หมิงเวยไม่ใช่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกนั้นเลย พวกนักบู๊ใช้วรยุทธ์บ่อนทำลายความสงบเรียกว่าโลกมืด เป็นส่วนหนึ่งของยุทธภพ
ปรมาจารย์แห่งชีวิตเป็นคนท่องยุทธภพเหตุใดนางจะไม่รู้เรื่องนี้เล่า
ยุทธภพเป็นแนวคิดทั่วไปซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับกฎหมายและมีกฎเกณฑ์ของตัวเอง มีทั้งความดีจากการผ่านมาเห็นความไม่เป็นธรรมจึงยื่นมือเข้าช่วย และความชั่วจากการทำร้ายมนุษย์ด้วยกันเอง การลงโทษความชั่วนี้ก็คือต้องเข้าไปในโลกของพวกเขา
หมิงเวยในชาติก่อนเคยตามท่านอาจารย์เข้าเมืองหลวงในช่วงระยะเวลาหนึ่ง สามลัทธิเก้ากระแสนางติดต่อพวกเขาเกือบทั้งหมดจึงรู้ว่าจะเข้าไปในโลกนี้อย่างไร
หยางชูกำชับนางซ้ำๆ “หากเกิดสถานการณ์อะไรให้รีบแจ้งข้าทันที อย่าเอาตนเองเข้าไปเสี่ยงเด็ดขาดโลกในเมืองหลวงมีอำนาจที่ซับซ้อนมาก”
หมิงเวยยิ้ม “วางใจเถอะ ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
………….
วันรุ่งขึ้นมีอาจารย์จากสถานศึกษาซิ่วชานมาเยี่ยมจวนตระกูลจี้
เขาชี้แจงอย่างเป็นเรื่องเป็นราวว่าตนจะพานักเรียนส่วนหนึ่งไปศึกษาดูงานที่สถานศึกษาซานไถ เดิมทีด้วยการเรียนของจี้เสียวอู่เขาจึงไม่ถูกเลือก แต่อาจารย์ท่านนี้เสียดายในความสามารถของเขาจึงต้องการพาเขาไปสัมผัสกับบรรยากาศเพื่อพยายามช่วยอีกฝ่ายให้กลับมาตั้งใจศึกษาเล่าเรียน
นายท่านจี้ดีใจมาก สถานศึกษาซานไถอยู่ห่างจากเมืองหลวงประมาณร้อยลี้ มีผู้สืบสานลัทธิขงจื้อจำนวนไม่น้อยและมีรูปแบบการศึกษาที่เข้มแข็งมาก การได้มีโอกาสได้ศึกษาดูงานสถานศึกษาแห่งนี้แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ดี
จี้เสียวอู่เป็นเด็กฉลาดมาตั้งแต่เด็กเดิมทีนายท่านจี้ให้ความคาดหวังกับเขาไว้มาก ผู้ใดจะรู้ว่าความฉลาดของเขาไม่เคยนำมาใช้ให้ถูกทางจะสั่งสอนอย่างไรก็ไม่ได้ผล
จนนายท่านจี้ยอมแพ้ไปแล้วจี้เสียวอู่มีชื่อเสียที่โด่งดังมากสถานศึกษาหลายแห่งไม่รับเขา นายท่านจี้จึงทำได้เพียงส่งเขาไปใช้ชีวิตอย่างไร้เป้าหมายที่สถานศึกษาซิ่วชาน
ตอนที่มีอาจารย์ที่ยังคงคาดหวังในตัวเขาจะไม่ให้นายท่านจี้ซาบซึ้งได้อย่างไร ไม่ต้องพูดอะไรมากนายท่านจี้ตอบตกลงแถมยังจัดโต๊ะอาหารเลี้ยงต้อนรับเขาเป็นอย่างดีด้วย
หลังดื่มเสร็จเรียบร้อยจี้เสียวอู่เดินออกไปส่งอาจารย์ด้วยความงุนงง
เมื่อมาถึงปากซอยทางเข้าหมิงเวยที่นั่งทานปิงเล่า[1]อยู่ที่ร้านฝั่งตรงข้ามเดินมาทำความเคารพอีกฝ่าย “ครั้งนี้รบกวนท่านอาจารย์แล้ว”
อาจารย์ท่านนี้ดื่มจนแก้มแดงพอเห็นหมิงเวยเขาก็รีบเก็บอาการเมามายและทำความเคารพกลับอย่างสุภาพ “ไม่กล้าๆ เรื่องจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าขอตัวก่อน” พูดจบอีกฝ่ายก็พยักหน้าให้จี้เสียวอู่และขึ้นเกี้ยวจากไป
จี้เสียวอู่รู้สึกสับสนมากขึ้นกว่าเดิมเขาถามนางไปว่า “เจ้าทำอะไรน่ะ เหตุใดอาจารย์ถึงได้สุภาพกับเจ้าขนาดนั้นแล้วศึกษาดูงานอะไรอีก เรื่องนี้เจ้าเป็นคนทำงั้นหรือ”
