เวลาผ่านไปทีละนิด หนิงซิวมองแววตาของหมิงเวยที่ค่อยๆ เปลี่ยนจากความอยากรู้อยากเห็นเป็นความเงียบขรึม “ทำไมหรือ” หมิงเวยกุมหน้าผากแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ “ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย[1] ข้ายังคิดเลยว่ามันต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่แท้จุดเปลี่ยนกลับอยู่ข้างกายนี่เอง” หนิงซิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ฟังที่เจ้ากล่าวมาดวงชะตาปาจื้อของเขาไม่ถึงกับแย่ใช่หรือไม่” ไม่คิดเลยว่าหมิงเวยจะตอบกลับว่า “แย่มากเจ้าค่ะ” หมิงเวยชี้ผังชะตาชีวิตบนโต๊ะ “สถานภาพชีวิตหน้าที่การงานไม่มั่นคง อยู่โดดเดี่ยวไปตลอดชีวิต สิ่งที่อาจารย์ของท่านทำนายมาไม่ผิด เขามีดวงสังหารครอบครัวถูกลิขิตให้อยู่คนเดียวเพียงลำพังเจ้าค่ะ” ผลลัพธ์นี้หนิงซิวก็คำนวณออกมาได้เช่นกันเขาพูดว่า “เจ้าลองจัดผังใหม่ ข้าลองทำดูแล้วแต่ชะตาอันสูงส่งของเขา…” หมิงเวยส่ายหน้า “ไม่จำเป็นต้องจัดผังดูใหม่ชะตาอันสูงส่งของเขาซ่อนอยู่ตรงนี้เจ้าค่ะ” หมิงเวยหยิบพู่กันขึ้นมาเปลี่ยนจุดสองจุด หนิงซิวตกใจ “เหตุใดถึงมีชะตากรรมเช่นนี้ได้! ที่แท้ก็มีสองผลลัพธ์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง!” “ไม่เพียงแค่นั้นนะเจ้าคะ” หมิงเวยเปลี่ยนจุดอีกเล็กน้อย และชะตากรรมนี้ก็กลายเป็นชะตากรรมที่อันตรายอย่างยิ่งซึ่งเป็นจุดจบที่หนิงซิวพูดไว้ หนิงซิวพูดไม่ออกไปชั่วขณะ “อันที่จริงรูปแบบชะตากรรมเหล่านี้ล้วนเป็นหนึ่งเดียว” หมิงเวยพูด “เขาควรประสบภัยจนถึงแก่ความตาย แต่ใช้วิธีเปลี่ยนชื่อจึงสามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นหากคำนวณจากดวงชะตาเดิมของเขาก็จะพบกับจุดจบ” นางลบการเปลี่ยนแปลงในภายหลังและกลับไปที่จุดแรก “ดูตรงนี้อีกทีสิ่งที่เรียกว่าชะตาอันสูงส่งไม่ขัดแย้งกับชะตากรรมของตนเองเลย อาจารย์คงเคยได้ยินประโยคนี้มาก่อน” หมิงเวยชะงักและพูดประโยคหนึ่งออกมา “เมื่อขึ้นเป็นฮ่องเต้ วงศาคณาญาติทั้งหกตัดขาด ผู้ใดปลงพระชนม์ฮ่องเต้ได้จะขึ้นเป็นใหญ่” หนิงซิวมือสั่นจนเกือบทำตะเกียงคว่ำ “เขา…” หมิงเวยพยักหน้า “ชะตากรรมเช่นนี้ไปไกลเกินกว่าจะบอกว่าดีหรือไม่ดี เขามีชะตาอันสูงส่งจริง แต่ก็มีชะตากรรมที่โดดเดี่ยวหากเรื่องแรกไม่สามารถเป็นจริงได้ก็ถือว่าทั้งชีวิตนี้จะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวถึงแม้ว่าจะเป็นจริงขึ้นมา