หมิงเวยหันกลับมาก็เห็นตัวฝูทำสีหน้าสับสน
“เป็นอะไรไป” นางถาม ตัวฝูอยากพูดแต่ไม่กล้าพูด
หมิงเวยพูด “เจ้ามีอะไรที่บอกตรงๆ ไม่ได้งั้นหรือ” ตัวฝูก้มหน้าลงอย่างเขินอาย นางบอกเสียงเบาๆ ว่า “บ่าวรู้สึกว่า…บางครั้งคุณหนูดูแปลกไปน่ะเจ้าค่ะ”
“อ้อ” หมิงเวยยังคงยิ้ม “แปลกตรงไหน” ตัวฝูพอเห็นว่านางไม่โกรธ เลยกล้าที่จะพูดออกไป “คุณหนูเวลาอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่มักจะน่ารักน่าเอ็นดู แต่พอพวกเขาเดินจากไป…”
หมิงเวยทำหน้าตกใจ แต่แล้วนางก็หัวเราะออกมาเบาๆ ตัวฝูเห็นนางหัวเราะก็รู้สึกไม่สบายใจ “บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ไม่ควรพูดว่าร้ายคุณหนู…”
“เจ้าไม่ผิด” หมิงเวยมองนางด้วยรอยยิ้ม “พูดเรื่องจริงจะผิดได้อย่างไร ต่อไปหากเราอยู่ด้วยกันสองคน เจ้าคิดเห็นอย่างไรก็พูดออกมาเถิด แน่นอนว่าหากต่อหน้าคนนอกต้องเงียบเอาไว้”
“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” ตัวฝูรีบตอบ “ห้ามพูดว่าเจ้านายถูกหรือผิด”
“เจ้าพูดผิดแล้ว” ตัวฝูมองนางอย่างสับสน ตนเองพูดผิดตรงไหนหรือ
“ห้ามพูดว่าคนถูกหรือผิดต่างหาก” ตัวฝูยิ่งสับสน ต่างกันแค่คำเดียว หมิงเวยไม่อธิบายอะไรกับนางอีกแล้วหมุนตัวเดินเข้าสวนไป ไฟในห้องเปิดอยู่ ฮูหยินสามกำลังรอนางอยู่
“ท่านแม่” อย่างที่ตัวฝูพูด พออยู่ต่อหน้าท่านแม่ หมิงเวยก็เปลี่ยนไปเป็นคนอ่อนหวานน่าเอ็นดู ราวกับคนสองคนเปลี่ยนบุคลิกกัน
ฮูหยินสามเข้ามาลูบมือนางเพื่อให้แน่ใจว่าตัวนางไม่เย็นแล้วจึงช่วยนางถอดเสื้อคลุม
“อาเซียงกับฮ่าวเกอสบายดีไหม”
“สบายดีเจ้าค่ะ! ท่านอาสี่ไม่ได้ลงโทษหนักนัก พวกเขาเองก็ดูจะชินกับการถูกลงโทษแล้ว ตอนที่ลูกไปถึงพวกเขากำลังคุยเรื่องอาหาร…”
ฮูหยินสามจ้องมองบุตรสาว แสงเทียนอันอบอุ่นส่องลงบนใบหน้าขาวสะอาดของนาง ช่างดูบอบบางและคล่องแคล่ว ซึ่งทำให้นางนึกถึงคำพูดของนายท่านสอง
ยิ่งสะอาดและสูงส่งมากเท่าใดยิ่งดึงดูดให้อยากดึงลงมากเท่านั้น
เด็กคนนี้โง่เขลามาหลายสิบปี ในที่สุดก็ได้ใช้ชีวิตเหมือนเด็กสาวทั่วไป ได้แอบออกไปเล่นกับเพื่อนๆ แอบเอาอาหารไปให้พวกเขากลางดึก ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องที่น่าสนใจกัน…
นางไม่ต้องการความร่ำรวย ไม่ต้องการความสูงส่ง แค่ต้องการใช้ชีวิตกับบุตรสาวของนางได้อย่างปลอดภัยเท่านั้น
อย่างน้อยลูกก็ไม่เหมือนนางมีแต่ดึงให้คนตกต่ำลง
“เสี่ยวชี”
หมิงเวยหยุดพูด นางมองออกว่าฮูหยินสามมีบางอย่างในใจ นางถึงได้ตั้งใจทำตัวให้มีชีวิตชีวาเพียงเพื่อให้นางมีความสุข
น่าเสียดายที่ไม่ได้ผล หรือว่านายท่านสองเข้ามาพูดอะไรกับนางหรือเปล่า
สิ่งที่ฮูหยินสามพูดมานั้นไม่ใช่สิ่งที่นางคาดเดาได้ “ตอนที่ลูกยังเล็ก แม่ได้หมั้นหมายลูกไว้กับญาติ”
หมิงเวยชะงัก “ท่านพี่ที่เป็นบุตรชายของท่านลุงใช่หรือไม่เจ้าคะ ก่อนหน้านี้ลูกได้ยินท่านแม่พูดกับแม่นมถง”
