กลางฤดูร้อนจะบอกว่าเปลี่ยนก็เปลี่ยน เมื่อสักครู่อากาศยังร้อนอบอ้าว แต่หลังจากเกิดฟ้าผ่า ลมพัดแรงก็เห็นเค้าลางว่าฝนกำลังจะตก
ว่านต้าเป่าเดินออกมาจากพระที่นั่งหมิงกวางเมื่อเห็นว่าใครที่ยืนอยู่หน้าพระที่นั่งเขาก็รีบเดินเข้าไปหา
“ไท่จื่อ” เขาทำความเคารพต่ออีกฝ่าย “เชิญพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อเจียงเชิ่งมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า “รบกวนกงกงแล้ว” แล้วเดินผ่านประตูพระที่นั่งเข้าไปด้านใน
ปีนี้เจียงเชิ่งมีพระชนมายุยี่สิบสี่ชันษาเขาเป็นโอรสองค์แรกที่เกิดจากฮองเฮา รูปลักษณ์หล่อเหลาสง่างาม ดวงตาเป็นประกาย ดูคล้ายฮ่องเต้อยู่หลายส่วนอีกทั้งยังมีบุคลิกที่สงบเจียมเนื้อเจียมตัวและสุภาพ
ไท่จื่อองค์นี้ไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้หรือข้าราชบริพารต่างไม่มีเรื่องให้ต้องบ่น แม้ฮองเฮาจะเสด็จสวรรคตไปแล้ว ตำแหน่งไท่จื่อของเจียงเชิ่งนั้นมั่นคงราวกับเขาไท่ซาน
เจียงเชิ่งเข้ามาในพระที่นั่งหมิงกวางแล้วก้มลงกราบ “คารวะเสด็จพ่อ”
ฮ่องเต้วางพู่กันลงแล้วยิ้ม “ลุกขึ้นเถอะ”
เจียงเชิ่งกล่าวขอบพระทัยจากนั้นก็ลุกขึ้นนั่งลงบนเก้าอี้ได้ยินฮ่องเต้ตรัสถามว่า “ดึกดื่นเช่นนี้ เชิ่งเอ๋อร์มีเรื่องอะไรหรือ”
เจียงเชิ่งหลบตาแล้วก็สังเกตเห็นรองเท้าปักคู่หนึ่งที่อยู่หลังฉากกั้นห้อง จิตใจก็ดำดิ่งลงเขาพูดออกไปว่า “เรื่องของน้องหญิงตระกูลเหวินพ่ะย่ะค่ะ ลูกไม่ควรมารบกวนเสด็จพ่อดึกดื่นเช่นนี้ แต่นานแล้วที่น้องหญิงยังไม่กลับจวน ที่จวนเฉิงเอินโหวฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ล้มป่วย ทางด้านจวนจิงเจ้าเองก็ไม่ได้รับข่าวคราว ลูกเลยมาขอคำแนะนำจากเสด็จพ่อ”
ฮ่องเต้พยักหน้า “เป็นเช่นนั้นหรือแล้วสถานการณ์ของฮูหยินผู้เฒ่าเป็นอย่างไรบ้าง”
เจียงเชิ่งตอบ “ไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายแรงอะไรพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ท่านอายุมากแล้วลูกเลยเป็นกังวล”
ได้ยินเขาพูดเช่นนั้นฮ่องเต้ก็รู้สึกพอใจ “ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นยายของลูก เป็นห่วงท่านก็เป็นเรื่องสมควรแล้วส่วนเรื่องตามหาคน เจียงชิงกำลังเร่งตามหาอยู่ไม่ใช่หรือลูกต้องการคำแนะนำอะไรงั้นหรือ”
เจียงเชิ่งตอบ “ใต้เท้าเจี่ยงมีความสามารถตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เขาเพิ่งได้รับตำแหน่งเจ้าเมือง เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องรีบเร่งแก้ไข ลูกพบว่าการหายตัวไปของน้องหญิงน่าจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มยาจก เสด็จพ่อเองก็คงทราบดีว่ากลุ่มยาจกเป็นภัยพิบัติในเมืองหลวงมานาน น่าเสียดายที่เจ้าเมืองในราชวงศ์ก่อนไม่สามารถกวาดล้างได้หมด ลูกจึงมาขอให้เสด็จพ่อช่วยออกคำสั่งให้ลูกตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียดด้วยเถิด”
