หมิงเวยลุกขึ้นทำความเคารพแล้วตอบคำถาม “จู่ๆ งูตัวนี้ก็ตกลงมา ข้าน้อยตกใจมาก ในมือถือตะเกียบอยู่จึงพุ่งแทงไปข้างหน้า ไม่คิดว่าจะเสียบตรงเข้าพอดี ขออภัยที่รบกวนการสอบสวนคดีของท่าน ขออภัยจริงๆ เจ้าค่ะ”
เหลยหงคิดในใจ เขาเชื่อว่านางมีพิรุธ ท่าทางของนางดูสงบเช่นนี้ แต่บอกว่าตกใจกลัว อย่ามาล้อกันเล่นเลย…
เจี่ยงเหวินเฟิงที่อยู่ด้านนั้นพูดขึ้น “แม่นางไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว งูตัวนั้นถึงแม้จะตายแล้ว แต่ต่อมพิษก็ยังอยู่ ยังสามารถสืบสวนคดีได้ เหลยหง เอางูตัวนั้นมา”
“ขอรับ” เหลยหงดึงตะเกียบออก แล้วนำงูกลับไปที่ห้องโถง
การพิจารณาคดียังคงดำเนินต่อไป แต่เนื่องจากถูกเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ขัดจังหวะ ทุกคนเลยไม่ค่อยมีสมาธิกัน หลายคนรู้สึกจิตใจสับสนราวกับว่าตรงหน้ายังมีเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้เกิดขึ้นอยู่
แม่หญิงนางนั้นเป็นบุตรสาวตระกูลไหนนะ งดงามจนแทบใจหายใจคว่ำ
หมิงเซียงรีบกลับมาและถามอย่างกังวล “พี่เจ็ด ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ งูตัวนั้นกัดท่านหรือเปล่า”
“เสี่ยวชี!” หมิงเฉิงรีบเดินไปข้างหน้า หมิงฮ่าวเองก็ตกใจเช่นกัน ทั้งสามคนยืนล้อมหมิงเวยเอาไว้
“ข้าไม่เป็นอะไร” หมิงเวยยื่นมือที่เรียบเนียนออกแล้วพลิกไปมา “พวกท่านดูสิ ยังดีอยู่ ไม่โดนกัด”
“ขอบคุณสวรรค์” หมิงเซียงรู้สึกเหมือนตนเองโชคดีที่รอดพ้นจากภัยพิบัติ หากพี่เจ็ดเป็นอะไรไป นางคงถูกพ่อตีจนขาหักเป็นแน่…
เมื่อคิดถึงตรงนี้หมิงเซียงก็ตระหนักถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ท่านพ่อของนางและท่านลุงสองอยู่ในห้องโถงนี้!
จบสิ้นแล้ว เรื่องที่นางแอบพาพี่เจ็ดออกมาถูกจับได้แล้ว… ที่ห้องโถง การสอบสวนคดียังคงดำเนินต่อไป เจ้าของโรงน้ำชานำไก่มาจากห้องครัวเพื่อทดสอบพิษ ไก่ตัวนั้นกระพือปีกอยู่สองครั้งก็หยุดหายใจไป
ขุนนางผู้ชันสูตรศพทำการตรวจสอบและตอบกลับมาว่า “เรียนใต้เท้า การตายของไก่ตัวนี้เหมือนกับการตายของท่านเหอไม่มีผิดขอรับ”
เจี่ยงเหวินเฟิงทำการปิดคดี “คดีวางยาด้วยพิษของท่านเหอจากหมู่บ้านซานชู่ บัดนี้ได้ทำการตรวจสอบแล้ว ถูกพบว่าสาเหตุการตายมาจากพิษงู สะใภ้ผูชื่อไม่มีความผิด นางจะได้รับการปล่อยตัว”
ท่านยายหมี่ดีใจมาก นางนั่งลงคุกเข่าคำนับ “ขอบคุณท่านชิงเทียน ขอบคุณท่านชิงเทียนเจ้าค่ะ”
สองแม่ลูกตระกูลเหอก็กล่าวขอบคุณเช่นกัน ผูชื่อยังคงตกตะลึง และไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะล้างความผิดให้นางได้ จนกระทั่งบุตรสาวเข้ามาในอ้อมแขนของนางและร้องไห้ออกมา นางถึงได้สติ
“ขอบคุณใต้เท้า! ข้าน้อยจะไม่ลืมบุญคุณของใต้เท้าไปตลอดชีวิตเจ้าค่ะ!”
