หมิงเวยรู้สึกคอแห้งผากจึงตื่นขึ้นกลางดึก
ตอนนี้ยังคงเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ความหนาวเย็นในตอนกลางคืนยังคงหนาวจัด เตาผิงในห้องร้อนจนตัวนางชุ่มไปด้วยเหงื่อ
นางยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก ส่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบา แล้วทันใดนั้นก็มีคนลุกขึ้นมา
“คุณหนู ปวดเบาหรือเจ้าคะ หรือว่าอยากดื่มน้ำ”
หมิงเวยยกเปลือกตาที่แสนหนักอึ้งขึ้นแล้วมองสาวใช้ท่ามกลางแสงยามค่ำคืนที่มืดสลัว
สาวใช้นางนี้มีอายุประมาณสิบสี่สิบห้าปี อยู่ในวัยที่เหมาะสมในการออกเรือน ใบหน้าเกินครึ่งของนางเต็มไปด้วยจุดดำซึ่งดูน่าเกลียดมาก
การที่จะได้มาเป็นสาวใช้ตระกูลขุนนาง อย่างแรกต้องดูที่หน้าตาผิวพรรณ จึงเป็นเรื่องแปลกที่มีสาวใช้หน้าตาน่าเกลียดมาปรนนิบัติรับใช้เช่นนี้
ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีสาเหตุอื่น
สถานะของหมิงเวยในตอนนี้ คือคุณหนูเจ็ดแห่งตระกูลหมิงตระกูลใหญ่ในเมืองตงหนิง[1]
บิดาด่วนจากไป มารดาผู้เป็นหม้ายมีนางเป็นบุตรีเพียงคนเดียว
และนางยังเกิดมาไม่ฉลาดอีก
ฮูหยินสามผู้เป็นมารดาของคุณหนูเจ็ดพยายามคัดเลือกสาวใช้จากการทำนายดวงชะตาปาจื้อ[2] อย่างหนัก และแล้วสาวใช้น่าเกลียดนามว่าตัวฝูจึงได้มาอยู่ข้างกายบุตรีของนาง
หมิงเวยชี้ที่ลำคอให้นางดู
เมื่อตัวฝูเข้าใจก็รินน้ำอุ่นแล้วประคองนางให้ลุกขึ้นนั่ง
หลังให้คุณหนูดื่มน้ำเรียบร้อย ตัวฝูก็เอ่ยเสียงเบา “ยามโฉ่ว[3]แล้ว อาการป่วยคุณหนูเพิ่งจะดีขึ้น นอนพักต่อเถอะเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นผู้เป็นนายจ้องไปที่มุมเตียงด้วยความตกตะลึง ดวงตานิ่งไม่ไหวติง นางจึงปลอบประโลมราวกับปลอบเด็กน้อย “คุณหนูอย่ากลัวเลยเจ้าค่ะ ตัวฝูอยู่นี่ ถ้ามีสิ่งชั่วร้ายเข้ามาตัวฝูจะไล่ไปให้หมดเลยเจ้าค่ะ!”
ตัวฝูมองคุณหนูหลับตาลง หายใจอย่างสม่ำเสมอ จากนั้นนางจึงกลับไปนอนอย่างวางใจ
หลังจากนั้นไม่นานนางก็หลับไป
หลายวันมานี้ หมิงเวยป่วย เหล่าสาวใช้ถูกเรียกใช้อย่างหนัก ตัวฝูเองก็ไม่ได้นอนหลับสบายมาหลายวันแล้ว
เมื่อตัวฝูนอนหายใจสม่ำเสมอ หมิงเวยที่หลับไปแล้วก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง สายตาจับจ้องไปที่มุมเตียง
ในสายตาของนาง ที่ตรงนั้นมีเงาสีเทากำลังสั่นไหวอยู่
เงาสีเทานั้นเงยหน้าขึ้นราวกับรู้สึกถึงการจ้องมองของนาง เผยให้เห็นใบหน้าที่เหมือนกับร่างกายนี้ราวกับแกะ แววตาเซื่องซึมผสมกับความตื่นตกใจ
นางคือคุณหนูเจ็ดแห่งตระกูลหมิงตัวจริง
หมิงเวยเปิดปากเอ่ยเสียงเบา “อย่ากลัวเลย รอข้าหายดีก่อน แล้วจะส่งเจ้าไปเกิดใหม่”
กล่าวจบนางก็ยกมือทำมุทรา[4]
ม่านพลังเล็กๆ ปรากฏขึ้นต่อหน้าคุณหนูเจ็ด พลังวิเศษช่วยปลอบประโลมนาง คุณหนูเจ็ดแห่งตระกูลหมิงค่อยๆ หยุดสั่นและสงบลง
และหยวนชี่[5]ที่นางรวบรวมมาอย่างยากลำบากก็ถูกเผาผลาญไปเช่นนี้เอง
นางหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้าและเข้าสู่นิทราไปในที่สุด