แต่ก็ไม่ต่างอะไรจากชะตากรรมที่โดดเดี่ยวอยู่ดี” หนิงซิวเงียบเป็นเวลานานเขาพูดเสียงแผ่วเบา “ดาวมารนั่น…” “แน่นอนว่าดาวมารเป็นผู้อื่นมีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่ได้บอกท่าน” หมิงเวยกระซิบ “ข้า ก่อนหน้านี้ข้าเห็นดาวตี้ชิงเจ้าค่ะ” ประโยคที่ว่านางเห็นดาวตี้ชิงเห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะปรากฏขึ้นในตอนนี้ แววตาของหนิงซิวเปลี่ยนไป เขาใช้ชีวิตเกือบสามสิบปี และไม่เคยแสดงสีหน้ามากมายอะไรนัก เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ตั้งใจจะพูดเรื่องนี้กับเขา แต่เป็นเพราะเขาบอกดวงชะตาปาจื้อของหยางชูไปจึงถือว่าเป็นคนรู้เห็นด้วย นางถึงได้เปิดเผยออกมา ในเมื่อเขารู้ดวงชะตาปาจื้อก็ต้องมีเรื่องที่ไม่สามารถปิดบังได้ ดังนั้นหมิงเวยจึงดึงเขาเข้ามากลายเป็นพันธมิตรเสียเลย หนิงซิวรู้ว่าคำพูดต่อมาเขาไม่ควรฟัง เพราะถ้าหากฟังแล้วจะไม่สามารถถอนตัวออกมาได้ แต่เขาไม่ฟังได้งั้นหรือ เมื่อหลายปีก่อนท่านอาจารย์ได้กำชับว่า…ในฐานะศิษย์พี่เขาไม่ฟังไม่ได้ “จากนั้นล่ะ” หมิงเวยยิ้ม นางวางกระดาษที่มีอักขระแปดตัวไว้หน้าเชิงเทียน มองดูเปลวไฟค่อยๆ เผากระดาษ “ในเมื่อท่านมาดูแลเขาจึงมีผลลัพธ์อยู่สองทาง หนึ่งคือพาเขาไปให้พ้นจากเรื่องถูกผิดเหล่านี้ไปบวชเลยได้ยิ่งดี สรุปก็คืออย่าเข้ามาลุยเรื่องนี้อีกตลอดชีวิต ซึ่งช่วยให้ชีวิตเขาปลอดภัยได้ สอง…” เมื่อเปลวไฟลุกลามหมดจนเหลือเพียงฝุ่นสีดำที่ตกลงมาบนโต๊ะ หมิงเวยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ช่วยให้เขากลายเป็นชะตาอันสูงส่งก็จะสามารถทำลายชะตากรรมอันโดดเดี่ยวนี้ได้” หนิงซิวปากสั่นเขาพูดเสียงกระซิบ “ข้ารับปากท่านอาจารย์ไว้ว่าจะให้เขามีชีวิตที่ดี” ชะตาอันสูงส่งอะไรกัน เขาไม่ได้เดินทางไกลมายังหยุนจิงเพื่อก่อกบฏหรอกนะ! หมิงเวยยักไหล่ “เขายังมีชีวิตที่ดีอยู่มีเพียงผลลัพธ์สองอย่างนี้ อาจารย์ต้องเลือกเพียงหนึ่งเจ้าค่ะ” คิ้วของหนิงซิวขมวดแน่นนี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกหงุดหงิด เขาจะเลือกได้อย่างไร หมิงเวยยิ้ม นางดูสงบมาก แต่ในความเป็นจริงนางกำลังเผชิญกับพายุที่รุนแรงที่สุดในหัวใจรู้สึกไม่สงบไม่ต่างจากหนิงซิว ในที่สุดนางก็รู้แล้วว่าเหตุใดชาติก่อนถึงไม่เคยได้ยินชื่อของหยางชูเลย เขาปรากฏตัวในแวดวงผู้มีอำนาจในสังคมแค่ช่วงเวลาอันสั้น