สวนอวี๋ฟางไม่ได้มีเรื่องราวน่าสยองขวัญเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก
เมื่อหลายปีก่อน หลังนายท่านสามสิ้นไปไม่นาน สวนอวี๋ฟางก็มีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้น ผู้คนต่างเล่าลือกันว่า เพราะวิญญาณของนายท่านยังคงเป็นห่วงฮูหยินสามกับคุณหนู จึงยังวนเวียนและไม่ยอมจากไปไหน
ทว่านั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีที่แล้ว
ศักราชหย่งเจียปีที่แปด นายท่านสามได้รับการแต่งตั้งให้ไปเป็นทูตเจรจา ณ ชนเผ่าชีหู แต่คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์นองเลือดขึ้นในราชสำนัก ทำให้แม้แต่ศพของท่านก็หาไม่พบ
ฮูหยินสามได้รับบันทึกเลือดของนายท่านสาม ความรู้สึกเจ็บปวดเสียดแทงหัวใจของนางจนแทบจะตายตามเขาไปด้วย ทว่านางก็ไม่อาจกลั้นใจทิ้งบุตรสาววัยห้าขวบได้ลง ทำได้เพียงกัดฟันอดทนเก็บกลั้นความรู้สึกเอาไว้ ต่อมานางได้ย้ายกลับไปอาศัยอยู่ที่เรือนหลังเก่าและเฝ้าเลี้ยงดูบุตรสาวอย่างทะนุถนอม
ไม่กี่เดือนต่อมาสวนอวี๋ฟางก็มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น
ซึ่งเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป ก็ยังมิอาจคาดเดา
ตระกูลหมิงเป็นครอบครัวนักปราชญ์ เป็นศิษย์ที่ฉลาดและปฏิบัติตามคำสอนของขงจื๊อ
ไม่คาดคิดว่าชีวิตที่ดำเนินไปอย่างปกติสุขมานานนับสิบปี สวนอวี๋ฟางจะกลับมาเกิดเรื่องประหลาดขึ้นอีกครั้ง
ในคราแรก เหล่าสาวใช้ต่างพบเจอกับเงาประหลาด ต่อมามีกลิ่นเหม็นไม่ทราบที่มาลอยคละคลุ้งอยู่ทั่วทุกบริเวณ และสุดท้ายคือคุณหนูเจ็ดแห่งตระกูลหมิงเองก็ได้พบเจอกับวิญญาณ
ฮูหยินสามต้องเป็นหม้ายทั้งที่ยังสาว จิตใจของนางจึงมีไว้เพียงเพื่อบุตรสาวคนเดียวเท่านั้น คุณหนูเจ็ดล้มป่วยจากอาการตกใจ แม้จะผ่านไปหลายคืนหลายวันนางก็ยังไม่ยอมหลับตา แต่เมื่อเห็นว่าอาการของนางดีขึ้นอย่างช้าๆ ฮูหยินสามจึงได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
แต่ฮูหยินสามหารู้ไม่ ว่าความจริงแล้วคุณหนูเจ็ดไม่ได้อาการดีขึ้นแต่อย่างใด
ในตอนที่หมิงเวยปรากฏตัวขึ้น คุณหนูเจ็ดตกใจกลัวมากจนวิญญาณแยกออกจากร่างไป และสูญสิ้นโอกาสกลับมามีชีวิตอีก
เพราะเช่นนี้ จึงได้เชิญแม่หมอมาที่นี่อย่างนั้นสินะ?
