“คุณหนูเจ้าคะ จัดเตียงเสร็จแล้วเจ้าค่ะ จะให้บ่าวอยู่รับใช้ตอนคุณหนูหลับหรือไม่เจ้าคะ” ตัวฝูถาม
หมิงเวยตอบนางไปว่า “เจ้าไปนอนเถอะ ข้าจัดการเองได้” ตัวฝูพยักหน้ารับแล้วถอยหลังไป
ห้องที่ดูว่างเปล่านี้ดูเหมือนจะมีแค่นางคนเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้ว…
หมิงเวยมองไปยังคุณหนูเจ็ดที่อยู่ตรงมุมเตียง
“ข้าขอโทษที่ขโมยท่านแม่ของท่าน” นางพูด ดวงวิญญาณที่ดูไร้ชีวิตชีวาพอได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้น ท่าทางเหมือนจะไม่เข้าใจความหมายของนาง
หมิงเวยชะงักแล้วหัวเราะเยาะตนเอง “ข้ากำลังขอโทษเรื่องอะไรอยู่นะ ข้าเชื่อว่านี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว เหตุใดต้องมาแสร้งทำเป็นซื่อด้วย แสร้งทำตัวเป็นคนดีมาหลายสิบปีจนคิดว่าตนเองเป็นคนดีไปแล้วจริงๆ สินะ”
นางหันกลับไปและเปิดหน้าต่าง พระจันทร์ทรงกลดสาดส่องแสงอันอบอุ่นเข้ามา
“ยังไม่ออกมาอีกหรือ” นางพูดอย่างเย็นชา แต่ไม่มีใครตอบรับ
หมิงเวยหัวเราะเสียงเย็น “อารมณ์ของข้าไม่ได้ดีขนาดนั้น หากเจ้าไม่ปรากฏตัวออกมา จนทำให้ข้าต้องดึงเจ้าออกมาเองละก็ จุดจบของเจ้าอาจไม่ได้ดีเท่าใดนัก”
หลังจากนั้นไม่นานก็มีควันบางๆ ลอยออกมาจากแขนเสื้อของนาง กลายเป็นสายเส้นเล็กๆ ท่ามกลางแสงจันทร์ มีหงอนแหงนชี้ขึ้น เห็นได้ชัดว่าเป็นรูปร่างของงู
“เจ้า เจ้าโหดร้ายมาก…” เสียงอันแผ่วเบาราวกับเด็กบ่นด้วยความคับแค้นใจ “เห็นได้ชัดว่าเจ้าฆ่าข้า แล้วยังดุข้า…”
หมิงเวยสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ และมองมันอย่างเย็นชา “เจ้าฆ่าคน ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต ไม่เคยได้ยินประโยคนี้มาก่อนหรือ”
“ข้า ข้าไม่ได้ตั้งใจ…” เสียงเล็กๆ นั้นดูเสียใจยิ่งขึ้น “นางวางน้ำแกงไว้ข้างใต้ ไอร้อนทำให้ข้าทนไม่ไหว…”
“ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร แต่คนก็ตายเพราะเจ้า การฆ่าเพราะอาหารคือการเวียนว่ายตายเกิด อย่างไรก็ถือเป็นกรรมจากการฆ่า เขาตายแต่เจ้ายังอยู่ หลักการของฟ้าดินไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้”
“นั่นๆ…”
“หากเจ้าไม่ตาย บาปกรรมนี้ก็จะติดตัวเจ้า แม้จิตวิญญาณจะเกิดแต่ก็มิอาจหนีพ้นสวรรค์ได้ เจ้าลองนึกภาพดูสิ หากวันหนึ่งเจ้ามีบารมีเต็มเปี่ยม แต่เพราะบาปกรรมที่เจ้าได้ก่อไว้ทำให้ไม่สามารถหลุดพ้นจากร่างปีศาจนี้ได้ ถึงเวลานั้นหากต้องการชดใช้ก็คงไม่ง่ายขนาดนั้นแล้ว”
เสียงที่แผ่วเบาเต็มไปด้วยความสงสัย “ทำไมถึงไม่ง่ายเล่า เมื่อถึงเวลานั้นพลังของข้าก็จะสูงส่ง ไม่ใช่ว่าชดใช้ได้ดีกว่าหรือ”
หมิงเวยหัวเราะ “เจ้ายังจำศิษย์พี่ของเจ้าได้หรือไม่ นางก็เหมือนกันกับเจ้า เป็นงูขาว ฝึกตนอยู่ที่เขาชิงเฉิงเป็นเวลาหนึ่งพันเจ็ดร้อยปี…”
“ข้าจำได้!” มันพูดอย่างภาคภูมิใจ “นางเป็นแบบอย่างของพวกเราชาวงูขาว!”