ชาติก่อนไม่มีนาง เสวียนเฟยได้ขึ้นเป็นเจ้าสำนักได้อย่างราบรื่น เขาเห็นดาวตี้ชิงและได้บอกเรื่องนี้กับฮ่องเต้ ไม่มีฮ่องเต้องค์ใดอนุญาตให้มีดาวตี้ชิงดวงอื่นอยู่รอบตัวพระองค์หรอก ถือเป็นเรื่องที่อันตราย หากหนิงซิวอยู่ละก็จะต้องพาเขาหนีเป็นแน่ หยางชูถึงได้หายตัวไปเช่นนั้น เมื่อมาถึงยุคสมัยของนางเวลาก็ผ่านไปหลายสิบปีแล้วจึงไม่เหลือร่องรอยอะไร เรื่องนี้ได้ยืนยันแล้วว่าชาติกำเนิดของหยางชูมีข้อสงสัย “หากเขาคือดาวตี้ชิง หมายความว่าเขาไม่ใช่บุตรชายของนายท่านสองตระกูลหยางเป็นแน่” ดวงชะตาของราชวงศ์ฉีเหนือยังคงอยู่ยังไม่ถึงเวลาของการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์ ดาวตี้ชิงสามารถปรากฏได้เฉพาะในราชวงศ์เท่านั้น นั่นหมายความว่าหยางชูต้องเป็นคนแซ่เจียง แต่เขาเป็นสายเลือดของฮ่องเต้งั้นหรือก็ไม่ใช่ บิดาเสียบุตรรับช่วงต่อดาวตี้ชิงทั้งสองรุ่นจะถูกเปิดเผยหลังจากที่พวกมันถูกแทนที่เท่านั้น อย่างเช่นองค์ชายรองที่ได้รับสืบทอดบัลลังก์ต่อ ดาวตี้ชิงของเขาในตอนนี้ยังมองไม่เห็น หนิงซิวสูดหายใจเข้าลึกๆ “ข้ารู้ว่าควรเริ่มตรวจสอบที่ไหน” หมิงเวยพยักหน้า พวกเขาเข้าใจกันโดยไม่จำเป็นต้องพูดออกมา นางเองก็นึกถึงที่นั่นด้วยเช่นกัน เป็นเรื่องบังเอิญที่นายท่านสองตระกูลหยางไปช่วยซือฮว๋ายไท่จื่อก่อนที่เขาจะเสียชีวิต และเป็นเรื่องบังเอิญที่ว่านายท่านสองตระกูลหยางกับหลานชายคนโตของฮ่องเต้แต่งงานกับบุตรีตระกูลเผยเหมือนกันเรื่องนี้มีหลายเรื่องที่น่าสงสัย “ความรู้สึกของเขาถูกต้อง” หมิงเวยพูด “การสิ้นพระชนม์ขององค์หญิงใหญ่เกรงว่าจะมีเงื่อนงำ” “อืม…” หนิงซิวรู้สึกโกรธเขาฉลาดพอที่จะสรุปจากเรื่องหนึ่งอนุมานไปอีกเรื่องหนึ่งได้ รู้ดีว่าเรื่องสำคัญเรื่องนี้ยังมีเรื่องไหนที่ยังอนุมานไม่ได้ หยางชูไม่ใช่บุตรนอกสมรสของฮ่องเต้อย่างแน่นอน องค์หญิงใหญ่พูดเช่นนั้นเห็นได้ชัดว่ามีเจตนาอื่นคำพูดที่นางทิ้งไว้ก่อนตายเป็นความตั้งใจโดยสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าการตายของนางจะไม่ง่ายเพียงนั้น เมื่อคำนวณอายุดูแล้วองค์หญิงใหญ่สิ้นพระชนม์ตอนอายุหกสิบกว่าปี ไม่สามารถบอกได้ว่านางอายุยืนหรืออายุสั้นเป็นเรื่องที่พูดยาก ทั้งสองมองหน้ากันเป็นหนิงซิวที่พูดขึ้นก่อน “ข้าควรตรวจสอบเรื่องการสิ้นพระชนม์ขององค์หญิงด้วยหรือไม่” หมิงเวยกล่าวขอโทษ “ข้าไม่สะดวกในหลายเรื่องจึงลงมือเองไม่ได้ คงต้องรบกวนอาจารย์แล้วเจ้าค่ะ” หนิงซิวตอบ “เป็นเรื่องสมควรแล้วเขาเป็นศิษย์น้องของข้าไม่ใช่คนอื่นคนไกล” หมิงเวยยิ้ม จู่ๆ ก็มีความลับเหมือนกันแต่นางก็รู้สึกว่าเหมือนได้ใกล้ชิดเขามากขึ้น หนิงซิวมองนางพลางครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วพูดออกไปว่า “ข้ารู้สึกว่าเจ้าอยู่กับเขาตลอดเวลาโดยมีแผนการอื่น ก่อนหน้านี้เพราะเหตุนี้ข้าจึงขุ่นเคืองเจ้า เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าข้าไม่ได้คิดไปเอง” หมิงเวยยิ้มอย่างมีความสุขความผิดครั้งก่อนของหนิงซิวนางไม่ใส่ใจอะไร แต่เมื่อครู่เขาเลือกที่จะถามมาตรงๆ เห็นได้ชัดว่ายอมรับมิตรภาพระหว่างพวกเขาทั้งสองคน บุรุษผู้เย็นชาผู้นี้จริงๆ แล้วเป็นคนอบอุ่นไม่น้อย “ข้าไม่มีแผนอะไรจริงๆ เจ้าค่ะ” หมิงเวยพูดอย่างตรงไปตรงมา “หากข้ามีแผนเขาก็ต้องรู้ แต่ในเมื่อรู้ความลับนี้เข้าแล้ว เป้าหมายของข้าต้องเปลี่ยนไปเช่นกัน อาจารย์ข้าต้องขอโทษด้วยที่ไม่สามารถบอกท่านในตอนนี้ได้ โปรดรอให้ข้าหาเหตุผลให้ตนเองก่อนแล้วข้าจะอธิบายเมื่อข้าเข้าใจมัน” ……
เวลาผ่านไปทีละนิด หนิงซิวมองแววตาของหมิงเวยที่ค่อยๆ เปลี่ยนจากความอยากรู้อยากเห็นเป็นความเงียบขรึม
“ทำไมหรือ”
หมิงเวยกุมหน้าผากแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ “ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลย[1] ข้ายังคิดเลยว่ามันต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่แท้จุดเปลี่ยนกลับอยู่ข้างกายนี่เอง”
หนิงซิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ฟังที่เจ้ากล่าวมาดวงชะตาปาจื้อของเขาไม่ถึงกับแย่ใช่หรือไม่”
ไม่คิดเลยว่าหมิงเวยจะตอบกลับว่า “แย่มากเจ้าค่ะ” หมิงเวยชี้ผังชะตาชีวิตบนโต๊ะ “สถานภาพชีวิตหน้าที่การงานไม่มั่นคง อยู่โดดเดี่ยวไปตลอดชีวิต สิ่งที่อาจารย์ของท่านทำนายมาไม่ผิด เขามีดวงสังหารครอบครัวถูกลิขิตให้อยู่คนเดียวเพียงลำพังเจ้าค่ะ”
ผลลัพธ์นี้หนิงซิวก็คำนวณออกมาได้เช่นกันเขาพูดว่า “เจ้าลองจัดผังใหม่ ข้าลองทำดูแล้วแต่ชะตาอันสูงส่งของเขา…”
หมิงเวยส่ายหน้า “ไม่จำเป็นต้องจัดผังดูใหม่ชะตาอันสูงส่งของเขาซ่อนอยู่ตรงนี้เจ้าค่ะ” หมิงเวยหยิบพู่กันขึ้นมาเปลี่ยนจุดสองจุด
หนิงซิวตกใจ “เหตุใดถึงมีชะตากรรมเช่นนี้ได้! ที่แท้ก็มีสองผลลัพธ์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง!”
