เมื่อจี้เสียวอู่จากไปตระกูลจี้เงียบสงบขึ้นมาก หมิงเวยตื่นเช้าไปเรียนทุกวัน ตอนเย็นกลับจวนมันเงียบสงบจนรู้สึกน่าเบื่อเล็กน้อย หยางชูยังไม่มีโอกาสไปหาข้อมูล และยังไม่พบเบาะแสใดๆ เกี่ยวกับตราประทับส่วนตัว
เจี่ยงเหวินเฟิงยุ่งกับหน้าที่ราชการ และไม่มีเวลาไปที่สถานศึกษาซานไถ ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงไม่รู้แม้แต่น้อย แต่ละวันนางจึงใช้ชีวิตน่าเบื่อขึ้นเรื่อยๆ
วันนี้เข้าสถานศึกษานางทักทายสหายคนอื่นอย่างเกียจคร้าน และนั่งลงในที่ของตนเอง เว่ยเสี่ยวอันและคนอื่นๆ รวมตัวกันด้วยความตื่นเต้น
หลังจากเหตุการณ์การลักพาตัวพี่น้องตระกูลเหวินก็กลับมาเข้าเรียนอีกครั้งแต่ก็ไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจเหมือนแต่ก่อนแล้ว ส่วนเพื่อนร่วมชั้นอีกกลุ่มเพราะเว่ยเสี่ยวอันมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนางไม่น้อย แต่หากมีเรื่องอะไรก็จะร้องเรียกหานาง
“นี่! เจ้าได้ยินมาหรือไม่” เปิดด้วยประโยคนี้หมายความว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น
“อะไรหรือ” หมิงเวยไม่สนใจมากนักสิ่งที่นางคิดอยู่เต็มหัวในตอนนี้คือตัวตนของบุคคลลึกลับคนนั้น
“ชิวเลี่ย[1]ไง! ฝ่าบาทมีราชโองการเมื่อวานนี้ว่าจะจัดชิวเลี่ยในปีนี้!”
หมิงเวยชมวดคิ้ว “แล้วเกี่ยวอะไรกับเรางั้นหรือ”
ชิวเลี่ยเป็นประเพณีของราชวงศ์นี้ฮ่องเต้ไท่จู่ได้ครองแผ่นดิน แม้จะก่อตั้งแคว้นขึ้นแต่แคว้นฉู่ใต้ก็ยังไม่ล่มสลาย พวกหูเหรินทางเหนือก็ยังไม่แน่นอน ใต้หล้ายังไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวเพื่อเป็นการรักษาจิตใจของการต่อสู้มักจะมีการเตรียมพร้อมสำหรับการทำสงครามอยู่ตลอดจึงมีการจัดเทศการชิวเลี่ยขึ้นเกือบทุกปี
จนกระทั่งปีที่ยี่สิบเจ็ดในรัชศกหยวนคังเกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมขึ้น เทศกาลชิวเลี่ยจึงถูกยกเลิกเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นเมื่อฮ่องเต้องค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์ เทศกาลนี้ถูกจัดขึ้นอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อการเงินเริ่มตึงตัว อีกทั้งตนเองไม่ถนัดเรื่องการทหารจึงมีการเลื่อนออกไปทุกปี และค่อยๆ ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก
หากนับเวลาแล้วเทศกาลชิวเลี่ยไม่ได้จัดมาเป็นเวลาสิบปีเห็นจะได้
แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับตระกูลขุนนางทหารไม่แน่ว่าอาจสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อที่จะได้รับการชื่นชมและความก้าวหน้าได้
แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกนางล่ะ แม้จะตามบิดาพี่ชายไปพื้นที่ล่าสัตว์ แต่มันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเฝ้าดูด้วยความตื่นเต้น
“ก็จริง บ้านเจ้าเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นคงไม่ใส่ใจในเรื่องนี้” ฟางจิ่นผิงแสดงท่าทีตื่นเต้นทันที “แต่ปีนี้ต่างออกไป! ได้ยินว่ากุ้ยเฟยกับฮุ่ยเฟยจะเข้าร่วมด้วย แล้วยังมีองค์ชายหลายพระองค์…”
หมิงเวยได้ยินเรื่องนี้แล้วทำไมถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกัน
“เรื่องนี้มีความลับอะไรแฝงอยู่หรือ กุ้ยเฟยกับฮุ่ยเฟยเสด็จเข้าร่วมด้วยแล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเราแล้วยังองค์ชายอีก…”
เว่ยเสี่ยวอันตบหน้าผากตนเอง “ไอหยา ทำไมเจ้าไม่เปิดกว้างเลยนะ! ไท่จื่อกำลังคัดเลือกพระชายาไงล่ะ…”
“อืม…แล้วยังมีองค์ชายสามพระองค์ถึงวัยอันควรแล้ว!”