เมื่อนึกถึงคุณหนูเจ็ดแล้ว หมิงเวยก็ได้แต่ทอดถอนใจอยู่ภายใน
ผู้คนต่างคิดว่าคุณหนูเจ็ดเกิดมาโง่เขลา แต่ความจริงแล้วภายในของนางหาได้เป็นเช่นนั้น
คุณหนูเจ็ดคนนี้เกิดก่อนหมิงเวยหกสิบปี และดวงของนางกับหมิงเวยก็เหมือนกันราวกับฝาแฝด
ผู้ที่มีดวงเช่นนี้ ถือกำเนิดและมีชีวิตอยู่ด้วยหยินและหยาง สามารถมองเห็นภูติผีวิญญาณได้
ท่านอาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า คนเยี่ยงนางจะได้รับพลังมากกว่าคนธรรมดา ทว่าจำต้องอดทนกับความยากลำบากที่มากกว่าด้วยเช่นกัน
อย่างในตอนที่นางเกิด มีภูติผีวิญญาณมากมายที่ต้องการยืมดวงชะตาของนาง จึงอาจทำให้มีความบกพร่องหรือพิการแต่กำเนิด
ในตอนนั้นหมิงเวยมีท่านอาจารย์คอยปกป้องคุ้มครองอยู่ ทว่าคุณหนูเจ็ดไม่มี
ทันทีที่หมิงเวยอยู่ในร่างของคุณหนูเจ็ดก็พบว่าในร่างนั้นมีเพียงหนึ่งจิตสามวิญญาณ[1] ที่เหลืออีกสองจิตสี่วิญญาณนั้นอาจจะถูกแยกออกไปตอนที่นางเกิด นางจึงเกิดมาไม่สมบูรณ์
แต่ในเมื่อหมิงเวยได้ใช้ร่างกายของคุณหนูเจ็ดมาเกิดใหม่แล้ว จิตวิญญาณเหล่านั้นก็ย่อมได้รับคืนกลับมา
ก่อนจะไปจากตระกูลหมิง นางจำต้องตามหาอีกสองจิตและสี่วิญญาณที่เหลือของคุณหนูเจ็ดเพื่อส่งให้นางไปเกิดใหม่ และดูแลฮูหยินสามไม่ให้นางต้องรู้สึกเจ็บปวดทรมานจากการสูญเสียบุตรสาวไปอีกคน
ทว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นการค้นหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องราวประหลาดที่เกิดขึ้น
สวนอวี๋ฟางตั้งอยู่ทางทิศเหนือและหันหน้าไปทางทิศใต้ พลังหยางครอบคลุมพลังหยินและเส้นทางทั้งยี่สิบสี่สายก็มีความเหมาะสม ตามหลักฮวงจุ้ยของที่อยู่อาศัยก็ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว หากกล่าวตามเหตุและผลจึงมิอาจมีสิ่งซึ่งเป็นอัปมงคลอยู่ได้
เหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นที่นี่ ก็คงจะเกิดได้จากเหตุเพียงสองประการนี้เท่านั้น
ประการแรก จิตใจของผู้คนมีความมืดมนจนเกิดการรวมกลุ่มกันของพลังอันชั่วร้าย ไม่ว่าที่แห่งนี้จะดีมากเพียงใดก็มิอาจช่วยได้
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือมีการทารุณ ทรมานหรือสังหารกันเกิดขึ้นที่นี่และวิญญาณที่ตายยังไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงยังวนเวียนอยู่และไม่จากไป
หากไม่เป็นเช่นนั้น ก็คงจะเป็นประการที่สอง นั่นคือมีการนำสิ่งอัปมงคลเข้ามาที่นี่
แต่จะมาจากเหตุประการใด ก็ล้วนมีจิตใจอันแสนชั่วร้ายของผู้ไม่หวังดีซ่อนอยู่
…
เวลาผ่านไปไม่นาน การเจรจาระหว่างฮูหยินสามและแม่นางหลิวก็ได้สิ้นสุดลง