“ไม่เพียงแค่นั้นนะเจ้าคะ” หมิงเวยเปลี่ยนจุดอีกเล็กน้อย และชะตากรรมนี้ก็กลายเป็นชะตากรรมที่อันตรายอย่างยิ่งซึ่งเป็นจุดจบที่หนิงซิวพูดไว้
หนิงซิวพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
“อันที่จริงรูปแบบชะตากรรมเหล่านี้ล้วนเป็นหนึ่งเดียว” หมิงเวยพูด “เขาควรประสบภัยจนถึงแก่ความตาย แต่ใช้วิธีเปลี่ยนชื่อจึงสามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นหากคำนวณจากดวงชะตาเดิมของเขาก็จะพบกับจุดจบ” นางลบการเปลี่ยนแปลงในภายหลังและกลับไปที่จุดแรก
“ดูตรงนี้อีกทีสิ่งที่เรียกว่าชะตาอันสูงส่งไม่ขัดแย้งกับชะตากรรมของตนเองเลย อาจารย์คงเคยได้ยินประโยคนี้มาก่อน” หมิงเวยชะงักและพูดประโยคหนึ่งออกมา “เมื่อขึ้นเป็นฮ่องเต้ วงศาคณาญาติทั้งหกตัดขาด ผู้ใดปลงพระชนม์ฮ่องเต้ได้จะขึ้นเป็นใหญ่”
หนิงซิวมือสั่นจนเกือบทำตะเกียงคว่ำ “เขา…”
หมิงเวยพยักหน้า “ชะตากรรมเช่นนี้ไปไกลเกินกว่าจะบอกว่าดีหรือไม่ดี เขามีชะตาอันสูงส่งจริง แต่ก็มีชะตากรรมที่โดดเดี่ยวหากเรื่องแรกไม่สามารถเป็นจริงได้ก็ถือว่าทั้งชีวิตนี้จะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวถึงแม้ว่าจะเป็นจริงขึ้นมา แต่ก็ไม่ต่างอะไรจากชะตากรรมที่โดดเดี่ยวอยู่ดี”
หนิงซิวเงียบเป็นเวลานานเขาพูดเสียงแผ่วเบา “ดาวมารนั่น…”
“แน่นอนว่าดาวมารเป็นผู้อื่นมีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่ได้บอกท่าน” หมิงเวยกระซิบ
“ข้า ก่อนหน้านี้ข้าเห็นดาวตี้ชิงเจ้าค่ะ”
ประโยคที่ว่านางเห็นดาวตี้ชิงเห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะปรากฏขึ้นในตอนนี้ แววตาของหนิงซิวเปลี่ยนไป เขาใช้ชีวิตเกือบสามสิบปี และไม่เคยแสดงสีหน้ามากมายอะไรนัก
เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ตั้งใจจะพูดเรื่องนี้กับเขา แต่เป็นเพราะเขาบอกดวงชะตาปาจื้อของหยางชูไปจึงถือว่าเป็นคนรู้เห็นด้วย นางถึงได้เปิดเผยออกมา
ในเมื่อเขารู้ดวงชะตาปาจื้อก็ต้องมีเรื่องที่ไม่สามารถปิดบังได้ ดังนั้นหมิงเวยจึงดึงเขาเข้ามากลายเป็นพันธมิตรเสียเลย หนิงซิวรู้ว่าคำพูดต่อมาเขาไม่ควรฟัง เพราะถ้าหากฟังแล้วจะไม่สามารถถอนตัวออกมาได้
แต่เขาไม่ฟังได้งั้นหรือ เมื่อหลายปีก่อนท่านอาจารย์ได้กำชับว่า…ในฐานะศิษย์พี่เขาไม่ฟังไม่ได้
“จากนั้นล่ะ”
หมิงเวยยิ้ม นางวางกระดาษที่มีอักขระแปดตัวไว้หน้าเชิงเทียน มองดูเปลวไฟค่อยๆ เผากระดาษ
“ในเมื่อท่านมาดูแลเขาจึงมีผลลัพธ์อยู่สองทาง หนึ่งคือพาเขาไปให้พ้นจากเรื่องถูกผิดเหล่านี้ไปบวชเลยได้ยิ่งดี สรุปก็คืออย่าเข้ามาลุยเรื่องนี้อีกตลอดชีวิต ซึ่งช่วยให้ชีวิตเขาปลอดภัยได้ สอง…”
เมื่อเปลวไฟลุกลามหมดจนเหลือเพียงฝุ่นสีดำที่ตกลงมาบนโต๊ะ หมิงเวยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ช่วยให้เขากลายเป็นชะตาอันสูงส่งก็จะสามารถทำลายชะตากรรมอันโดดเดี่ยวนี้ได้”
หนิงซิวปากสั่นเขาพูดเสียงกระซิบ “ข้ารับปากท่านอาจารย์ไว้ว่าจะให้เขามีชีวิตที่ดี” ชะตาอันสูงส่งอะไรกัน เขาไม่ได้เดินทางไกลมายังหยุนจิงเพื่อก่อกบฏหรอกนะ!