หมิงเวยพูดต่อ “เนื่องจากผลในช่วงปีแรก นางมีบารมีเต็มเปี่ยม แต่ต้องเข้าไปอยู่โลกโลกีย์เพื่อตอบแทนบุญคุณ ผลลัพธ์เป็นอย่างไรเจ้าเองก็รู้ นางเกือบไม่มีทางที่จะฟื้นคืนได้ ”
“อืม…”
หมิงเวยพูดโน้มน้าว “เจ้าลองคิดดู ระหว่างตอนนี้คืนชีวิตไปแล้วทุกอย่างดูเรียบง่ายและชัดเจน หรือเสี่ยงในตอนที่อีกเพียงนิดเดียวก็จะสำเร็จแล้วค่อยตอบแทน อันไหนดีกว่ากัน”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งงูสีขาวตัวน้อยก็พูดว่า “พูดเช่นนี้ เจ้าจะช่วยข้าหรือ”
“จะพูดอย่างนั้นก็ได้”
“แต่” เสียงของมันเต็มไปด้วยความสับสน “ตอนนี้ข้าไม่มีกายเนื้อแล้ว แม้จะชดใช้กรรมไปแล้ว แต่ต้องกลับชาติมาเกิดใหม่ มันไม่เปล่าประโยชน์ไปหน่อยหรือ ไม่รู้เลยว่าชาติหน้าจะยังสามารถฝึกจิตวิญญาณได้อยู่หรือไม่…”
“ใครบอกว่าเจ้าต้องมีกายเนื้อเพื่อฝึกฝนต่อ” หมิงเวยสั่งสอนต่อ “ความแตกต่างระหว่างปีศาจกับวิญญาณอยู่ที่ว่ามีกายเนื้อหรือไม่ วิญญาณอาศัยอยู่ในสิ่งของ ปีศาจอาศัยอยู่ในกายเนื้อ ไม่มีกายเนื้อ เจ้าก็เปรียบเหมือนกับวิญญาณ”
“มัน…” งูขาวคิดอยู่นานแต่ที่นางพูดก็ดูสมเหตุสมผล “เจ้าหมายถึงต่อให้ข้าเป็นวิญญาณข้าก็สามารถฝึกตนได้โดยไม่จำเป็นต้องเกิดใหม่ใช่หรือไม่”
หมิงเวยยิ้ม รอยยิ้มของนางคาดเดาไม่ได้ “เจ้าพูดเองว่า เจ้าไม่รู้ว่าจะสามารถฝึกจิตวิญญาณในชาติหน้าได้หรือไม่ หากเจ้าเกิดเป็นแมลงเม่า อีกไม่นานเจ้าก็จะตาย ซึ่งแม้แต่โอกาสอันน้อยนิดก็ไม่มี การกลับชาติมาเกิดมีความเสี่ยงจะกลับชาติมาเกิดจึงต้องระมัดระวัง”
งูขาวรู้สึกลำบากใจมาก “แต่ว่าการที่วิญญาณจะฝึกตนนั้นทำได้ช้ามาก ในเวลาหนึ่งร้อยปี พวกมันทำได้แค่ฝึกจิตในระดับอ่อนได้เท่านั้น”
หมิงเวยตอบว่า “วิญญาณที่โดดเดี่ยว การฝึกตนแน่นอนว่าต้องช้า แต่มีอีกวิธีหนึ่งที่สามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกตนของวิญญาณได้เร็วกว่าปีศาจด้วยซ้ำ”
“วิธีอันใดรึ”
“สาเหตุที่วิญญาณฝึกตนช้าก็คือพวกเขาไม่มีกายเนื้อ ไม่สามารถรวบรวมพลังได้ หากมีคนแบ่งปันพลังให้ปัญหานี้ก็จะหมดไป”
“อา!” งูขาวตัวน้อยก็นึกขึ้นได้ “เจ้าหมายถึงทำสัญญากับมนุษย์ใช่หรือไม่ เหมือนข้าจะเคยได้ยินมา บนโลกนี้มีมนุษย์ประเภทที่ถูกเรียกว่าเสวียนชื่อ พวกเขาฝึกฝนเช่นเดียวกับวิญญาณและปีศาจใช้พลังเพื่อปกป้องความเรียบร้อยของสังคมมนุษย์ หากมีภูติผีปีศาจออกมารบกวนละก็ พวกเขาจะออกมาปราบปราม เจ้า…เจ้าเป็นเสวียนชื่อใช่หรือไม่”
น้ำเสียงที่ดูขี้อายแต่ก็มีความกลัวเกรงปะปนมาด้วย “พูดตามตรง” หมิงเวยชะงัก “ข้าเป็นปรมาจารย์แห่งชีวิต”
“ปรมาจารย์แห่งชีวิตหมายถึงผู้ที่พยากรณ์งั้นหรือ”
“นั่นเรียกว่าผู้ทำนายดวงชะตา” หมิงเวยอธิบายให้ฟัง “ปรมาจารย์แห่งชีวิตเป็นคำเรียกชื่อเพื่อเป็นการให้เกียรติมีเพียงผู้เดียวในใต้หล้าเท่านั้นที่สามารถใช้ได้ จึงมีคำกล่าวที่ว่า เสวียนชื่ออันดับหนึ่งในใต้หล้า ถูกขนานนามว่าปรมาจารย์แห่งชีวิต”
งูขาวตัวน้อยครุ่นคิดอย่างหนักอยู่พักหนึ่ง “เจ้าจะบอกว่า ปรมาจารย์แห่งชีวิตคือเสวียนชื่อที่เก่งกาจที่สุดใช่หรือไม่”