ภายในศาลา หมิงเวยนั่งบนเก้าอี้ที่มีผ้าห่มหนา มองเห็นแม่นมถงและแม่นางหลิวเดินออกมาด้วยกัน แม่นางหลิวพูดอะไรบางอย่าง พร้อมกับแม่นมถงที่เรียกสาวใช้มากลุ่มหนึ่ง
หลังจากนั้น เหล่าสาวใช้บ้างก็ไปหยิบเสาไม้ไผ่ บ้างก็หยิบไม้กวาดและแยกย้ายกระจายไปตามมุมต่างๆ ภายในสวน
แม่นางหลิวเองก็เดินไปรอบๆ อย่างเชื่องช้า มิอาจรู้เลยว่านางกำลังมองดูอะไร
แสงอาทิตย์ยามฤดูใบไม้ผลิช่างอบอุ่นและแสนสบาย
หมิงเวยเงยหน้าขึ้นมองแสงแดดที่ส่องประกายลงมา นางค่อยๆ ดึงเชือกสีแดงจากตะกร้าเย็บผ้าของตัวฝูแล้วถักมันอย่างเงอะงะและเชื่องช้า
ตัวฝูยิ้มพลางเอ่ยว่า “คุณหนูต้องการถักสร้อยข้อมือหรือเจ้าคะ รอสักครู่นะเจ้าคะ เดี๋ยวบ่าวจะถักให้คุณหนูเองเจ้าค่ะ”
หมิงเวยส่ายหัวแล้วก้มลงจัดการกับเชือกสีแดงเส้นนั้นต่อไปอย่างขะมักเขม้น
ตัวฝูคิดว่าคุณหนูกำลังเล่นอยู่จึงมิได้สนใจและถักเงื่อนของตัวเองต่อไป
ฮูหยินสามเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับลูบศีรษะของหมิงเวย แล้วนั่งลงตรวจสมุดบัญชีอยู่ข้างๆ
เมื่อหมิงเวยถักปมอันน่าเกลียดของนางเสร็จ ก็มีเสียงตะโกนดังออกมาจากมุมสวน
“ฮูหยินหาเจอแล้วเจ้าค่ะ หาเจอแล้ว โพรงหนูตายขนาดใหญ่เจ้าค่ะ!” สาวใช้ผู้หนึ่งวิ่งมาทางนี้ด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน
แม่นมถงจึงหันไปเอ็ดนาง “เหตุใดเจ้าต้องเอะอะเช่นนี้ ค่อยๆ พูดดีๆ!”
สาวใช้พยายามสำรวมกิริยาและเอ่ยตอบ “เจ้าค่ะ พวกบ่าวพบโพรงหนูตายในคูน้ำ มีราวๆ สิบตัว ทุกตัวเน่าหมดแล้วเจ้าค่ะ”
“เหตุใดก่อนหน้านี้ ตามหาแล้วแต่กลับไม่พบ” ฮูหยินสามเอ่ยพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“โพรงนั่นอยู่ลึกมาก และยังถูกหินปิดทับไว้ด้วยเจ้าค่ะ…”
สวนอวี๋ฟางเป็นสวนที่มีดอกไม้และต้นไม้เขียวชอุ่มเป็นพุ่มพฤกษ์ และยังมีกรวดหินกองซ้อนกันอยู่ทั่วทุกที่
ฮูหยินสามวางสมุดบัญชีลงและลุกขึ้นเดินไปดู
เมื่อนางเดินออกจากศาลา หมิงเวยก็ลุกขึ้นตาม
“คุณหนูเจ้าคะ!” ตัวฝูตะโกนเรียก
หมิงเวยจึงทำมือบอกใบ้ให้ตัวฝูเงียบลง และดึงมือของนางเดินตามหลังฮูหยินสามไปยังสถานที่ที่สาวใช้ผู้นั้นกล่าว
เมื่อเห็นท่าทีที่จริงจังของหมิงเวย ตัวฝูจึงเงียบลง และคิดว่าหากมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น นางก็จะยืนขวางอยู่ด้านหน้าเพื่อปกป้องคุณหนู
โพรงหนูนั้นถูกปิดทับไว้ใต้ก้อนหินที่มุมของคูน้ำ ยังมิทันจะเข้าใกล้ ก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งออกมา
ฮูหยินสามเดินเข้าไปใกล้ เห็นสาวใช้ ผู้ซึ่งมีร่างกายกำยำสองคนกำลังม้วนแขนเสื้อขึ้นและใช้เสาไม้ไผ่เขี่ยหญ้าที่รกและรื้อกองหินกรวดออก
เพียงแวบเดียวที่ฮูหยินสามมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายใน ก็เกิดอาการคลื่นเหียนอาเจียน