หมิงเวยยักไหล่ “เขายังมีชีวิตที่ดีอยู่มีเพียงผลลัพธ์สองอย่างนี้ อาจารย์ต้องเลือกเพียงหนึ่งเจ้าค่ะ”
คิ้วของหนิงซิวขมวดแน่นนี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกหงุดหงิด เขาจะเลือกได้อย่างไร หมิงเวยยิ้ม นางดูสงบมาก แต่ในความเป็นจริงนางกำลังเผชิญกับพายุที่รุนแรงที่สุดในหัวใจรู้สึกไม่สงบไม่ต่างจากหนิงซิว
ในที่สุดนางก็รู้แล้วว่าเหตุใดชาติก่อนถึงไม่เคยได้ยินชื่อของหยางชูเลย
เขาปรากฏตัวในแวดวงผู้มีอำนาจในสังคมแค่ช่วงเวลาอันสั้น ชาติก่อนไม่มีนาง เสวียนเฟยได้ขึ้นเป็นเจ้าสำนักได้อย่างราบรื่น เขาเห็นดาวตี้ชิงและได้บอกเรื่องนี้กับฮ่องเต้
ไม่มีฮ่องเต้องค์ใดอนุญาตให้มีดาวตี้ชิงดวงอื่นอยู่รอบตัวพระองค์หรอก ถือเป็นเรื่องที่อันตราย
หากหนิงซิวอยู่ละก็จะต้องพาเขาหนีเป็นแน่ หยางชูถึงได้หายตัวไปเช่นนั้น
เมื่อมาถึงยุคสมัยของนางเวลาก็ผ่านไปหลายสิบปีแล้วจึงไม่เหลือร่องรอยอะไร เรื่องนี้ได้ยืนยันแล้วว่าชาติกำเนิดของหยางชูมีข้อสงสัย
“หากเขาคือดาวตี้ชิง หมายความว่าเขาไม่ใช่บุตรชายของนายท่านสองตระกูลหยางเป็นแน่”
ดวงชะตาของราชวงศ์ฉีเหนือยังคงอยู่ยังไม่ถึงเวลาของการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์ ดาวตี้ชิงสามารถปรากฏได้เฉพาะในราชวงศ์เท่านั้น
นั่นหมายความว่าหยางชูต้องเป็นคนแซ่เจียง แต่เขาเป็นสายเลือดของฮ่องเต้งั้นหรือก็ไม่ใช่ บิดาเสียบุตรรับช่วงต่อดาวตี้ชิงทั้งสองรุ่นจะถูกเปิดเผยหลังจากที่พวกมันถูกแทนที่เท่านั้น
อย่างเช่นองค์ชายรองที่ได้รับสืบทอดบัลลังก์ต่อ ดาวตี้ชิงของเขาในตอนนี้ยังมองไม่เห็น
หนิงซิวสูดหายใจเข้าลึกๆ “ข้ารู้ว่าควรเริ่มตรวจสอบที่ไหน”
หมิงเวยพยักหน้า พวกเขาเข้าใจกันโดยไม่จำเป็นต้องพูดออกมา นางเองก็นึกถึงที่นั่นด้วยเช่นกัน
เป็นเรื่องบังเอิญที่นายท่านสองตระกูลหยางไปช่วยซือฮว๋ายไท่จื่อก่อนที่เขาจะเสียชีวิต และเป็นเรื่องบังเอิญที่ว่านายท่านสองตระกูลหยางกับหลานชายคนโตของฮ่องเต้แต่งงานกับบุตรีตระกูลเผยเหมือนกันเรื่องนี้มีหลายเรื่องที่น่าสงสัย
