เสวียนเฟยรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เดิมทีหลังจากการเข้าเฝ้าเพื่อรายงานผลต่อหน้าพระพักตร์ ตำแหน่งเจ้าสำนักของตนถูกกำหนดไว้อย่างแน่นอนอยู่แล้ว เขากับอวี้หยางตอบคำถามทั้งห้าด่านได้ใกล้เคียงกัน แต่เขาอธิบายรายละเอียดได้ดีกว่าและสมเหตุสมผลกว่าอีกฝ่าย
แต่เมื่อฮ่องเต้เสด็จมาพร้อมกับอวี้หยางโดยไม่มีคำอธิบายใดๆ เขาก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างที่เขาไม่รู้เกิดขึ้น หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปตำแหน่งเจ้าสำนักของตนอาจหลุดลอยไปแน่
ผู้อาวุโสอี้บอกว่าเขาไม่ต้องยุ่งเรื่องนี้ แต่เขาไม่เคยเป็นคนถูกกระทำการรอให้ตำแหน่งเจ้าสำนักตกลงมาบนหัวเขา เสวียนเฟยไม่เชื่อว่าจะมีเรื่องดีเช่นนี้เกิดขึ้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือเขาต้องรู้ให้ได้ว่าอวี้หยางไปพูดอะไรกับฮ่องเต้กันแน่ และฮ่องเต้สงสัยผู้ใดกัน
เขาอยากเป็นเจ้าสำนักและราชครูของแผ่นดินก็ต้องกลายเป็นคนที่ฮ่องเต้ไว้วางใจมากที่สุด หากแม้แต่เรื่องนี้ยังถูกกีดกันออกไปเขาจะเป็นราชครูได้อย่างไร
แต่เขาเพิ่งกลับมาฮ่องเต้ตนยังไม่เคยไปทำความรู้จักจะไปสอบถามได้อย่างไร
จริงสิ!
เสวียนเฟยถามจวินโม่หลี “คุณชายสามท่านนั้นพักอยู่ที่ไหน”
จวินโม่หลีเข้าใจเจตนาของเขาในทันที “ศิษย์พี่อยากพบเขางั้นหรือ แต่มันโจ่งแจ้งไปหรือไม่ หากเป็นข้าสู้ไปหาแม่นางแซ่หมิงผู้นั้นก่อนดีกว่า…”
เสวียนเฟยพยักหน้า “มีเหตุผล”
ในช่วงเวลาวิกฤตนี้มันดูโจ่งแจ้งเกินไปที่จะพบหยางชูโดยตรง หากเป็นหมิงเวย ยังสามารถขอพบด้วยเหตุผลเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กันได้
ทางด้านหมิงเวยเมื่อเห็นว่าฟ้ามืดแล้ว และยังไม่ได้รับข่าวอะไรจึงรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ตำแหน่งเจ้าสำนักตัดสินได้ไม่ยาก ตราบใดที่พวกเขามั่นใจว่าไม่ได้คำนวณผิดพลาดก็สามารถประกาศให้เสวียนเฟยได้รับชัยชนะได้ในไม่ช้า
แต่ตอนนี้กลับยังไม่ประกาศผล…
นางคิดที่จะไปสอบถามข่าวคราว แต่มีนักพรตน้อยมารายงานว่า “ที่นี่มีแม่นางแซ่หมิงหรือไม่”
ตัวฝูรีบตอบ “ท่านนักพรตมาหาคุณหนูมีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
นักพรตน้อยตอบไปว่า “ศิษย์พี่ของข้าชื่นชมความสามารถของแม่นางหมิงมากจึงอยากขอคำแนะนำจากนางไม่ทราบว่าแม่นางจะตอบรับคำเชิญหรือไม่”
“ศิษย์พี่ของท่านคือ…”
“เสวียนเฟย”
หมิงเวยลุกขึ้นขออนุญาตท่านลุงของตนแล้วเดินออกจากห้อง “ท่านนักพรตเชิญมาข้าน้อยจะกล้าไม่ตอบรับได้อย่างไรเจ้าคะ เชิญท่านนักพรตนำทางได้เลยเจ้าค่ะ”
นักพรตน้อยตอบกลับ “แม่นางหมิงเชิญทางนี้”
เดินไปได้ไม่ไกล นักพรตน้อยพานางไปที่ห้องโถงใหญ่แล้วเคาะประตูห้องด้านข้าง “ศิษย์พี่ แม่นางหมิงมาแล้วขอรับ”