“….” ในที่สุดหมิงเวยก็เข้าใจ “พวกเจ้าจะบอกว่าจะใช้เทศกาลชิวเลี่ยในครั้งนี้คัดเลือกพระชายามันไม่แปลกไปหน่อยหรือ…”
ผู้ที่ถูกเลือกจะได้เป็นพระชายาขององค์ชายเหตุใดถึงใช้เทศกาลชิวเลี่ยด้วย หรือว่าพระชายาจะต้องยิงหน้าไม้ ฝึกม้าดุให้เชื่องได้งั้นหรือ
ฟางจิ่นผิงผลักเว่ยเสี่ยวอันออกไป “ข้าพูดเอง! เรื่องเป็นเช่นนี้จะถึงวันพระราชสมภพของฮุ่ยเฟยแล้ว ฝ่าบาทจึงมีพระประสงค์จะใช้โอกาสนี้เชิญคุณหนูผู้อยู่ในการคัดเลือกพระชายาเข้าวังเพื่อทำการคัดเลือกอย่างละเอียด แต่เมื่อถามไปฮุ่ยเฟยกลับตรัสว่านางอยู่แต่ในที่ประทับ ไม่เคยออกจากเมืองหลวงเลย ปีนี้ต้องจัดเทศกาลชิวเลี่ยด้วยนางจึงอยากออกไปชมยังตรัสอีกว่าจัดงานวันเกิดมีค่าใช้จ่ายมากเกินไป ปีนี้ใช้เงินในการจัดงานเทศกาลไปไม่น้อยจะเสียเงินเพิ่มไปทำไมอีกจึงเสนอให้รวมสองงานเข้าด้วยกัน…”
“เจ้ารู้ดีจัง”
ฟางจิ่นผิงรู้สึกภูมิใจ “แน่นอน เรื่องข่าวข้ารู้ดีอยู่แล้ว!”
หมิงเวยอดหัวเราะไม่ได้ ครอบครัวของนางมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับครอบครัวชนชั้นสูงหลายคนแน่นอนว่าจะรู้ข่าวเป็นอย่างดี
“ข้าคิดว่าความคิดของฮุ่ยเฟยดีมากเลย ผู้ใดบอกว่าล่าสัตว์เป็นเรื่องของบุรุษ พวกเราก็ทำได้!” เว่ยเสี่ยวอันตบอกตนเอง “อย่างพวกเราขี่ม้ายิงธนูทุกวัน ห่างจากคนไร้ความสามารถเยอะ”
หมิงเวยเห็นด้วยอย่างยิ่ง นักเรียนหญิงของสถานศึกษาหมิงเฉิงมีทักษะขี่ม้ายิงธนู แม้ว่าทักษะจะแย่เพียงใดก็ยังขี่ม้าเดินเล่นได้
“พูดเช่นนี้ปีนี้มีคนไปเยอะหรือไม่”
“จริงสิ! ขุนนางระดับห้าขึ้นไปสามารถเข้าร่วมได้ ลุงของเจ้าเป็นขุนนางระดับสี่ ใช่หรือไม่” หมิงเวยพยักหน้า
ฟางจิ่นผิงยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปได้ทุกคน!”