พอย้อนเวลากลับไป นางรู้สึกเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ หลายวันมานี้นางใช้เวลาอยู่กับการนอนเป็นส่วนใหญ่
พอรู้สึกตัวขึ้นมาอีกที ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว
ตัวฝูกำลังนั่งบรรจงปักผ้าอย่างตั้งใจอยู่ข้างเตียง
พอเห็นว่าหมิงเวยลืมตาขึ้นแล้ว นางก็วางอุปกรณ์เย็บปักในมือลงแล้วยิ้ม “คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
หมิงเวยส่งเสียงอืม
สาวใช้ด้านนอกพอได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวภายในห้องก็เดินเข้ามาหา “คุณหนูหลับสบายดีหรือไม่เจ้าคะ ยังปวดหัวอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
พอหมิงเวยส่ายหน้า แม่นมก็สั่งให้เหล่าสาวใช้เข้ามาช่วยคุณหนูของนางอาบน้ำแต่งตัว
เพียงเวลาไม่นาน หมิงเวยที่อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ถูกประคองให้เดินมาที่โต๊ะอาหารเพื่อรับประทานอาหารเช้า
ตัวฝูหยิบชามตะเกียบของตัวเองแล้วมานั่งข้างกายหมิงเวย คอยปรนนิบัติหยิบอาหารและเช็ดปากให้นางตลอดเวลา
หมิงเวยเข้ามาอยู่ในร่างนี้หลายวันแล้ว ถูกดูแลปรนนิบัติเช่นนี้มาโดยตลอด
ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่านางเปรียบเสมือนตุ๊กตากระเบื้องอันล้ำค่า
นางท่องไปทั่วโลกกับท่านอาจารย์ของนางตั้งแต่ยังเล็ก รู้ดีว่าเกิดเป็นคนโง่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนล้วนเป็นเรื่องที่น่าอับอาย
หากเป็นลูกของสามัญชนธรรมดา จักต้องเลี้ยงดูให้ดี หากปล่อยปละละเลยไม่ดูแลอาจจะถูกรังแกจนตายได้ แต่หากเป็นครอบครัวขุนนางก็จะใช้วิธีหลีกเลี่ยง หรือไม่ก็ขังตัวอยู่แต่ในเรือน หรือไม่ก็ถูกส่งตัวไปที่อื่น ไม่กล้าบอกให้ใครรับรู้
ใครเล่าจะเหมือนคุณหนูเจ็ดแห่งตระกูลหมิงที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี มองจากภายนอกดูไม่ออกเลยว่าเป็นคนโง่
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของฮูหยินสาม ผู้เป็นมารดาของคุณหนูเจ็ด
พอนึกถึงฮูหยินสาม หมิงเวยก็มองออกไปด้านนอก
แม่นมถงที่ดูแลนางอยู่ข้างกายเห็นอย่างนั้นจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ฮูหยินไปดูแลกิจการเจ้าค่ะ เดี๋ยวท่านก็กลับมา”
หมิงเวยเอ่ยเสียงอ้อ จากนั้นก็ทานอาหารต่อ
นางทานอาหารช้ามาก อาจเป็นเพราะเพิ่งตื่นนอน การเคลื่อนไหวจึงยังไม่ประสานกัน ขนาดตะเกียบก็ยังคีบไม่มั่นคง
แต่ตัวฝูและแม่นมถงกลับดีใจมาก
นางทานอาหารเสร็จเรียบร้อยโดยไม่ทำข้าวต้มหกสักเม็ด ตัวฝูจึงดูไร้ประโยชน์ไปโดยสิ้นเชิง
พอเก็บชามข้าวเสร็จแล้ว ฮูหยินสามก็กลับมา
ฮูหยินเป็นหญิงที่งดงามและสง่างาม นางมีอายุมากกว่าสามสิบปีแต่เสน่ห์ในตัวนางกลับไม่ลดลงไปแต่อย่างใด เพราะนางเป็นหญิงหม้ายจึงสวมชุดเรียบง่าย บนศีรษะประดับแค่ปิ่นทองลายหงส์ ทว่ารูปร่างหน้าตาของนางนั้นยากที่จะลืม
หมิงเวยเดินท่องไปทั่วหล้า แต่ก็ไม่เคยเห็นหญิงใดงามเทียบเท่าผู้เป็นมารดามาก่อน
พอเห็นบุตรสาว ฮูหยินสามยกมุมปากขึ้นแล้วยิ้มอย่างเริงร่า “เสี่ยวชีทานเสร็จแล้วหรือ ชอบกับข้าวของวันนี้หรือไม่”
หมิงเวยพยักหน้าเบาๆ
รอยยิ้มของฮูหยินสามดูอบอุ่นขึ้น