ภายในนั้นมีซากหนูตายที่เน่าเปื่อยจนมองเห็นกระดูก เนื้อเน่าของมันดึงดูดเหล่าหนอนแมลงให้มาชอนไช
โชคดีที่ตอนนี้ยังไม่ใช่ฤดูร้อน มิเช่นนั้นหากมีแมลงวันตอมแล้วจะยิ่งส่งกลิ่นเหม็นมากกว่านี้
ฮูหยินสามนำผ้าเช็ดหน้ามาปิดปากและจมูก พลางเอ่ยถามว่า “นี่น่ะเหรอ”
“เจ้าค่ะ กลิ่นเหม็นที่ท่านกล่าวถึงมาจากซากสัตว์เหล่านี้ แต่คงจะไม่ได้มีเพียงเท่านี้ หากค้นหาต่อต้องเจออีกเป็นแน่” แม่นางหลิวเอ่ยตอบอย่างภาคภูมิใจที่พบต้นตอของกลิ่นเหม็นนั้น
เป็นดังที่คาดไว้ เหล่าสาวใช้ทั้งหลายกลับมารายงานทีละคนว่าพบซากสัตว์ตายกระจายอยู่ตามมุมต่างๆ ในที่ลับตา บ้างเป็นหนูตาย บ้างเป็นนกตาย ซากของมันซ่อนอยู่ในที่ที่มองไม่เห็น หากไม่อยู่ใต้ผืนหญ้าก็อยู่ในซอกหลืบต่างๆ
สีหน้าของฮูหยินสามซีดเซียว
ผู้ใดเล่าจะเชื่อว่าเหตุการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องบังเอิญ
นางกลับไปที่ศาลาโดยมิเอ่ยวาจาใด และถามแม่นางหลิวว่า “เจ้าบอกว่านี่เป็นเรื่องที่มีคนสร้างขึ้น จะฝังซากของสัตว์ที่ตายแล้วไปเพื่อเหตุใด”
แม่นางหลิวหัวเราะและเอ่ยตอบว่า “ท่านเข้าใจถูกแล้ว ทว่าการกระทำเช่นนี้ มักจะทำต่อเนื่องเป็นขั้นไป สวนแห่งนี้ของท่านสว่างไสวไม่มืดมน มีฮวงจุ้ยดี สิ่งชั่วร้ายต่างๆ จึงไม่อาจอยู่ได้ แม้ว่าจะถูกส่งสิ่งไม่ดีเข้ามาแต่ก็ไม่เป็นผล แล้วต้องทำเช่นไรเล่า”
“ทำเช่นไรเล่า” สาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างฮูหยินสามเอ่ยตามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
แม่นางหลิวชูนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้วพลางเอ่ยว่า “ดังนั้นขั้นแรก ก็คือการบ่มเพาะสิ่งชั่วร้าย”
“เจ้าหมายถึง มีผู้นำซากสัตว์ที่ตายแล้วเข้ามาเพื่อทำให้สวนแห่งนี้มีพลังอันชั่วร้ายอย่างนั้นหรือ” ฮูหยินสามเอ่ยถามย้ำความเข้าใจอีกครั้ง
แม่นางหลิวยกนิ้วชื่นชม “ฮูหยินช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก ความจริงก็เป็นเช่นนี้แหละเจ้าค่ะ แปดในสิบส่วน ซากสัตว์เหล่านี้ถูกซ่อนไว้ในสวนแห่งนี้มาเป็นเวลานานแล้ว ไม่กี่วันก่อนหน้านี้อากาศยังเย็นอยู่ ซากศพจึงไม่เน่าเสียและส่งกลิ่นเหม็น”
ฮูหยินสามพยักหน้าตอบรับ
อากาศเพิ่งจะอุ่นขึ้น หากซากสัตว์เหล่านี้ซ่อนอยู่ในสวนมานานแล้ว ก็ยากที่จะหาพบ สวนในฤดูหนาว ก็ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจมากนัก แล้วจะมีผู้ใดล่วงรู้ได้ว่าที่มุมสวนมีสิ่งเหล่านี้ซ่อนอยู่กันเล่า
“แล้วเงาที่เหล่าสาวใช้เห็นเล่า คือสิ่งใดกัน”
……………………………………………..
[1] หนึ่งจิตสามวิญญาณ 一魂三魄 มาจากความเชื่อในลัทธิเต๋าว่า ในมนุษย์ทั่วไปจะประกอบด้วยสามจิตเจ็ดวิญญาณ 三魂七魄