เมื่อประตูเปิดออกเสวียนเฟยก็ปรากฏตัวขึ้นพอดี เขากล่าวขอบคุณนักพรตน้อยแล้วเชิญหมิงเวยเข้ามาด้านใน
หมิงเวยเห็นว่าภายในห้องนี้มีเพียงจวินโม่หลีจึงถามออกไปตรงๆ ว่า “เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ”
“อืม…” เสวียนเฟยลังเลเขาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนหอดูดาวให้อีกฝ่ายฟัง “…ข้าสงสัยว่าอวี้หยางจะไปทูลอะไรกับฝ่าบาทเข้า”
หมิงเวยยิ้ม “ท่านเห็นหรือยังว่าการที่พวกเราร่วมมือกันนั้นมีประโยชน์มาก จริงหรือไม่ ตอนนี้ท่านยังมีคนให้ปรึกษาหารืออีกด้วย”
จวินโม่หลีร้อนใจเขาอุทานว่า “ท่านพูดไร้สาระอะไรน่ะ เมื่อไรกัน แล้ว…”
“จะรีบร้อนไปทำไมเล่า” หมิงเวยนั่งลงส่งสัญญาณให้จวินโม่หลีรินชาให้นาง
จวินโม่หลีมองเสวียนเฟยเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าจึงรินชาให้นางด้วยความไม่เต็มใจ ปากพูดอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “ท่านเป็นสตรีคนหนึ่งไม่มีความระวังตัวเลยสักนิดเมื่อมาในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ผู้อื่นรินชาให้ท่านก็ไม่ควรดื่มมัน ท่านควรจัดการด้วยตนเองถึงจะถูก!”
หมิงเวยพูดอย่างจริงใจ “ท่านนักพรตจวินช่างเป็นคนดีจริงๆ”
จวินโม่หลีตกใจ จู่ๆ ใบหน้าของเขาก็แดงเพื่อปกปิดความเขินของตนเองจึงพูดเสียงดังออกไปว่า “เดี๋ยว! เหตุใดท่านถึง…”
หมิงเวยเงยหน้ามองเขาเป็นสัญญาณให้เขาเงียบเสียงลงแล้วหันไปหาเสวียนเฟย “การคาดเดาของท่านน่าจะถูก จู่ๆ อวี้หยางปรากฏตัวขึ้นข้างกายฝ่าบาท มีเพียงคำอธิบายเดียวเท่านั้น และเขานำเบี้ยในมือเพียงหนึ่งเดียวออกมา หมายความว่าเขารู้ว่าดาวมารคือผู้ใด”
ท่าทีของฮ่องเต้บ่งบอกได้อย่างชัดเจน หลังจากนั้นให้ขันทีมาถามดวงชะตาปาจื้อของคนผู้หนึ่งด้วย หมายความว่าพระองค์มีเป้าหมายที่แน่นอนแล้ว
“เพราะฉะนั้นข้าเลยอยากถามคุณชายหยางไม่ทราบว่าแม่นางสะดวกหรือไม่”
หมิงเวยตอบ “ท่านไม่ต้องรีบร้อนหรอก” จากนั้นถามต่อว่า “ท่านจำดวงชะตาปาจื้อของคนผู้นั้นได้หรือไม่”
เสวียนเฟยพยักหน้าแล้วอ่านอักขระทั้งแปดให้อีกฝ่ายฟัง แล้วเขาก็พูดอีกว่า “เมื่อเห็นดวงชะตาปาจื้อนี้ ปีนี้คนผู้นั้นอายุสิบเก้า แต่ไม่รู้ว่าเป็นคุณชายตระกูลไหน…”
ยังไม่ทันพูดจบเขาเห็นหมิงเวยเลิกคิ้ว
“ทำไม มีปัญหาอะไรหรือ”
หมิงเวยถอนหายใจ “ท่านไม่ต้องถามหาเขาหรอก”
“ทำไมกัน” เสวียนเฟยถาม แต่แล้วสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป “หรือว่า…”
หมิงเวยพยักหน้า “เป็นดวงชะตาปาจื้อของเขา”
เสวียนเฟยตกตะลึงผ่านไปนานกว่าเขาจะหาเสียงของตนเองเจอ “เกิดอะไรขึ้น เหตุใดฝ่าบาทต้องสงสัยเขาด้วย ไม่ว่าจะมองอย่างไรคุณชายหยางไม่มีทางเป็นดาวมารได้เลย!”
หมิงเวยเหล่มองเขา “ไม่ว่าจะมองอย่างไร ท่านนักพรตก็ไม่เหมือนดาวมารเหมือนกัน!”