แล้วนางก็เริ่มสนทนากับบุตรสาวในเรื่องธรรมดาทั่วไป อย่างเช่นฤดูใบไม้ผลิมาเยือนแล้ว อากาศอบอุ่นแล้ว พื้นหญ้าเริ่มเป็นสีเขียว นกเริ่มอพยพกลับเหนือ…ราวกับเด็กน้อยเรียนรู้ศัพท์
นี่เป็นบทเรียนที่คุณหนูเจ็ดตระกูลหมิงเรียนทุกวันในตอนเช้า เป็นเช่นนี้มาสิบกว่าปี ทำให้นางพอจะสนทนาง่ายๆ กับผู้อื่นได้บ้าง
หมิงเวยไม่รู้จะแสดงออกอย่างไรดี จึงทำได้เพียงแต่เงียบ
ฮูหยินสามลูบศีรษะนางแล้วถอนหายใจอย่างเงียบๆ
ในตอนนั้นเอง แม่นมถงก็พาใครคนหนึ่งเข้ามาในห้อง
“ฮูหยินเจ้าคะ แม่นางหลิวมาเจ้าค่ะ”
หมิงเวยหันไปมอง
ผู้ที่มาเป็นหญิงสาววัยสามสิบสี่สิบที่ดูมีความสามารถและประสบการณ์ ชุดที่นางสวมใส่เนื้อผ้าดีมาก แต่รอยเย็บกลับดูธรรมดา แค่ดูก็รู้ว่านางมาจากที่อื่น ไม่ใช่สาวใช้ในเรือน
นางยิ้มอย่างเป็นมิตร และก้าวไปทำความเคารพ “คารวะฮูหยิน คารวะคุณหนู”
ฮูหยินสามยิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นเรียกตัวฝูให้เข้ามาหา “พาคุณหนูไปเดินเล่นที่สวน แล้วอย่าเข้าใกล้น้ำล่ะ”
ตัวฝูรับคำ จากนั้นก็พาหมิงเวยออกไป
ตอนที่หมิงเวยเดินผ่านแม่นางหลิวนั้น นางได้กลิ่นควันจางๆ จึงหลุบตาลงแล้วก็พบว่าเล็บมือซ้ายของแม่นางหลิวมีสีเหลืองเล็กน้อย
มันคือร่องรอยของการรมควัน
สตรีที่สูบยาสูบมีน้อยมาก ปกติแล้วต้องมีสถานะที่พิเศษ
อย่างเช่น แม่หมอ
ตระกูลหมิงเชื่อในเรื่องนี้มาตลอดรุ่นสู่รุ่น นอกจากนี้ฮูหยินสามก็เป็นหญิงหม้าย ปกติแล้วนางจะทำตัวระมัดระวังมากเกินไปในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหตุใดถึงต้องเชิญแม่หมอมาที่เรือนด้วยเล่า
“คุณหนู ทางนี้เจ้าค่ะ” เสียงของตัวฝูดึงสติของนางกลับมา
พวกนางยืนอยู่บนทางแยกสองทาง ตัวฝูพาหมิงเวยให้เดินไปทางด้านซ้าย
หมิงเวยเดินตามอย่างว่าง่าย แต่สายตากลับมองไปยังเส้นทางด้านขวา
ถนนสายนั้นนำไปสู่ทะเลสาบ
อ้อ จริงสิ ในช่วงพลบค่ำเมื่อไม่กี่วันก่อน คุณหนูเจ็ดแห่งตระกูลหมิงเจอเรื่องประหลาดที่ทะเลสาบ
………………………………………………
[1] ตงหนิง เป็นเมืองระดับมณฑลของมณฑลเฮยหลงเจียงทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน
[2] ปาจื้อ คือวิชาทำนายดวงชะตามีที่มาจากประเทศจีน โดยมีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ครั้งโบราณนับพันปี “ปาจื้อ” มีวิธีการทำนายโดยการใช้ตัวอักษรแทนสัญลักษณ์วัน, เดือน, ปี และเวลาเกิด มีอักษรจีนทั้งสิ้น 8 ตัวอักษร ด้วยเหตุนี้จึงได้ชื่อว่า 八字 (แปลว่า “แปดอักษร”) เรียกอีกอย่างว่า “สี่แถว” โดยจัดแบ่งเป็นราศีบนกับราศีล่าง เรียกว่า “กิ่งฟ้า” และ “ก้านดิน” เพียงใช้ 8 ตัวอักษรนี้ สามารถทำนายครอบคลุมบุคลิก ลักษณะ ท่าทาง นิสัยใจคอ ความร่ำรวย ยากจน รุ่งเรือง ต่ำต้อย มีโชค ตกอับ อายุยืน อายุสั้น ครอบครัว ญาติมิตร พ่อแม่พี่น้อง สามีภรรยา บุตรธิดา บริวาร เพื่อนฝูง สังคม เป็นต้น
[3] ยามโฉ่ว (丑:chǒu) คือ 01.00 – 02.59 น.
[4] มุทรา การทำมือในลักษณะต่างๆ เป็นสัญลักษณ์ประจำองค์เทพ โดยเทพแต่ละองค์นั้นมุทราที่แตกต่างกันไป
[5] หยวนชี่ หรือ พลังต้นกำเนิดชีวิต