หมิงเวยยิ้ม “ก็ท่านรับปากแล้วว่าจะช่วยข้าหากท่านต้องไม่อยู่จวนสักพักก็ต้องหาเหตุผลมารองรับมิใช่หรือ”
จี้เสียวอู่ตกใจ “เจ้าต้องการให้ข้าช่วยอะไรถึงต้องไม่อยู่จวนสักพัก”
เขานึกว่าเหมือนกับเมื่อวานนี้แค่แอบออกไปทำธุระ
หมิงเวยพาเขาออกไปข้างนอก “พี่ห้า ท่านรู้หรือไม่ว่าหากต้องการเข้าใกล้โจรลักพาตัวพวกนั้นต้องเริ่มจากตรงไหน”
จี้เสียวอู่กะพริบตาปริบๆ “เจ้าคงไม่ให้ข้าแกล้งทำเป็นโจรลักพาตัวใช่หรือไม่”
หมิงเวยส่ายหน้า “โจรลักพาตัวอยู่กันเป็นกลุ่ม หากให้ท่านแสร้งทำท่านทำได้หรือ”
“แล้วเจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร”
นางหยุดอยู่ที่ทางแยกถนนแล้วชี้ไปที่ขอทานที่กำลังขอทานอยู่ข้างถนน “เคยได้ยินคำว่ากลุ่มยาจกหรือไม่”
“อา!” จี้เสียวอู่ตื่นเต้นมาก “เจ้ารู้จักกลุ่มยาจกงั้นหรือ พวกเขาเหมือนกับที่เขียนไว้ในนิทานหรือไม่เป็นกลุ่มใหญ่อันดับหนึ่งในใต้หล้า สร้างวีรกรรมที่ยุติธรรมและกล้าหาญ ช่วยเหลือผู้คนที่ถูกคุกคามจากผู้ไม่หวังดี”
หมิงเวยยิ้ม “พี่ห้าช่วยอ่านบันทึกให้น้อยลงหน่อย! กลุ่มยาจกมีอยู่จริง แต่ไม่ได้เป็นองค์กรใหญ่ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันตามที่เขียนไว้ในนิทาน กลุ่มยาจกในแต่ละพื้นที่ไม่ได้อยู่ใต้คำสั่งของผู้ใด แม้ว่าจะอยู่ในที่แห่งเดียวกัน แต่ก็แบ่งออกเป็นหลายฝ่าย บางคนยึดมั่นในความยุติธรรมและความกล้าหาญ แต่บางคนก็ก่อกรรมทำชั่วไปหมด”
“เป็นเช่นนั้นหรือ! แล้วเหตุใดเจ้าถึงรู้ถึงเพียงนี้ล่ะ”
หมิงเวยไม่ตอบคำถามนี้ แต่ถามกลับไปว่า “พี่ห้าสนใจอยากลองสัมผัสประสบการณ์ชีวิตของยาจกดูหรือไม่”
จี้เสียวอู่จ้องมองนางอยู่เป็นเวลานานและในที่สุดก็ตะคอกออกไป “ข้ารู้แล้ว เจ้าจะให้ข้าทำเรื่องไม่ดีสินะ!”
หมิงเวยเล่นกับขลุ่ยในมือ “ท่านไม่ได้อยากรู้เคล็ดวิชา หรือท่องยุทธภพงั้นหรือ ข้าให้โอกาสท่านแต่ท่านกลับไม่รับไว้เสียนี่”
จี้เสียวอู่ตอบ “ข้าอยากสัมผัสประสบการณ์ในยุทธภพอยู่แล้ว แต่ให้ข้าแสร้างทำเป็นยาจก มันไม่ได้ทั้งสกปรกทั้งเหม็นและกินไม่อิ่มหรอกหรือ”
หมิงเวยเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ท่านคิดว่าท่องยุทธภพมันสุดยอดมากหรือไม่ แล้วอีกอย่างผู้ใดบอกว่าท่านต้องทั้งสกปรกทั้งเหม็นและกินไม่อิ่มด้วยล่ะ”
หมิงเวยยื่นมือออกไปสัมผัสใบหน้าอีกฝ่าย “พี่ห้าเกิดมาหน้าตาหล่อเหลาเช่นนี้ แม้จะเป็นยาจก แต่ก็มีชาติกำเนิดสูงส่งแถมยังทำให้คนเชื่อถืออีก!”
จี้เสียวอู่หน้าแดงเล็กน้อยเขาตบมือนาง “อย่ามาหลอกเอาเปรียบข้าเลย! ขอทานมีชื่อเสียงด้วยหรือ”
“แน่นอน อย่างตระกูลกัวที่ลั่วเฉิงเป็นผู้นำกลุ่มยาจกมาสามรุ่นแล้ว แม้แต่เมืองใกล้เคียงอีกหลายเมืองก็อยู่ในอิทธิพลของตระกูลของเขา” หมิงเวยยิ้มตาหยี “พี่ห้า ท่านสนใจอยากเป็นคุณชายน้อยแห่งตระกูลกัวหรือไม่”
………….
