หมิงเวยกลับไปที่รถม้า ทันเห็นอาสวนพาหญิงสาวหน้าตามอมแมมเข้ามา “แม่นางหมิง นาง…”
คนที่มีใบหน้าเปื้อนฝุ่นผู้นี้ไม่ใช่เหวินอิ๋งหรอกหรือ นางถูกเลือกให้ไปนั่งดื่มเป็นเพื่อนหัวหน้าเซียง เสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่ได้อลังการอะไร นอกจากนี้ตอนถูกจับเป็นตัวประกันยังทำรองเท้าหล่นหายระหว่างหลบหนีแล้วยังถูกงูขาวสะบัดหางใส่จนเครื่องประดับกระจัดกระจาย ตัวเปื้อนฝุ่นยิ่งรู้สึกน่าอับอายอย่างยิ่ง
“พานางมานั่งที่นี่เถอะ” หมิงเวยพูด อย่างไรนางก็เป็นคุณหนูตระกูลโหวไม่ควรให้ผู้ใดมาเห็นนางในสภาพเช่นนี้
อาสวนตอบรับจากนั้นก็ออกรถ หยางชูเคาะหน้าต่างแล้วบอกว่า “กล่องที่อยู่ด้านซ้ายมีของใช้ของอาหว่านอยู่”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” หมิงเวยเปิดกล่องซ้ายมือแล้วพบว่ามีกระจก หวีและเสื้อผ้าบางส่วนอยู่ในนั้น
นางคลายพันธนาการให้เหวินอิ๋งแล้วบอกว่า “รีบจัดการตนเองให้เรียบร้อยเถอะ อีกเดี๋ยวพวกเราจะถึงศาลาว่าการถึงตอนนั้นครอบครัวของท่านคงมารอรับแล้ว”
เหวินอิ๋งเจอเรื่องราวน่ากลัวมาทั้งวันคิดอยู่หลายครั้งว่าชีวิตของตนเองคงจบสิ้นแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้วนางได้รับความสงบสุขไม่เกิดปัญหาใดๆ ทั้งสิ้น
อีกฝ่ายพูดเสียงแผ่วเบา “ขอบคุณ”
หมิงเวยไม่พูดอะไรต่อ การที่ตนยื่นมือเข้ามาช่วยไม่ได้หมายความว่าตนไม่สนใจการกระทำก่อนหน้านี้ของนางเสียหน่อย เด็กสาววัยเยาว์จิตใจดำมืดเช่นนี้ นางไม่มีความรู้สึกที่ดีด้วยเลยสักนิด
เหวินอิ๋งเช็ดใบหน้าเปื้อนฝุ่นของตนเองเงียบๆ จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้า จัดการเผ้าผมของตนเองให้เรียบร้อย
ในตอนนี้นางได้รับการช่วยเหลืออย่างแท้จริงถึงแม้จะต้องเผชิญกับความโหดร้ายมาหลายวัน อีกทั้งเกือบจะได้เอาเปรียบผู้อื่นไปแล้ว แต่โชคดีที่ผ่านจุดนี้มาได้ ไม่ได้ถูกทำร้าย ไม่ได้เสียความบริสุทธิ์ เมื่อกลับจวนไปนางก็จะยังเป็นคุณหนูสามตระกูลเหวินที่ยังเพียบพร้อมเหมือนเดิม
ความสุขที่ได้รอดพ้นจากภัยอันตรายทำให้นางรู้สึกดีเป็นพิเศษในเมื่อรถม้ามีเพียงแค่พวกนางสองคนจึงอดไม่ได้ที่จะถามหมิงเวยว่า “เจ้ามีนามว่าอะไรหรือ เป็นสาวใช้ของคุณชายสามตระกูลหยางหรือ”
หมิงเวยตอบอย่างเย็นชา “ไม่ใช่”
เหวินอิ๋งร้องอ้อ นางครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วถามออกไป “เจ้าคงเป็นคนของหวงเฉิงซือสินะ ได้ยินว่าหวงเฉิงซือมียอดฝีมือหลายคน ช่างเก่งกาจสมคำร่ำลือจริงๆ!”
หมิงเวยยังคงเงียบ
เหวินอิ๋งกำลังมีความสุขนางจึงพูดพล่ามไม่หยุด “พวกเจ้าช่วยข้าในครั้งนี้ ข้าจะให้ท่านพ่อตบรางวัลให้พวกเจ้าอย่างงาม อ้อ ยังมีพี่ใหญ่ไท่จื่อข้าจะพูดแทนพวกเจ้าให้เอง!”
