แม่นมถงเป็นคนเฒ่าคนแก่ของตระกูลจี้เมื่อพบจี้ฮูหยินทั้งสองคนก็กอดกันร้องไห้ สะใภ้ใหญ่ต้องปลอบอยู่สักพักถึงจะสงบลง ต่อไปก็เป็นการจัดการสัมภาระและคน คนที่แม่นมถงพามานั้นมีจำนวนไม่น้อยโชคดีที่หมิงเวยซื้อจวนข้างๆ ไว้เรียบร้อยแล้วจึงสามารถอยู่ได้
ตอนเย็นหมิงเวยเล่าแผนการของตนเองให้พวกนางฟัง
“แม่นม เรื่องแต่งงานของข้ากับพี่ห้า ข้าคิดจะถอนหมั้น แต่ทุกคนที่นี่เป็นคนดี ขอเพียงท่านลุงไม่ไล่ข้าหลังจากนี้พวกเราจะอยู่ที่นี่ดีหรือไม่”
แม่นมถงพอใจมาก “คุณหนูสนิทกับตระกูลจี้บ่าวดีใจมากเจ้าค่ะ ส่วนเรื่องแต่งงานคุณหนูจัดการได้เลยเจ้าค่ะ”
อันที่จริงแม่นมถงแอบรู้สึกเสียดายเล็กน้อยประเพณีของตระกูลจี้ดีมากจะหาครอบครัวที่ดีเช่นนี้ได้ยาก แต่คุณหนูนางมีความคิดเป็นของตนเอง ตนก็ไม่อยากไปก้าวก่าย
“ซู่เจี๋ย ปิงซิน” ได้ยินหมิงเวยเรียกทั้งสองจึงก้าวออกมาข้างหน้า “เจ้าค่ะ คุณหนู”
“ตอนท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ท่านเคยบอกไว้ว่าพวกเจ้าสองคนถึงวัยควรออกเรือนแล้วข้าอยากให้พวกเจ้าเลือก” หมิงเวยส่งสัญญาณให้ตัวฝูหยิบกล่องออกมา
ทั้งสองคนรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เมื่อเปิดกล่องขึ้นมาเผยให้เห็นตั๋วเงินและโฉนดกองหนาที่วางอยู่ด้านใน
“นี่เป็นทรัพย์สินที่พี่ใหญ่ต่อสู้แทนข้าเพื่อให้ได้มันมา และยังเป็นทุนให้พวกเจ้าได้ตั้งตัวในอนาคต หากพวกเจ้าอยากออกเรือนไปข้าจะให้ท่านป้าเลือกครอบครัวที่ดีให้กับพวกเจ้าให้สินสอดกองหนาแก่พวกเจ้า พวกเจ้าจะได้ไม่ต้องเป็นสาวใช้อีกต่อไป หากตอนนี้ยังไม่อยากออกเรือนข้าจะให้พวกเจ้าช่วยข้าดูแลทรัพย์สินเหล่านี้ แต่พวกเจ้าต้องคิดให้ดีๆ การเลือกเส้นทางนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายพวกเจ้าต้องปรากฏตัวในสังคม และจัดการเรื่องทุกอย่างเฉกเช่นบุรุษ”
หลายคนไม่คาดคิดว่านางจะพูดเช่นนี้จึงตกตะลึงไปชั่วขณะ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่สาวใช้คนสนิทจะมาช่วยดูแลในเรื่องนี้ แต่หมิงเวยย้ำเรื่องแต่งงานเป็นพิเศษเหมือนว่าไม่ใช่การดูแลที่ธรรมดาทั่วไป
ปิงซินใจกล้าถามออกไปตรงๆ ว่า “คุณหนู ท่านบอกว่าเฉกเช่นบุรุษ หมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ”
“หมายความว่าจากนี้ไปข้าจะไม่มองพวกเจ้าเป็นสาวใช้ แต่มองในฐานะผู้ช่วย พวกเจ้ารู้จักอาหว่านอยู่แล้วคงรู้ว่านางอยู่ข้างกายคุณชายหยางมีหน้าที่อะไร”
ซู่เจี๋ยคิด “แต่แม่นางอาหว่านเป็นวรยุทธ์ รู้วิชาการแพทย์ แต่บ่าวกับปิงซินไม่เป็นในเรื่องพวกนี้”
หมิงเวยยิ้ม “เรื่องพวกนี้ผู้ใดเป็นตั้งแต่เกิดเล่าพวกเจ้าเพิ่งอายุได้สิบกว่าปี ร่ำเรียนตอนนี้ก็ยังทัน แน่นอนว่าไม่ต้องเป็นวรยุทธ์หรือรู้การแพทย์เหมือนอาหว่านหรอก ข้าแค่ยกนางให้พวกเจ้าดูเป็นตัวอย่างก็เท่านั้น”