“ใช่แล้ว” ฮูหยินสามตอบ “ก่อนหน้านี้ลูกยังเล็ก แม่ไม่เคยจัดพิธีอะไรให้ลูกเลย ตอนนี้ลูกอายุสิบห้าแล้ว ถึงเวลาที่ควรจัดแล้วล่ะ”
หมิงเวยกำลังคิดว่าหาเหตุผลอะไรมาปฏิเสธดี สวรรค์ส่งจิตวิญญาณของนางมายังยุคนี้ ซึ่งเป็นการขโมยความลับสวรรค์ท่ามกลางความมืดมิด
ผู้คนในเสวียนเหมินให้ความสำคัญกับการกลับชาติมาเกิดมากที่สุด หากกล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อเราได้ของอย่างหนึ่งมาก็ต้องให้อย่างอื่นกลับ
เพราะฉะนั้นผู้ทำนายดวงชะตาส่วนใหญ่จึงมีข้อเสียห้าประการ บกพร่องสามประการ[1] นี่คือบทลงโทษสำหรับผู้ที่ทำให้ความลับรั่วไหล
สิ่งที่นางอยากทำมันยิ่งใหญ่กว่าโชคชะตาของคนเสียอีก ไม่ใช่เพียงแค่ร้อยเท่าพันเท่าเท่านั้น แม้ว่าจะสะกดปราณมังกรของฮ่องเต้ในสมัยอดีตที่เขาหมางซานได้ ตนเองไม่กล้าคาดเดาว่าต้องจ่ายในราคาเท่าใด
ดังนั้นนางจึงไม่อยากเกี่ยวข้องกับผู้คนในยุคนี้มากเกินไป เรื่องการแต่งงานเพื่อกำเนิดบุตร แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อนางเงยหน้าขึ้นเห็นดวงตาที่อ่อนโยนของฮูหยินสามเต็มไปด้วยความเศร้าที่ไม่อาจบรรยายได้นางก็พูดไม่ออก
สำหรับผู้หญิงที่ทุกข์ยากนางนี้ การเฝ้าดูบุตรสาวของตนเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ได้ออกเรือนเหมือนเด็กสาวทั่วไป ได้ช่วยเหลือสามี สั่งสอนบุตร บางทีนี่อาจเป็นความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของนาง
เพียงแค่นั้นเอง ไม่ต้องพูดถึงแล้ว เรื่องการแต่งงานจำเป็นต้องพูดคุยกันให้ชัดเจน จำเป็นต้องเดินทางไปที่เมืองหลวงมิใช่หรือ
ถึงเวลานั้นเกรงว่าตนเองจะคิดหาวิธีที่ทำให้ท่านพี่ห้าตกใจจนถอยไปเสียก่อน จัดการทำให้การแต่งงานนี้ยุติลงอย่างสวยงาม ไม่ให้มีอะไรเกี่ยวข้องกับนางอีก
หมิงเวยตัดสินใจทำตัวอ่อนหวานน่ารักจึงล้มลงบนตักของฮูหยินสาม ทำตัวออดอ้อนเหมือนเด็กหญิงตัวเล็กๆ “ลูกจะเชื่อฟังท่านแม่ ท่านแม่ว่าอย่างไรลูกว่าตามนั้นเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสามอดยิ้มออกมาไม่ได้ นางบีบจมูกของบุตรสาว “เจ้าอายุเท่าใดแล้ว หากยังติดแม่เช่นนี้ออกเรือนไปจะทำอย่างไรกัน”
“แม่นมถงไม่ได้พูดไว้หรือเจ้าคะว่าหากลูกออกเรือนไป ท่านแม่จะซื้อเรือนข้างๆ เช่นนี้พวกเราก็จะได้อยู่ด้วยกัน”
หมิงเวยกอดนางไว้ไม่ยอมปล่อย นี่เป็นความรู้สึกออดอ้อนของแม่ลูกใช่หรือไม่ ทำให้คนเรารู้สึกอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากกันจริงๆ
นางไม่ได้ผ่อนคลายเช่นนี้มาหลายปีแล้ว ตั้งแต่แคว้นฉีเหนือล่มสลาย ในช่วงแรกนางเดินตามเส้นทางที่ท่านอาจารย์วาดไว้ ภายหลังไม่มีอำนาจมากพอ นางจึงต้องบังคับตัวเองให้เติบโตขึ้น กลายเป็นผู้สืบทอดปรมาจารย์แห่งชีวิตที่มีคุณสมบัติเหมาะสมของท่านอาจารย์