“ใช่…” หมิงเวยยิ้มอย่างใจดี
“เจ้าเก่งกาจขนาดนั้นเลยรึ…”
หมิงเวยไม่ตอบ แต่ถามเพียงว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องการทำสัญญากับข้าหรือไม่ ตอนนี้ข้าเกิดปัญหาเล็กน้อย วิญญาณที่เดิมทีต้องทำสัญญากับข้าไม่อยู่แล้ว ถึงแม้ร่างกายข้าจะอ่อนแอไปบ้าง แต่ก็ถือว่าใช้ได้”
“เป็นข้าได้งั้นหรือ” งูขาวตัวน้อยรู้สึกยินดี งูขาวเคยได้ยินว่า มีเพียงปีศาจและวิญญาณที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะทำสัญญากับมนุษย์ได้
“หากร่างเดิมของข้ายังอยู่ แน่นอนว่าไม่ได้ แต่ตอนนี้ข้ากำลังตกที่นั่งลำบาก ไม่สะดวกอยู่บ้าง แต่ก็ลดความต้องการลงไปได้”
“อืมๆ” งูขาวตัวน้อยรู้สึกเหมือนตนเองได้รับโชคใหญ่ หลังจากสูญเสียกายเนื้อ ก็มีเสวียนชื่อเต็มใจที่จะทำสัญญากับตน ตนเป็นเพียงงูตัวเล็กๆ ที่ฝึกตนมาได้ไม่นาน แค่ผู้มีวิชาคนเดียวก็สามารถจัดการตนได้แล้ว
“แล้วต้องทำอย่างไร” เสียงเล็กๆ นั้นเปี่ยมไปด้วยความปรารถนา หมิงเวยหยิบกรรไกรขึ้นมาจากตะกร้าเข็มและด้ายแล้วกรีดเบาๆ บนนิ้วของตน จากนั้นบีบเพื่อให้หยดเลือดไหลออกมา
“ดื่มเลือดและพลังลมปราณของข้า อยู่ร่วมกันกับข้า เชื่อฟังคำสั่งข้า ตอบแทนที่ให้ครอบครองร่างกาย”
เงาของงูสีขาวตัวเล็กกลายเป็นควันอีกครั้งแล้วไปรวมตัวกันที่ปลายนิ้วของนาง เลือดค่อยๆ ถูกดูดจนแห้งอย่างช้าๆ ควันบางเบาในตอนแรกค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปร่าง รอจนมันเปลี่ยนรูปร่างใหม่ก็มองรูปร่างเดิมออกแล้ว
“นายท่าน” งูขาวก้มหัวลง “ได้โปรดออกคำสั่ง”
“ตอนนี้เจ้ายังอ่อนแอเกินไป งั้นพวกเรามาดูบ้านกันก่อนดีกว่า” หมิงเวยสอดมือกลับเข้าไปในแขนเสื้ออีกครั้ง และมองออกไปนอกหน้าต่าง “แสงตะวันและจันทรา อย่ามองพลาดเด็ดขาด เจ้าจงปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์เสียก่อน”
“เจ้าค่ะ”
“เจ้าเห็นต้นไม้ตรงริมทะเลสาบหรือไม่ที่ตรงนั้นมีวิญญาณร้ายอาศัยอยู่ อย่าไปยุ่งกับมันเข้าล่ะ ส่วนที่อื่นเข้าไปได้ตามที่เจ้าต้องการเลย”
“เจ้าค่ะ”
“ข้าจะพักผ่อนแล้ว เจ้าไปเถอะ”
“น้อมรับคำสั่ง” มันกลายเป็นควันอีกครั้งแล้วลอยออกไปนอกหน้าต่าง จากนั้นก็รีบกลายร่างกลับเป็นงูและหายเข้าไปในพงหญ้า
นิสัยที่แท้จริงช่างเปลี่ยนยากจริงๆ หมิงเวยยิ้มและพูดกับตัวเองว่า “งูบ้านนอกนี่ขี้โกงจริงๆ”
วิญญาณที่เต็มใจทำสัญญาพบบ่อยขนาดนั้นเลยหรือ หากเป็นเสวียนชื่อ ไม่ใช่เสวียนชื่อทุกคนที่จะมี
พอคิดถึงเรื่องนี้แล้วใต้เท้าเจี่ยงท่านนั้นตกลงเป็นอย่างไรกันแน่ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่เสวียนชื่อแล้วเหตุใดถึงมีจิตวิญญาณติดตามเขากัน
“มีความลับมากมายบนโลกใบนี้…”
หมิงเวยดึงปิ่นปักผมสีทองที่ศีรษะออก บิดปิ่นในส่วนหัวที่มีลวดลายที่เป็นเส้นออกเผยให้เห็นโครงสร้างด้านใน
แต่นางไม่ได้ทำอะไรกับมัน นำส่วนหัวของปิ่นกดกลับเข้าที่เดิม ปิดหน้าต่าง และเตรียมตัวพักผ่อน
…………………………