือเหล่านี้ก็ไม่เชื่อว่าท่านอาจารย์จะเลือกคนแบบนี้มาเป็นศิษย์ พอสอบถามเรื่องนี้จึงพบว่าเมื่อสามปีก่อนคุณชายหยางยังไม่ได้มีชื่อเสียงในเรื่องนี้ องค์หญิงใหญ่และโป๋วหลิงโหวควบคุมความประพฤติอย่างเข้มงวด นอกจากตามใจจนเหลิงแล้วก็ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร หลังจากนั้นองค์หญิงใหญ่และโป๋วหลิงโหวจากไปสิ้นสุดหนึ่งปีของการไว้ทุกข์ คุณชายสามก็กลายเป็นตัวแทนของการประพฤติตัวสำมะเลเทเมา”
พูดถึงเรื่องนี้หนิงซิวก็เอ่ยถามต่อ “ท่านบอกข้าได้หรือไม่ว่าเรื่องนี้มีอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่า”
เดิมทีหยางชูรู้สึกไม่ยินดีอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เขารู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น “ท่านคิดเอาตนเองเป็นศิษย์พี่แล้วจะยุ่งทุกเรื่องของข้าเลยหรือ นักพรตคนนั้นแค่สอนวิชากระบี่ข้าเท่านั้น สิบปีแล้วที่เขาจากไปจะมาสนใจอะไรกันตอนนี้!”
“ท่านโกรธที่ท่านอาจารย์ไม่สนใจท่านงั้นหรือ”
“ฮึ!” หยางชูยกพัดชี้หน้าอีกฝ่าย “ท่านอย่ามาพูดไร้สาระข้าไม่เคยไหว้อาจารย์จะมีอาจารย์ได้อย่างไร”
หนิงซิวยิ้มบาง “ท่านยอมรับก็ดีไม่ยอมรับก็ช่าง วาระสุดท้ายของท่านอาจารย์ ท่านให้ข้ามาเมืองหลวงเพื่อดูท่าน หากมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นข้าในฐานะศิษย์พี่ไม่ยุ่งคงไม่ได้ ข้าแค่เชื่อฟังคำสั่งของอาจารย์ท่านจะยอมรับหรือไม่ข้าไม่สนใจ“
หยางชูกำลังรินชาได้ยินที่อีกฝ่ายพูดเมื่อครู่เขาก็ชะงัก “ท่านว่าอะไรนะเขาเสียแล้วงั้นหรือ”
หนิงซิวพยักหน้า “ท่านอาจารย์จากไปเมื่อปีก่อนข้าเลยมาที่เมืองหลวง”
เห็นอีกฝ่ายก้มหน้าหนิงซิวเลยพูดอีกว่า “ท่านไม่ต้องเสียใจหรอกท่านอาจารย์จากโลกนี้ไปเป็นการเวียนว่ายตายเกิดเป็นสัจธรรมของชีวิต”
หยางชูเม้มปาก “ผู้ใดเสียใจกันข้าอยู่กับเขาเพียงไม่กี่เดือน ผ่านไปตั้งสิบปีข้าลืมไปแล้วว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร”
หนิงซิวพยักหน้า “ไม่เสียใจก็ดี” แล้วพูดอีกว่า “ท่านอาจารย์บอกว่าหากตอนนั้นท่านตามเขาไปเรื่องทุกอย่างคงไม่เกิดขึ้น แต่ท่านเลือกที่จะไม่ไป ยังอยู่ในโลกโลกีย์นี้ การติดต่อกับท่านจะเป็นการไม่ดีต่อพวกเราทั้งสองฝ่ายข้าถึงได้เพิ่งมาหาท่านในตอนนี้”
หยางชูพูดเสียงเบา “ผู้ใดต้องการให้เขาสนล่ะ”
หนิงซิวมองเขาเงียบๆ “ก่อนหน้านี้ที่สระฉางเล่อท่านสามารถเพิกเฉยไปได้ แต่ท่านก้าวออกไปอย่างกล้าหาญแสดงให้เห็นว่าเนื้อแท้ของท่านเป็นคนดี หลายปีมานี้ วรยุทธ์ของท่านไม่ได้ถูกทิ้งไปไหนไม่ถือว่าเป็นการดูถูกอาจารย์”
“ฮึ!”
“สาวใช้พวกนั้นเข้ามาหลังการจากไปขององค์หญิงใหญ่และโป๋วหลิงโหวงั้นหรือ ดูเหมือนว่าท่านจะใช้ชีวิตไร้สาระไปวันๆ จริงๆ”
“ท่านหยุดพูดว่าไร้สาระได้แล้ว!” หยางชูไม่ยอมรับ “อะไรเรียกว่าไร้สาระ ข้าเป็นคุณชายคนหนึ่งการที่มีสาวใช้อยู่รอบตัวมีอะไรผิดหรือ หากไม่เรียกใช้สาวใช้ ให้เรียกภรรยาแทนงั้นหรือ”
“พูดเช่นนี้หมายความว่าท่านแค่ให้พวกนางรับใช้เท่านั้นไม่ได้ให้ทำ…”
“เดี๋ยวๆๆ!” หยางชูพูดขัดเขา “จะให้ทำอะไรมันเกี่ยวอะไรกับท่านด้วย หากเป็นเช่นนั้นด้วยแล้วอย่างไร ข้าก็เป็นบุรุษธรรมดาคนหนึ่ง…”
“ท่านยังเด็กอยู่…”
“เด็กอะไรกัน คนอื่นที่อายุเท่าข้ามีลูกกันไปหลายคนแล้ว”
“แล้วทำไมท่านยังไม่มีเล่า” หยางชูเงียบลงในทันที
หนิงซิวตอบ “ท่านอย่าโกรธตนเองเลยมีปัญหาอะไรมาพูดกับศิษย์พี่ได้”
………………