ในตอนนี้ นางมาอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคย บางคนสามารถทำตัวเป็นเด็กต่อไปได้หากเราเงยหน้ามองบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า
เมื่อก่อนคือท่านอาจารย์ ตอนนี้คือ…ท่านแม่
“ช่างเป็นเด็กเสียจริง” ฮูหยินสามยังมีความสุขกับการที่บุตรสาวทำตัวออดอ้อน
นางคิดมาสักพักแล้วจึงดึงปิ่นปักผมสีทองออกจากมวยผมของตนเอง
“ปีนี้ลูกอายุสิบห้าแล้ว เดิมทีควรได้เข้าพิธีปักปิ่น แต่เพราะก่อนหน้านี้ลูกป่วย แม่เองก็ไม่อยากฝืนบังคับลูก แม่ผิดไปแล้ว ปิ่นปักผมนี้เป็นของแทนใจที่ท่านพ่อของลูกให้แม่ไว้ หลายปีที่ผ่านมาแม่ใส่ไม่เคยห่างกาย ตอนนี้แม่ให้ลูกถือเป็นพิธีปักปิ่นสำหรับลูกนะ”
ฮูหยินสามมักจะแต่งตัวเรียบๆ บนศีรษะจะมีเพียงปิ่นปักผมสีทองอันนี้เท่านั้นไม่เคยเปลี่ยน เดิมทีหมิงเวยคิดว่าเพราะนางเป็นหม้ายที่แท้ก็มีต้นสายปลายเหตุจากเรื่องนี้ด้วย
นางไม่กล้ารับ “ท่านแม่ นี่เป็นของขวัญที่ท่านพ่อให้ท่านแม่ ลูกจะกล้ารับได้อย่างไรเจ้าคะ”
สิ่งนี้ทำให้นางนึกถึงเรื่องหนึ่ง ท่านอาจารย์มักจะพกหวีไม้ติดตัวเสมอและไม่เคยเอาไว้ห่างกาย ต่อมาท่านอาจารย์ได้รับบาดเจ็บ รู้ดีว่าตนเองเหลือเวลาไม่มากแล้วจึงบอกที่มาของหวีไม้นี้แก่นาง…ความรักที่ลึกซึ้ง แม้จะเป็นเพียงความคิดถึงเล็กๆ น้อยๆ ก็อยากที่จะรักษามันไว้
ฮูหยินสามหัวเราะเบาๆ และลูบผมของนาง “ลูกเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของแม่ สิ่งของไร้ชีวิตจะมีค่าเท่ากับลูกได้อย่างไร”
นางพาบุตรสาวไปที่หน้ากระจก “มา แม่จะปักปิ่นให้ลูก” หญิงสาวในกระจกมีหน้าตางดงาม นางงดงามเช่นนี้มาตั้งแต่เกิด
เป็นของขวัญที่สวรรค์ประทานให้ แต่บางครั้งก็เป็นบ่อเกิดแห่งหายนะเช่นกัน ฮูหยินสามค่อยๆ ดันปิ่นปักผมเข้าไป และฟังบุตรสาวของนางพูดเสียงเบา “มันหรูหราเกินไป ลูกรู้สึกว่ามันไม่เหมาะกับลูก แต่ท่านแม่ปักปิ่นนี้แล้วกลับงดงามมากกว่าลูกนัก”
นางหัวเราะ “หากลูกไม่ชอบจะไม่สวมมันก็ได้ แต่ต้องเก็บรักษาให้ดีๆ นะ ห้ามทิ้งเด็ดขาด”
“เจ้าค่ะ ลูกจะดูแลเป็นอย่างดีเลย ปิ่นปักผมอยู่คนอยู่ ปิ่นปักผมตายคน…” คำต่อไปนางไม่กล้าพูดต่อ
ฮูหยินสามบีบแก้มนาง “คำพูดแปลกๆ พวกนี้ลูกไปเรียนจากที่ใดมา คงไม่ใช่หนังสือนิทานที่อาเซียงอ่านหรอกนะ”
“ท่านแม่!” หมิงเวยไม่อยากตอบจึงกอดเอวของนางไว้
ฮูหยินสามมองดูภาพพวกนางสองแม่ลูกกอดกันในกระจกด้วยความดีใจอย่างไม่ปิดบัง “หลังปักปิ่นเสร็จก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ เสี่ยวชีของแม่ ในที่สุดก็โตแล้ว…”
…………………………………………………………..
[1] ข้อเสียห้าประการ บกพร่องสามประการ : ข้อเสียห้าประการ (พ่อหม้ายแก่ แม่หม้ายแก่ เด็กกําพร้า คนแก่ที่ไม่มีลูก คนพิการ) ส่วนข้อบกพร่องสามประการ(ความมั่งคั่ง ชีวิต อำนาจ)