ในบ้านหลังหนึ่ง ณ ชานเมืองหยุนจิง จี้เสียวอู่มองไปที่เครื่องแต่งกายของตนเองอย่างเชื่องช้า
เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่เป็นชุดผ้าไหมเห็นได้ชัดว่าทำจากวัสดุที่ดี งานฝีมือละเอียด แต่ตรงไหล่ เข่าและข้อศอกโดนตัดจนเป็นรูขนาดใหญ่แล้วจัดการปะซ่อม ดูไม่เป็นระเบียบเท่าไรนัก
“ข้าต้องแต่งกายแบบนี้หรือ” เขาถามเสียงเบา
หมิงเวยตอบ “ปะชุนพวกนี้เป็นการแสดงสถานะ หากท่านแต่งกายไม่เหมือนเขาจะให้ลูกน้องยอมรับได้อย่างไร” นางชี้ไปที่มุมห้องและหยางชูกำลังนั่งดื่มชาอยู่ตรงนั้น
จี้เสียวอู่เบะปาก
“เอาล่ะ!” หมิงเวยปลอบโยนเขา “พี่ห้า ท่านลองคิดดูตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ท่านคือคุณชายกัวผู้มีชื่อเสียงในยุทธภพที่เดินทางไกลมาจากลั่วเฉิง เมื่อท่านมาถึงหยุนจิง ท่านได้เยี่ยมเยียนวีรบุรุษมากมายเหมือนอย่างที่เขียนไว้ในนิทาน จอมยุทธ์น้อยออกจากเขาเพื่อสร้างชื่อเสียง” จี้เสียวอู่ใจเต้นกับคำพูดของนาง
“แต่จอมยุทธ์พวกนั้นมีวรยุทธ์ที่แข็งแกร่ง…”
“วรยุทธ์ของท่านก็แข็งแกร่ง” หมิงเวยพูดขัดเขา “ก่อนอื่นเอากริชนั่นมาหน่อย” จี้เสียวอู่หยิบมันออกมา
“ท่านดูตรงนั้น มียุงอยู่ลองขว้างไปดูสิ”
จี้เสียวอู่มองไปสักพักก็เห็นยุงตัวเล็กๆ บนผนัง “ข้าจะไปขว้างโดนได้อย่างไร” หมิงเวยให้กำลังใจเขา “ท่านลองก่อนแล้วค่อยพูด”
จี้เสียวอู่ลองทำท่าทางตามที่หมิงเวยสอนมาแล้วขวางกริชออกไป
‘ฉึก’ กริชจึงฝังแน่นในแผงผนังยุงถูกตัดออกเป็นสองท่อน จี้เสียวอู่ถึงกับผงะและชี้ไปที่ตัวเองด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “ข้าขว้างโดนหรือนี่”
“ใช่! ในระยะสิบจั้งไม่พลาดเป้า” หมิงเวยยิ้ม “ตอนนี้ท่านมีความมั่นใจบ้างหรือยัง”
“แล้วถ้าพวกเขาอยากแข่งกำลังภายในกับข้าเล่าจะทำอย่างไร”
หมิงเวยพยักพเยิดหน้าไปที่มุมห้อง “ได้ยินหรือไม่”
หยางชูแค่นหัวเราะเขาวางถ้วยชาลงแล้วเดินเข้ามาหา “นั่งลง!”
หมิงเวยดึงจี้เสียวอู่ให้นั่งลงบนเก้าอี้ “พี่ห้า อาจจะเจ็บนิดหน่อย แต่ช่วยทนหน่อยนะ” จี้เสียวอู่ยังไม่ทันได้พูดอะไรหยางชูก็กระแทกฝ่ามือเข้ามา
“อา!” จี้เสียวอู่กรีดร้อง
เห็นหยางชูกดช่วงกระดูกสันหลังเขาอยู่พลังภายในของอีกฝ่ายพุ่งออกมาเข้าสู่เส้นลมปราณของเขา จี้เสียวอู่เหงื่อท่วมเขาพยายามดิ้นรนแต่ก็ถูกหมิงเวยกดเอาไว้แน่น
ผ่านไปสักพักหยางชูก็ชักมือออกมาแล้วพูดว่า “ข้าผนึกกำลังภายในไว้ในเส้นลมปราณของเจ้าชั่วคราว เจ้าสามารถใช้พลังได้จากวรยุทธ์ที่ข้าสอนไป แต่เจ้าต้องจำไว้ว่านี่ไม่ใช่กำลังภายในของเจ้ามันจะค่อยๆ สลายไปแล้วเจ้าจะอ่อนแอลงเรื่อยๆ ทางที่ดีที่สุดคือยอมจำนนตั้งแต่แรกจะได้ไม่ต้องเปลืองแรงในภายหลัง”
……………
[1] ปิงเล่า : ของหวานคล้ายหวานเย็น มีส่วนผสมหลากหลายแตกต่างกันไปเช่น ผลไม้ น้ำผลไม้ นมวัว ดอกเก๊กฮวย น้ำแข็ง ฯลฯ