จวินโม่หลีพูดแทรก “ศิษย์พี่ไม่มีทางเป็นแน่นอน!” เสวียนเฟยเงียบ
หมิงเวยวางมือขวาลงบนโต๊ะ นิ้วทั้งห้าของนางเคาะลงบนโต๊ะอย่างคนใช้ความคิด “ข้าได้ยินข่าวลือว่าอวี้หยางกับไท่จื่อมีความสัมพันธ์ลับกัน”
“จริงด้วย!” จวินโม่หลีพูดขึ้นอย่างร้อนอกร้อนใจ “เขาสมคบคิดกับไท่จื่อมานานแล้ว!”
เสวียนเฟยพึมพำ “เหตุใดไท่จื่อต้องมุ่งร้ายคุณชายหยางด้วย”
“เพราะอิจฉาน่ะสิ…”
หมิงเวยรู้สึกซับซ้อน นางรู้ว่าองค์ชายรองกับองค์ชายสามไว้ใจไม่ได้ นางเองก็หวังว่าไท่จื่อจะเป็นคนที่พึ่งพาได้ แต่ไม่คิดว่าเขาจะทำเรื่องเช่นนี้
ข่าวลือเรื่องชาติกำเนิดของหยางชูทำให้ไท่จื่อไม่ชอบเขาเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่เพราะไม่ชอบจึงวางแผนใส่ร้ายเขา คนเช่นนี้จะเป็นผู้นำแผ่นดินได้อย่างไร
แต่ท่าทีของฮ่องเต้ดูจะผิดพลาดเล็กน้อย
หากหยางชูเป็นบุตรนอกสมรสจริงๆ และเป็นบุตรที่เกิดจากสตรีที่เขารัก แม้จะเป็นดาวมารแต่ก็เป็นไปได้สูงที่จะไม่สงสัยในตัวเขา แต่ท่าทีของฮ่องเต้ราวกับว่ามีพายุกำลังจะมา…
พระองค์นิ่งเงียบแล้วทำแค่เพียงนำดวงชะตาปาจื้อไปถามผู้อาวุโสอี้ ดูเหมือนว่าเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยได้ถูกปลูกขึ้นแล้ว
ทำไมกัน
“ไม่จริง เขาไม่ใช่…”
“ไม่ใช่อะไรหรือ”
หมิงเวยไม่ตอบนางคิดว่านางสามารถตอบคำถามนั้นของหยางชูได้แล้ว เขาไม่ใช่บุตรนอกสมรสของฮ่องเต้อย่างแน่นอน เพราะหากเขาเป็นบุตรนอกสมรสจริงๆ ฮ่องเต้จะไม่มีท่าทีเช่นนี้แน่ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ยังมีอีกหนึ่งคำถามที่ยังไม่สามารถตอบได้
แม้เขาจะเป็นบุตรชายแท้ๆ ของนายท่านสองตระกูลหยาง เหตุใดฮ่องเต้ต้องสงสัยในตัวเขาด้วยเพียงเพราะอวี้หยางร้องเรียนแค่นั้นหรือ
หากเขาสงสัยว่าหยางชูจะแค้นที่พระองค์แย่งมารดาไปก็ไม่ควรมอบหวงเฉิงซือให้ตกไปอยู่ในมือเขา
เรื่องนี้มีอะไรผิดพลาดกันแน่มีข้อมูลตรงไหนผิดพลาดไปงั้นหรือ
“แม่นางหมิง”
สติของหมิงเวยกลับมาเห็นท่าทีเป็นกังวลของเสวียนเฟยจึงยิ้มออกมา “ท่านไม่ต้องกังวลไป แม้อวี้หยางจะร้องเรียนไป แต่ตำแหน่งเจ้าสำนักไม่ตกไปอยู่ในมือเขาอย่างแน่นอน ฝ่าบาทไม่น่าชื่นชมคนถ่อยเช่นนี้แน่”
“แต่ว่า…” สิ่งที่เขาต้องการคือความแน่ใจไม่ใช่คำว่าไม่น่าหรือไม่แน่
“ข้ามีความคิดหนึ่งท่านอยากฟังหรือไม่”
เสวียนเฟยสูดหายใจเข้าลึกๆ “แม่นางหมิงพูดมาได้เลย”
“ตอนนี้ท่านไปหาอวี้หยางและไปทะเลาะกับเขาให้หนัก ทะเลาะยิ่งหนักมากเท่าไรก็ยิ่งดี!”
………….