เด็กสาวทั้งสองมองหน้ากันปิงซินกระตือรือร้นอยากลองทำดู “คุณหนูเจ้าคะ บ่าวยินดีอยู่ข้างกายคุณหนูและยินดีที่จะเรียนรู้เจ้าค่ะ”
ซู่เจี๋ยเองก็ตอบไปว่า “บ่าวเองก็เคยชินกับการติดตามคุณหนูเช่นกันเจ้าค่ะ”
หมิงเวยพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะลงมือจัดการให้ แม่นม ของในกล่องนี้ข้าให้แม่นมดูแล พวกนางในตอนนี้ยังรับผิดชอบไม่ไหว แม่นมช่วยชี้แนะพวกนางด้วย”
แม่นมถงเห็นด้วย “ตอนนี้บ่าวขยับตัวได้แล้วพอรู้เรื่องราวภายนอกอยู่บ้าง ต่อไปนี้บ่าวจะพยายามสอนพวกนางให้ดีที่สุดเจ้าค่ะ”
หมิงเวยยิ้ม “แม่นมอย่าฝืนตัวเองล่ะ พวกเราค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป” เมื่อจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จแม่นมถงก็พาปิงซินกับซู่เจี๋ยออกไป
ตัวฝูอยากจะพูดแต่ก็ลังเล “อยากถามว่าเจ้าทำอะไรได้บ้างใช่หรือไม่” หมิงเวยมองความคิดของนางออก
ตัวฝูก้มหน้า “บ่าว บ่าวรู้ตัวดีว่าตนเองไม่ควรปรากฏตัวต่อสังคมเจ้าค่ะ…”
หมิงเวยยิ้ม “เจ้าไม่ควรปรากฏตัวสู่สังคม แต่ไม่ใช่เพราะใบหน้าของเจ้า”
เพราะปานบนใบหน้าทำให้ตัวฝูไม่มั่นใจในตนเองโดยเฉพาะเมื่อนางไปที่สถานศึกษานางกลัวว่าคุณหนูจะถูกหัวเราะเยาะ
“ตัวฝู เจ้าเป็นคนรอบคอบและมีความสามารถ แต่เจ้าเป็นคนพูดไม่เก่ง เพราะฉะนั้นเรื่องปรากฏตัวสู่สังคมข้าเลยไม่ให้เจ้าทำ แต่เจ้าลองคิดดูข้าเคยสอนเคล็ดวิชาให้พวกนางหรือไม่” ตัวฝูเงยหน้าขึ้นสีหน้าของนางดูสับสน
“ไม่ใช่ว่าผู้ใดอยากเรียนเคล็ดวิชาก็เรียนได้” หมิงเวยตอบ “เรื่องที่ข้าต้องการทำนั้นอันตรายนับพันนับหมื่นมีแค่เจ้าเท่านั้นที่ช่วยข้าได้”
ตัวฝูฟังแล้วก็เข้าใจนางดีใจมาก “คุณหนูวางใจได้เจ้าค่ะ บ่าวจะตั้งใจฝึกฝนอย่างดี!”
หมิงเวยยิ้มแล้วพยักหน้าอีกทั้งยังเตือนสตินาง “ช่วงนี้เจ้าไม่ได้ส่องกระจกใช่หรือไม่ ปานของเจ้าจางลงกว่าเดิมแล้วนะ”
………….
ตกดึก มีเงาหนึ่งบินอยู่เหนือกำแพง
“ท่านเรียกข้ามีเรื่องอันใด”
หมิงเวยที่กำลังดูดซับแสงจากดวงจันทร์พอได้ยินเสียงนางจึงลืมตาขึ้น “มีเรื่องอยากถามท่านเจ้าค่ะ”
หยางชูนั่งบนสันหลังคา “พูดมาได้เลย”
“ท่านรู้เรื่องเส้นทางการค้ามนุษย์ในเมืองหลวงมากแค่ไหนเจ้าคะ”
หยางชูชะงัก “เหตุใดจู่ๆ ท่านถึงสนใจเรื่องนี้”
หมิงเวยตอบ “เมื่อคืนเพื่อนร่วมชั้นของข้าหายตัวไป พอข้าถามเหลยหงเขาบอกว่ามีความเป็นไปได้สูงที่นางจะถูกลักพาตัว”
“อ้อ” หยางชูตอบ “ความปลอดภัยของประชาชนเป็นงานของเจ้าเมือง พวกเราหวงเฉิงซือไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่พวกเราเป็นหน่วยสืบราชการจึงพอมีติดต่อกับเหล่าคนที่อยู่ในเงามืดอยู่บ้าง ในเมืองหลวงมีโลกใต้ดินอยู่เจ้าเมืองในราชวงศ์ก่อนสามารถกวาดล้างจนเรียบได้ แต่อย่างที่ท่านเข้าใจการที่จะทำเรื่องนี้ได้ต้องมีผู้คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ต้องมีผลประโยชน์ร่วมกันส่งข้อความกันลับๆ ทำให้ยากที่จะตัดรากถอนโคน”