นางไม่ต้องถูกตัดศีรษะแล้ว นางได้กลับบ้านแล้ว! การหยุดเกี้ยวร้องขอความเป็นธรรม ในที่สุดก็ได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม
บัณฑิตโต๊ะข้างๆ ถอนหายใจ “ใต้เท้าเจี่ยงไม่ธรรมดาจริงๆ พวกเราล้วนมองปัญหานี้ไม่ออก แต่ท่านกลับมองเห็นฆาตกรตัวจริงได้ในพริบตา”
“ชื่อเสียงสมคำร่ำลือๆ!” ผู้คนจำนวนมากต่างพออกพอใจ และแยกย้ายกันออกไปจากโรงน้ำชา
ส่วนเหล่าเจ้าหน้าที่และชนชั้นสูงต่างเตรียมขึ้นเกี้ยว ใบหน้าของท่านเจ้าเมืองอู๋ดูไม่น่ามองเท่าไรเขาไม่คิดว่าเจี่ยงเหวินเฟิงจะทำเรื่องนี้สำเร็จ พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ เขาและนายอำเภอเขตหย่งผิงรู้สึกอับอายมาก!
ในภายภาคหน้าหากเอ่ยชื่อของเจี่ยงชิงเทียน คงมีชื่อของเขาอู๋หงอยู่ด้วยเป็นแน่ มันก็แค่เท่านี้ แต่ชื่อเสียงเขาก็ได้เสียไปแล้ว และเขาก็ไม่ใช่คนที่ต่อสู้เพื่อแสวงหาชื่อเสียงทางราชการ
เมื่อเจี่ยงเหวินเฟิงเข้ามาตัดสินคดีที่ไม่เป็นธรรมต่อหน้าสาธารณชน เกิดแรงผลักดันที่แข็งแกร่งมากจนยากที่จะควบคุมได้
ผู้ตรวจการท่านนี้เกิดมาเพื่อเป็นศัตรูกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น พวกเขาดำเนินการในพื้นที่มาเป็นเวลานาน ใครเล่าจะเต็มใจให้คนที่น่าประหลาดใจมาบงการตนเองกัน
“ใต้เท้าเจี่ยงช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!” ท่านเจ้าเมืองอู๋คลี่ยิ้มและกล่าวชมเชย “คดีความนี้พวกเราตัดสินผิดพลาด หากไม่ได้เป็นเพราะท่าน เกรงว่าจะกลายเป็นคดีที่ไม่เป็นธรรมจริงๆ เสียแล้ว”
เจี่ยงเหวินเฟิงหัวเราะ “ตรวจสอบคดีต้องละเอียดรอบคอบ ใต้เท้าอู๋ชมเกินไปแล้ว”
“ท่านสมควรได้รับคำชมนี้แล้วขอรับ มันคือชีวิตคนหนึ่งชีวิต! นับเป็นโชคดีสำหรับพวกเราชาวเมืองตงหนิงที่คนอย่างท่านได้มาเยือนตงหนิง ข้าน้อยคงต้องขอคำแนะนำจากท่าน หวังว่าใต้เท้าจะไม่ลังเลที่จะสอนเคล็ดลับอื่นๆ ให้พวกเรา!”
“ใต้เท้าอู๋เกรงใจเกินไปแล้ว ข้าจะไปมีเคล็ดลับได้อย่างไรกัน เพียงแค่ตั้งใจให้มาก หากท่านตัดสินในคดีไม่เป็นธรรมจนทำให้คนผู้หนึ่งต้องตาย ก็ถือว่าเป็นการทำลายครอบครัวหนึ่ง ขอเพียงแค่คิดถึงเรื่องนี้ ท่านจะไม่มีทางประมาทแน่นอน!”
“ท่านจะบอกว่า…”
อีกด้านหนึ่ง หมิงเซียงหลบตัวอยู่ข้างหลังหมิงเวย นางมองใบหน้าเขียวคล้ำของนายท่านสี่อย่างเป็นกังวล จบสิ้นแล้วจริงๆ ดูจากอารมณ์ของท่านพ่อของนางแล้ว หมิงเซียงรู้สึกว่านางไม่สามารถรักษาขาของตนเองไว้ได้แน่…
ในเวลานั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงนุ่มๆ ของแม่นางอาหว่าน “ขอประทานโทษเจ้าค่ะ แม่นางท่านนั้นเป็นบุตรสาวตระกูลใดหรือ”
ทุกคนในตระกูลหมิงเมื่อได้ยินคำพูดนั้นสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป
พวกเขาหันศีรษะกลับไป แล้วก็เห็นแม่นางอาหว่านที่มีหน้าตากิริยาไม่แพ้บุตรสาวชนชั้นสูงได้ออกมาจากเขตโต๊ะส่วนตัว นางมองพวกเขาด้วยรอยยิ้ม แต่สายตากลับจ้องมองไปที่หมิงเวยอย่างไม่พลาดเป้า!
พวกเขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงข่าวลือ เรื่องที่คุณชายสามแห่งตระกูลหยางทำตัวไร้สาระ ชอบดื่มสุราเคล้านารี!
เหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้ โดนเขาเห็นแล้วแน่ๆ มันจบแล้ว จบแล้วจริงๆ!