เขาชะงักไปชั่วขณะแล้วพูดต่อว่า “เมืองหลวงมีเกียรติและอำนาจที่ซับซ้อนมากมาย ถึงแม้ใต้เท้าเจี่ยงจะมีความสามารถ แต่เขาก็ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะทนต่อแรงกดดันได้ หากมีพระราชกระแสรับสั่งของเสด็จพ่อในมือลูกสามารถจัดการเรื่องต่างๆ ภายใต้ตำแหน่งองค์ชายได้ สามารถใช้อำนาจกวาดล้างพวกมันให้สิ้นซาก หลายวันมานี้แค่ลูกนึกถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นกับน้องหญิงหัวใจของลูกแทบแตกสลาย หวังเพียงว่าจะไม่มีสตรีนางไหนประสบชะตากรรมเช่นนี้ในอนาคต”
ฮ่องเต้แย้มสรวล “ลูกมีจิตใจดีเช่นนี้เจิ้นรู้สึกยินดีมาก”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้เจียงเชิ่งก็รู้สึกโล่งใจคิดว่าสิ่งที่เขาขอไปนั้นเป็นจริงแน่นอน ผู้ใดจะรู้ว่าประโยคถัดมาของพระองค์คือ “แต่เรื่องนี้เจิ้นจัดการเรียบร้อยแล้วเจี่ยงชิงกำลังลำบาก เจิ้นเข้าใจดีจึงให้หวงเฉิงซือเข้ามาช่วยปัญหาที่ลูกกังวลอยู่จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน”
เจียงเชิ่งตกตะลึง “เสด็จพ่อ…”
ฮ่องเต้โบกมือไม่ให้โอกาสเขาพูดต่ออีก “เอาล่ะ ดึกแล้ว ลูกกลับไปพักผ่อนเถอะ” พูดจบพระองค์ก็หยิบพู่กันขึ้นมาแล้วอ่านเอกสารราชการต่อ
เจียงเชิ่งไม่มีอะไรจะพูดอีก เขาลุกขึ้นขอตัวลา เมื่อออกจากพระที่นั่งหมิงกวาง ด้านนอกก็ฝนตกหนัก
ว่านต้าเป่าตามเขามา “ไท่จื่อ ยามนี้ฝนตกหนักพระองค์เสด็จประทับที่อาคารข้างเคียงก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เจียงเชิ่งกล่าวเสียงเรียบเฉย “ไม่จำเป็น ก็แค่ลมฝน”
จากนั้นก็มีนางในส่งเสื้อกันฝนมาให้เจียงเชิ่งสวมมันแล้วก้าวเข้าสู่ม่านน้ำฝนมุงหน้าไปที่ประตูพระราชวัง ใบหน้าของเขานิ่งสงบ แต่ในใจของเขาราวกับกระแสน้ำกำลังโหมกระหน่ำ
ให้หวงเฉิงซือเข้าช่วยเหลือไม่ใช่หมายความว่าส่งมอบไปให้คนแซ่หยางงั้นหรือ ผู้ที่มีฝีมือในหวงเฉิงซือเป็นชายชราที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ แต่หลายปีมานี้สุขภาพไม่ค่อยดีจึงไม่รับงานมานานแล้ว คนแซ่หยางนั่นมีแค่ตำแหน่งเป็นผู้ชี้แนะ แต่ความจริงแล้วเป็นคนควบคุมทั้งหมด
เสด็จพ่อคิดจะทำอะไรกันแน่ตำแหน่งหวงเฉิงซือไม่ได้สูงมากนัก แต่กลับเป็นหูตาของโอรสสวรรค์ ไม่ถูกควบคุมโดยใคร เขาเชื่อใจเด็กนั่นขนาดนั้นเลยหรือ
ราวกับมีหมอกควันในดวงตาของเจียงเชิ่งทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงวัยเด็กของตน เมื่อเขาอายุหกปีบิดาได้ขึ้นครองราชย์ตนได้ครองตำแหน่งไท่จื่อ จึงคิดมาโดยตลอดว่าตนเป็นบุตรที่เสด็จพ่อรักมากที่สุด
แม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเสด็จพ่อและเสด็จแม่จะไม่ได้รักกันอย่างลึกซึ้ง แต่เขาก็ไม่เคยสนใจและพี่น้องคนอื่นๆ ก็ไม่สามารถแย่งความรักไปจากเขาได้
เหตุการณ์เช่นนี้ไม่รู้ว่าเปลี่ยนแปลงไปเมื่อไร เสด็จป้าจากจวนโป๋วหลิงโหวมักจะพาหลานชายคนเล็กของนางเข้าไปในเขตพระราชวังเด็กคนนั้นเกิดมางดงาม ผู้ใดเห็นก็รักก็เอ็นดู