ภายใต้ผ้าคลุมหน้านั้นหมิงเวยยิ้มเยาะนางด้วยความรู้สึกขบขัน
คุณหนูสามตระกูลเหวินผู้นี้คิดว่าตนเองมีความสำคัญถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ครั้งนี้เป็นเพราะการหายตัวไปของนางทำให้เหตุการณ์บานปลาย หากพูดกันตามตรง คุณหนูตระกูลโหวคนหนึ่งแม้จะเป็นลูกพี่ลูกน้องของไท่จื่อต่อให้ตามหาไม่เจอก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรเท่าใดนัก
เจี่ยงเหวินเฟิงจัดการเรื่องนี้เป็นอย่างดี ความดีความชอบที่ใหญ่ที่สุดคือการทำลายกลุ่มยาจกต่างหากไม่ใช่การช่วยเหลือคุณหนูสามผู้นี้เสียหน่อย
“เหตุใดเจ้าต้องปิดบังใบหน้าด้วยเล่า ใบหน้าเจ้ามีอะไรไม่น่ามองงั้นหรือ” เหวินอิ๋งไม่รู้จะคุยอะไร
หมิงเวยลูบหน้าผากตนเองและตอบอย่างไม่เกรงใจไปว่า “คุณหนูสาม ท่านไม่จำเป็นต้องถามอะไรเกี่ยวกับตัวข้าหรอก”
เหวินอิ๋งอึ้งไปแล้วนางก็หาคำตอบได้ “อ้อ เป็นความลับของหวงเฉิงซือสินะ จึงไม่สามารถเปิดเผยตัวตนของตนเองได้ง่ายๆ ใช่หรือไม่”
หมิงเวยไม่ตอบอะไรให้นางเข้าใจเช่นนั้นไปก็ดี ฟังอีกฝ่ายพูดอยู่ตลอดการเดินทาง จนในที่สุดก็เดินทางมาถึงศาลาว่าการ หมิงเวยถอนหายใจจากนั้นก็พาเหวินอิ๋งเข้าไปด้านใน
แน่นอนว่าเจี่ยงเหวินเฟิงได้แจ้งจวนเฉิงเอินโหวเรียบร้อยแล้วเหวินอิ๋งถูกรับตัวกลับไปอย่างราบรื่น ผ่านไปสักพักจี้เสียวอู่ก็พาตัวฝูและเว่ยเสี่ยวอันเข้ามา
พอเว่ยเสี่ยวอันเห็นหมิงเวยนางก็น้ำตาไหลออกมา “หมิงเวย เป็นเจ้าใช่หรือไม่ ฮือ ข้าคิดว่าตนเองจะไม่ได้กลับมาแล้ว…”
หมิงเวยยิ้มและกอดปลอบนางปล่อยให้นางร้องไห้จนพอใจแล้วพานางเข้าไปด้านในเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ร่างกายสดชื่น
“เอาล่ะ ฝันร้ายของท่านผ่านพ้นไปแล้ว” หมิงเวยปลอบ “สิบวันมานี้คิดเสียว่าเป็นแค่ฝันร้ายหลังจากนี้ใช้ชีวิตของตนเองต่อไปอย่าได้คิดมาก”
“อืม” เว่ยเสี่ยวอันเช็ดน้ำตา “ข้าไม่คิดเลยจริงๆ ว่าเจ้าให้พี่ชายของเจ้ามาช่วยข้า ยังมีตัวฝูอีกเจ้าเก่งกาจมาก เจ้าเป็นยอดฝีมือด้านวรยุทธ์ในตำนานใช่หรือไม่”
หมิงเวยยิ้ม “ใช่! เจ้าเคยได้ยินเรื่องราวของสาวด้ายแดงหรือไม่”
“จริงหรือ!” เว่ยเสี่ยวอันชื่นชม “ช่างน่าอิจฉาเจ้าจริงๆ ที่มีคนที่เหมือนกับสาวด้ายแดงอยู่ข้างกาย” หมิงเวยยิ้มแต่ไม่พูดอะไร
เว่ยเสี่ยวอันดึงนางเข้าไปคุยต่อ “จริงสิ โจรลักพาตัวพวกนั้นถูกจับหมดแล้วหรือ ต่อจากนี้พวกเขาจะทำร้ายผู้อื่นไม่ได้แล้วใช่หรือไม่”
“ถูกจับหมดแล้ว” หมิงเวยตอบ “ครั้งนี้ฝ่าบาททรงพิโรธพวกเขามีจุดจบไม่สวยแน่”
“อืม” เว่ยเสี่ยวอันพยักหน้าแรงๆ “ต้องลงโทษพวกเขาให้สาสม เจ้าคงไม่รู้ว่าพวกเขาเลวร้ายมาก พวกเราถูกจับตัวไปถูกขังไว้ที่นั่น กินไม่อิ่มนอนไม่หลับ แต่พอเวลาผ่านไปพวกเขาก็พาตัวพวกเราออกไปทีละคน…”
พูดถึงเรื่องนี้เว่ยเสี่ยวอันรู้สึกหนาวเหน็บจนตัวสั่น นางช่างโชคดีจริงๆ หากช้าไปหนึ่งวันต่อให้ช่วยกลับมาได้ แต่ชีวิตต่อจากนี้ของนางคงจบสิ้นแล้ว