อาหว่านถามอีกครั้ง “ขอประทานโทษเจ้าค่ะ แม่นางท่านนั้นเป็นบุตรสาวตระกูลใดหรือ”
นายท่านสองฝืนใจยกมือตอบ “นางเป็นลูกหลานตระกูลหมิงในหนานเซียง”
“ที่แท้ก็เป็นลูกหลานตระกูลหมิง” อาหว่านพยักหน้าและยิ้ม “สมแล้วจริงๆ”
ม่านไม้ไผ่ในเขตโต๊ะส่วนตัวถูกยกออก คุณชายหยางท่านนั้นก้าวออกมาและเหลือบสายตามอง “แค่นี้ก็แสดงให้เห็นว่าตระกูลหมิงไม่เพียงแต่มีความสามารถเท่านั้น แต่ยังมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่น เดิมทีข้าไม่เชื่อหรอกนะ แต่ตอนนี้ข้าเชื่อแล้ว”
กล่าวจบเขาก็เอามือไพล่หลัง เดินเคาะพัดแล้วเดินออกจากโรงน้ำชา สายตาไม่วอกแวกมองไปทางอื่นใด เมื่อได้ยินเช่นนี้ ชนชั้นสูงท่านอื่นที่อยู่ในที่นี้อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปที่ตระกูลหมิงด้วยสายตาซับซ้อน
หลายคนรู้จักชื่อเสียงของคุณชายหยางเป็นอย่างดี ดูเหมือนว่าเขากำลังเล็งหญิงสาวจากตระกูลหมิง
จุ๊ๆ ไม่รู้ว่าจะเห็นใจพวกเขา หรืออิจฉาพวกเขาดี ตระกูลหมิงได้ตกระกำลำบากอีกครั้งแล้ว อีกฝ่ายเป็นถึงลูกหลานตระกูลผู้ก่อตั้งแคว้น ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ส่งมอบหญิงสาวบ้านตนเองให้เป็นอนุภรรยา แต่ไม่แน่ใจว่าคุณชายหยางผู้นี้จะหลงใหลในความงามจนเต็มใจแต่งนางเป็นภรรยาหรือเปล่านะ
ท้ายที่สุดความเหลวไหลของคุณชายหยางก็เป็นที่โจ่งแจ้ง สีหน้าของนายท่านสี่ดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง ชนชั้นสูงที่เดิมทีคิดว่าจะพูดจาเยาะเย้ยใส่ พอเห็นท่าทางของเขาก็เปลี่ยนใจไม่พูดอะไรแล้วเดินตามท่านเจ้าเมืองออกไป
หมิงเซียงตกตะลึงไปชั่วขณะ พอได้สติกลับมานางจึงเอ่ยถาม “เขาหมายความว่าอย่างไรกันหรือ”
ทันทีที่พูดจบหน้าผากนางก็ถูกดีดไปหนึ่งที นายท่านสี่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “เจ้ายังกล้าถามอีกหรือว่าหมายความว่าอย่างไร! พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน”
“ข้า ข้า…” หมิงเซียงกลัวจนหัวหด
นายท่านสี่มีหรือที่จะไม่รู้จักนิสัยของบุตรสาวตนเอง เขาพูดขึ้นด้วยความโกรธ “พวกเจ้าแอบหนีออกมากันเองก็ช่างมัน แต่ยังพาเสี่ยวชีออกมาด้วย! ดีจริงๆ ตอนนี้เกิดปัญหาขึ้นแล้วพอใจกันหรือไม่”
หมิงเซียงร้องไห้ “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่างูมันตกลงมา ตอนแรกซ่อนตัวอย่างดีแล้วแท้ๆ…”
“เจ้ายังจะกล้าพูดอีก!” นายท่านสี่โมโหจนอยากจะตีขานาง!
“พอเถอะ!” นายท่านสองพูดขัดจังหวะเขาแล้วพูดเสียงเบา “ตอนนี้ก็ถูกพบไปแล้ว จะดุไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด เรามาคิดกันดีกว่าว่าจะทำอย่างไรกันดี!”
นายท่านสี่ไม่สามารถระงับความโกรธได้ เขาสะบัดแขนเสื้อเดินออกจากโรงน้ำชาไปก่อน นายท่านสองส่ายหน้าแล้วหันมาพูดกับหมิงเฉิง “เจ้าพาน้องๆ กลับบ้านด้วย”
“ขอรับ” หมิงเฉิงตอบรับ
เมื่อนายท่านสองจากไปเขาก็ชี้ไปที่หมิงเซียง
หมิงเซียงรีบพูดก่อนว่า “ข้ารู้ว่าข้าผิด! ข้ากลับไปข้าต้องโดนตีแน่นอน พี่สี่ค่อยพูดทีหลังได้หรือไม่”
หมิงเฉิงทำได้แต่ถอนหายใจแล้วหันมาพูดกับหมิงเวย “ไปกันเถอะ พี่สี่จะพาเจ้ากลับบ้าน”
………………………………………