เขาโตกว่าเด็กคนนั้นไม่มากอีกทั้งเด็กนั่นยังเป็นหลานอา ไม่สามารถมาแข่งกับตนอยู่แล้ว ต่อมาเขาก็พบว่าตนเองคิดผิด
แปดปีก่อนเสด็จแม่มีพระวรกายไม่แข็งแรงจนในที่สุดพระองค์ก็ล้มหมอนนอนเสื่อ เขาคอยดูแลเสด็จแม่ตลอดทั้งคืนเห็นนางดูมีท่าทางอิดโรย
เสด็จแม่มีนิสัยอ่อนโยนตลอดชีวิตไม่เคยต่อสู้ชิงดีชิงเด่นกับผู้ใด แม้เสด็จพ่อจะหลงเผยกุ้ยเฟยแค่ไหนนางก็ไม่รีบไม่ร้อนอะไร
แต่เย็นวันนั้นก่อนจากไปเสด็จแม่ดูมีสีหน้าสดใสขึ้น แต่กลับร้องไห้ตะโกนด่าทอออกมา ร้องว่าเสด็จพ่อช่างเลือดเย็น แต่งงานกันมายี่สิบปีแต่กลับไม่รักใคร่ในฐานะสามีภรรยาเลย อีกทั้งยังต่อว่าเผยกุ้ยเฟยที่ไม่ละอายใจลอบเป็นชู้กับน้าของสามีจนได้มาเป็นสนมในวังแล้วยังให้กำเนิดบุตรนอกสมรสนั่นอีก
เจียงเชิ่งตกตะลึง ไม่มีผู้ใดกล้าพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าเขา เขาเฝ้ามองเสด็จแม่ที่เป็นคนอ่อนโยนตะโกนสาปแช่งบุตรนอกสมรสคนนั้น
วันนั้นในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมเสด็จพ่อถึงรักเด็กคนนั้นมากขนาดนั้น เขาไม่ใช่ลูกพี่ลูกน้องของตน แต่เป็นน้องชาย
ช่าง…น่าสะอิดสะเอียนจริงๆ หลังจากนั้นเขาถึงได้รู้ว่าความลับนี้ไม่ได้เป็นความลับในหมู่ชนชั้นสูง แต่เรื่องนี้เขาไม่สามารถจัดการได้ ไม่สามารถเอ่ยถามได้
เรื่องสกปรกของเสด็จพ่อเขาที่เป็นบุตรชายเอ่ยถามออกไปจะมีความหมายอะไร แต่เขาไม่โกรธหรอก
เมื่อก่อนไม่ว่าเสด็จพ่อจะรักเด็กนั่นมากแค่ไหนก็แค่หลงลูกสุนัขลูกแมวตัวหนึ่ง ตอนนี้เด็กนั่นเติบโตขึ้นก็ยังรักยังหลงต่อไป แต่ใครจะรู้ว่าเสด็จพ่อจะมอบตำแหน่งอะไรไปไว้ในมืออีกฝ่ายอีก
“ฝ่าบาท” เจียงเชิ่งยืนอยู่หน้าประตูพระราชวัง เขาเงยหน้าขึ้นแววตามุ่งร้ายปรากฏขึ้นในดวงตาที่ผู้อื่นไม่เคยเห็น “กลับตำหนัก!”
………..
วันรุ่งขึ้นหมิงเวยถูกพาตัวไประหว่างเดินทางไปเรียน
นางถามเหลยหงที่มารับตนว่า “พวกท่านต้องการเรียกวิญญาณงั้นหรือ”
เหลยหงไม่ปฏิเสธ แต่ยิ้มตอบ “รบกวนแม่นางหมิงแล้วขอรับ”
“แต่ข้าต้องเข้าเรียน…”
เหลยหงตอบ “พวกเราช่วยทำเรื่องลาหยุดให้ได้ขอรับ”
หมิงเวยพยักหน้าแล้วขึ้นรถม้าไป ไม่นานรถม้าก็เดินทางไปถึงศาลาว่าการ
นางเดินตามเหลยหงเข้าไปในห้องเก็บศพแล้วก็ได้เห็นกระดูกที่ได้รับการทำความสะอาดแล้ว ขุนนางผู้ชันสูตรศพของศาลาว่าการมีความสามารถมาก โครงกระดูกมีหลายร้อยชิ้นแต่สามารถประกอบเข้าด้วยกันได้ทั้งหมด
นางขอถุงมือ และตรวจสอบกระดูกจำนวนหนึ่งอย่างระมัดระวังแล้วพูดว่า “ฝีมือดีนัก”
เหลยหงพูด “พวกเขาไม่ได้นอนมาหลายคืนกว่าจะประกอบออกมาได้ โครงกระดูกพวกนี้ เวลาตายไม่นานมาก แม่นางหมิงคงสามารถเรียกวิญญาณได้”
หมิงเวยไม่ได้ลงมือในทันที แต่ขอร้องออกไปว่า “ข้าอยากพบใต้เท้าเจี่ยงก่อน”
เหลยหงไม่เข้าใจ “หลายวันมานี้ใต้เท้าค่อนข้างยุ่งมากหากแม่นางมีเรื่องอะไร พูดกับข้าได้ขอรับ”
หมิงเวยส่ายหน้า “เรื่องนี้ต้องพูดกับใต้เท้าเจี่ยงเท่านั้น”
……………