“พูดเช่นนี้หมายความว่าท่านรู้ว่าจะเข้าไปในโลกใต้ดินนี้อย่างไรใช่หรือไม่เจ้าคะ”
หยางชูมองนางอย่างระแวดระวัง “ท่านคิดจะทำอะไร อย่าคิดยุ่งเกี่ยวจะดีกว่า! มันอันตรายมาก”
เพื่อปัดเป่าความคิดของนางเขาจึงบอกไปว่า “เมื่อคืนเกาฮ่วนพาคนไปค้นหาหลุมนั้นแล้วและพบว่ามันเชื่อมต่อกับทางน้ำใต้ดิน”
ไม่คิดว่าเขาจะพูดเรื่องนี้หมิงเวยยิ่งรู้สึกสนใจ “หมายความว่ามันกลายเป็นเรื่องเดียวกัน ทางฝั่งใต้เท้าเจี่ยงมีการเคลื่อนไหวอะไรบ้างหรือไม่เจ้าคะ”
“เดี๋ยว!” เหตุใดถึงกลายเป็นชักจูงให้สนใจขึ้นเรื่อยๆ ไปได้
หมิงเวยปลอบใจ “ท่านไม่ต้องกังวลไปเรื่องราวยังไม่ชัดเจน ข้าไม่ยุ่งวุ่นวายหรอกเจ้าค่ะ”
หยางชูเหล่มองนาง “หมายความว่าถ้าเรื่องราวชัดเจนแล้วท่านจะเข้าไปยุ่งงั้นหรือ”
“เหตุใดท่านถึงเข้าใจคำพูดของข้าผิดไปเช่นนี้เล่า”
“ฮะๆ” หยางชูไม่เชื่อนางเลยสักนิด
เขาพูดด้วยความจริงจังและโน้มน้าวนาง “อำนาจในเมืองหลวงมีความซับซ้อนมาก ไม่ว่าจะเป็นเจี่ยงเหวินเฟิงหรือข้าก็ยังไม่กล้าที่จะทำอะไรผลีผลามแล้วนับประสาอะไรกับท่าน”
หมิงเวยพูด “ข้ารู้ว่าพวกท่านไม่ต้องการทำอะไรผลีผลาม ข้าถึงได้มีความคิดนี้ แม่นางคนนั้นดีกับข้ามาก ข้าไม่สามารถเพิกเฉยต่อมิตรภาพนี้ได้ ท่านน่าจะรู้ แม่นางคนนั้นถูกลักพาตัวไปจะต้องพบเจอกับอะไร หากนางตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นจริงๆ ชีวิตของนางคงต้องจบลง”
หยางชูเข้าใจเด็กสาววัยสิบสี่สิบห้าปีตกอยู่ในน้ำมือของโจรลักพาตัว โดยพื้นฐานแล้วมีเพียงจุดประสงค์เดียวคือถูกนำไปใช้ประโยชน์ ต่างกันตรงที่ว่าจะถูกขายให้ผู้ใด หากโชคดีก็ถูกขายไปเป็นภรรยาหรืออนุ หากโชคร้ายก็คงไปอยู่ในสถานที่สกปรก แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนชีวิตก็พังพินาศอยู่ดี
“ถึงอย่างนั้นท่านก็ไม่จำเป็นต้องลงมือเอง คุณหนูตระกูลเหวินก็หายตัวไปเช่นกันไท่จื่อไม่นั่งดูอยู่เฉยๆ หรอก”
หมิงเวยส่ายหน้า “พึ่งพาตัวเองดีกว่าไปคาดหวังผู้อื่นเจ้าค่ะ”
นางพูดอีกว่า “ข้าเรียกท่านมาก็เพราะเกรงว่าหากผลีผลามลงมือไปก่อนจะทำให้การดำเนินการของใต้เท้าเจี่ยงล่าช้าข้าจึงต้องการเข้าใจสถานการณ์ของพวกท่าน ต้องให้ไม่มีอะไรขัดแย้งกันถึงจะเริ่มลงมือ”
หยางชูจ้องมองนางอยู่เป็นเวลานานแล้วถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ช่วยไม่ได้ เอาอย่างนี้ละกันเหลยหงกำลังคิดหาวิธีจับโจรลักพาตัวสักสองสามคนเพื่อเค้นข้อมูลจากพวกมัน ท่านคงทราบดีว่าเจี่ยงเหวินเฟิงเพิ่งได้รับตำแหน่งคนในเงามืดหลายคนยังไม่มีการซุ่มโจมตีเรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้”
หมิงเวยพยักหน้า “เข้าใจแล้วไม่มีอะไรขัดกับแผนการของข้าเจ้าค่ะ”
…………………