“ความรู้สึกของเขาถูกต้อง” หมิงเวยพูด “การสิ้นพระชนม์ขององค์หญิงใหญ่เกรงว่าจะมีเงื่อนงำ”
“อืม…” หนิงซิวรู้สึกโกรธเขาฉลาดพอที่จะสรุปจากเรื่องหนึ่งอนุมานไปอีกเรื่องหนึ่งได้ รู้ดีว่าเรื่องสำคัญเรื่องนี้ยังมีเรื่องไหนที่ยังอนุมานไม่ได้ หยางชูไม่ใช่บุตรนอกสมรสของฮ่องเต้อย่างแน่นอน องค์หญิงใหญ่พูดเช่นนั้นเห็นได้ชัดว่ามีเจตนาอื่นคำพูดที่นางทิ้งไว้ก่อนตายเป็นความตั้งใจโดยสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าการตายของนางจะไม่ง่ายเพียงนั้น
เมื่อคำนวณอายุดูแล้วองค์หญิงใหญ่สิ้นพระชนม์ตอนอายุหกสิบกว่าปี ไม่สามารถบอกได้ว่านางอายุยืนหรืออายุสั้นเป็นเรื่องที่พูดยาก
ทั้งสองมองหน้ากันเป็นหนิงซิวที่พูดขึ้นก่อน “ข้าควรตรวจสอบเรื่องการสิ้นพระชนม์ขององค์หญิงด้วยหรือไม่”
หมิงเวยกล่าวขอโทษ “ข้าไม่สะดวกในหลายเรื่องจึงลงมือเองไม่ได้ คงต้องรบกวนอาจารย์แล้วเจ้าค่ะ”
หนิงซิวตอบ “เป็นเรื่องสมควรแล้วเขาเป็นศิษย์น้องของข้าไม่ใช่คนอื่นคนไกล”
หมิงเวยยิ้ม จู่ๆ ก็มีความลับเหมือนกันแต่นางก็รู้สึกว่าเหมือนได้ใกล้ชิดเขามากขึ้น หนิงซิวมองนางพลางครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วพูดออกไปว่า
“ข้ารู้สึกว่าเจ้าอยู่กับเขาตลอดเวลาโดยมีแผนการอื่น ก่อนหน้านี้เพราะเหตุนี้ข้าจึงขุ่นเคืองเจ้า เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าข้าไม่ได้คิดไปเอง”
หมิงเวยยิ้มอย่างมีความสุขความผิดครั้งก่อนของหนิงซิวนางไม่ใส่ใจอะไร แต่เมื่อครู่เขาเลือกที่จะถามมาตรงๆ เห็นได้ชัดว่ายอมรับมิตรภาพระหว่างพวกเขาทั้งสองคน บุรุษผู้เย็นชาผู้นี้จริงๆ แล้วเป็นคนอบอุ่นไม่น้อย
“ข้าไม่มีแผนอะไรจริงๆ เจ้าค่ะ” หมิงเวยพูดอย่างตรงไปตรงมา “หากข้ามีแผนเขาก็ต้องรู้ แต่ในเมื่อรู้ความลับนี้เข้าแล้ว เป้าหมายของข้าต้องเปลี่ยนไปเช่นกัน อาจารย์ข้าต้องขอโทษด้วยที่ไม่สามารถบอกท่านในตอนนี้ได้ โปรดรอให้ข้าหาเหตุผลให้ตนเองก่อนแล้วข้าจะอธิบายเมื่อข้าเข้าใจมัน”
……