“ไม่เป็นไรแล้วนะ ผ่านไปแล้ว” หมิงเวยตบหลังนางเบาๆ
เว่ยเสี่ยวอันยิ้มอย่างอายๆ แล้วถามหมิงเวยว่า “จริงสิ เหวินอิ๋งกับข้าถูกจับตัวไปด้วยกัน เจ้าช่วยนางได้หรือไม่”
“ช่วยได้แล้ว”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” เว่ยเสี่ยวอันโน้มตัวไปกระซิบหมิงเวย “ข้าบอกเจ้าไว้เลย เหวินอิ๋งเป็นคนที่ใกล้ชิดด้วยไม่ได้ นางเคยชินแต่การตอบแทนพระคุณด้วยความแค้น ข้ากับนางถูกขังอยู่ด้วยกันหลายวันมานี้ข้าคอยดูแลนางผู้ใดจะคิดว่านาง…”
หมิงเวยจับมือนาง “เรื่องนี้ข้ารู้แล้วนางมีจิตใจชั่วร้ายต่อไปเจ้าไม่ต้องสนใจนางก็พอ”
“อันที่จริง ข้าโกรธนางมาก” เว่ยเสี่ยวอันพูด “ตอนนางถูกจับตัวไปข้าดีใจนิดหน่อย ทำชั่วได้ชั่ว แต่เมื่อคิดๆ ดูแล้ว คนพวกนั้นโหดเหี้ยมเกินไปต่อให้นางเลวร้ายแค่ไหน แต่คงไม่ถึงกับต้องเจอเรื่องเช่นนี้”
หมิงเวยยิ้มเด็กสาวคนนี้จิตใจดีอย่างที่นางคิดไว้ ทำให้ตนรู้สึกว่าไม่เสียแรงที่ช่วยเหลือนางออกมาได้ ทั้งสองพูดคุยกันอยู่สักพักคนของตระกูลเว่ยก็มาถึง
นายท่านเว่ยและเว่ยฮูหยินมารับนางด้วยตนเองพวกเขาโผเข้ากอดกันแล้วร้องไห้ หมิงเวยพูด “เสี่ยวอันยังตกใจกลัวอยู่ พวกท่านพานางกลับไปพักผ่อนก่อนเถิดเจ้าค่ะ เรื่องอื่นค่อยคุยกันทีหลัง” ทุกคนในตระกูลเว่ยต่างกล่าวขอบคุณแล้วพาเว่ยเสี่ยวอันกลับไป
หมิงเวยออกจากห้องนางคิดจะไปหาจี้เสียวอู่ แต่พอไปได้ไม่ไกลก็เห็นเขายืนเผชิญหน้ากับหญิงสาวคนหนึ่งในความมืด
“คุณชายไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปจริงๆ” กุ้ยเหนียงยิ้ม “กุ้ยเหนียง…มีตาหามีแววไม่”
จี้เสียวอู่ดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อยเขาพูดตอบเสียงเบา “ข้าโกหกพี่กุ้ยเหนียง ขอโทษด้วย”
กุ้ยเหนียงยิ้มก่อนจะเอ่ย “เหตุใดคุณชายต้องขอโทษกุ้ยเหนียงด้วย” จี้เสียวอู่เงียบ
กุ้ยเหนียงยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยต่อ “คุณชายโกหกกุ้ยเหนียง กุ้ยเหนียงเองก็โกหกคุณชาย ถือว่าเราหายกัน ส่วนคำพูดพวกนั้นกุ้ยเหนียงเข้าใจว่าคุณชายแค่เผลอใจ ไม่ได้จริงจังอะไร”
คำพูดพวกนั้นคือคำพูดไหนทั้งสองคนต่างรู้อยู่แก่ใจดี
จี้เสียวอู่ถึงกับชะงักไปสักพักก่อนจะหาเสียงของตนเองเจอ “พี่กุ้ยเหนียงวางใจได้ พวกเขาปล่อยตัวท่านกลับบ้านแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นท่านจะกลายเป็นสตรีในตระกูลที่ดี”
กุ้ยเหนียงพยักหน้า “เจ้าค่ะ ต่อไปกุ้ยเหนียงจะไม่ต้องถูกผู้อื่นทำให้เสียหายอีกแล้ว”
จี้เสียวอู่มีเรื่องอยากจะพูด แต่ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรเขาจึงถอยหลังไปครึ่งก้าวแล้วคารวะอีกฝ่าย “ถ้าเช่นนั้น เราคงมีโอกาสได้เจอกันอีก”
เขาหมุนตัวเดินกลับไปได้สองก้าวก็ได้ยินเสียงของกุ้ยเหนียงตะโกนตามหลังมาว่า “คุณชาย กุ้ยเหนียง…ขอทราบนามของท่านได้หรือไม่เจ้าคะ”
…………
Related