แต่หมิงเวยไม่ได้มองในแง่ดีถึงเพียงนั้น “ขุนนางระดับห้าขึ้นไปใช่ว่าจะสามารถออกจากเมืองหลวงได้ทุกคน เทศกาลชิวเลี่ยใช้เวลาอย่างน้อยสองสามวัน หากไปทุกคนแล้วผู้ใดจะดูแลบ้านเมืองเล่า จะต้องมีการจัดเวรทำงานเป็นแน่”
ท่านลุงของนางเป็นคนซื่อสัตย์แน่นอนว่าต้องอยู่ทำงานอย่างแน่นอน…
สิ่งที่นางคิดไว้ก็ถูกเสียด้วยเมื่อนางเลิกเรียน และเดินทางกลับจวนก็ได้ยินนายท่านจี้และจี้หลิงโต้เถียงกันเรื่องนี้อยู่
จี้หลิงมีสีหน้าโกรธเคือง “ท่านพ่อจะซื่อตรงอะไรถึงเพียงนั้น คนอื่นให้ท่านสลับเวรท่านก็สลับเวรงั้นหรือ เห็นได้ชัดว่าท่านมีโอกาสเข้าเฝ้าฝ่าบาท แต่พวกเขาอิจฉาริษยาไม่ยอมให้ท่านไป”
นายท่านจี้รู้สึกหมดหนทาง “จี้จิ่ว[2]พูดออกมาด้วยตนเองพ่อจะทำอย่างไรได้ อีกอย่างพ่อเองไม่สามารถออกแรงอะไรได้อยู่แล้วต่อให้ไปได้แล้วจะทำอะไรได้เล่า”
พูดจบเขาก็ถูกภรรยาตำหนิจี้ฮูหยินเท้าสะเอวแล้วพูดว่า “ท่านไม่สามารถแต่บุตรชายท่านสามารถ! คนออกโรงไม่ใช่ท่าน ศาสตร์ทั้งหก[3]ของบุตรชายท่านมีด้านไหนมิชำนาญบ้าง ทักษะขี่ม้ายิงธนูไม่ต้องกล่าวถึงท่านสามารถไปได้ก็พาเขาไปได้ด้วย ให้ไปสร้างชื่อต่อหน้าพระพักตร์ไม่ดีกว่าหรือ ปีหน้าเขาต้องสอบรับราชการให้เขาได้สร้างความประทับใจไม่แน่ว่าอันดับสอบเข้ารับราชการในวังอาจสูงขึ้นก็เป็นได้…”
สะใภ้ใหญ่แอบยกนิ้วให้แม่สามีตน
จริง! พ่อตาซื่อตรงมากเกินไป! เรื่องอื่นไม่เถียงได้ แต่เรื่องนี้จะปล่อยวางได้อย่างไร เมื่อถูกภรรยาและบุตรประณาม นายท่านจี้ก็ทนไม่ไหวอารมณ์เขาถึงขีดสุดจนไม่มีความยำเกรงหรือหวาดกลัวอะไรทั้งนั้น
“แต่อย่างไรข้าก็ตอบรับสลับเวรไปแล้วพวกเจ้าจะทำอะไรได้!”
จี้ฮูหยินโกรธมากจนอยากจะเอาหม้อทุบหัวเขา “ท่านช่างขี้ขลาด ไม่กล้าโผล่หัวต่อหน้าพระพักตร์เอาแต่รอสถานการณ์เอื้ออำนวย! ตาเฒ่าจี้ข้าจะบอกอะไรท่าน หากท่านไม่ทำตัวให้มีอนาคตข้าจะไม่ขอร้องเลย ข้ายายเฒ่าคนนี้ยอมรับแต่งงานกับไก่! แต่ท่านไม่สนใจอนาคตของบุตรชายไม่ได้ หากไม่ใช่ตอนนี้ต่อไปท่านก็ไม่สามารถทำเรื่องนี้ได้หรอก!” นายท่านจี้กุมหัวไม่กล้าพูดอะไรอีก
หมิงเวยลูบคางไม่คิดเข้าไปร่วมสนุกด้วย ท่านป้าพูดเช่นนี้ก็มีเหตุผลบางทีนางคงต้องคิดหาวิธี ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นตัวฝูก็เดินเข้ามาและส่งนกหวีดให้นางเงียบๆ “คุณหนูเจ้าคะ”
หมิงเวยชะงักไปชั่วครู่แล้วนางก็ยิ้มออกมา หากง่วงนอนทางนั้นก็ส่งหมอนมาจริงๆ
นางกระซิบถาม “คนล่ะ” ตัวฝูชี้ไปที่เรือนถัดไป
หมิงเวยมองตามแล้วเดินไปห้องเอ่อร์ฝาง[4]ของเรือนข้างๆ
“เหตุใดถึงมาในเวลากลางวันเช่นนี้เล่า” นางถามหยางชูที่อยู่ในห้องเอ่อร์ฝาง
หยางชูรินชาเข้าปากราวกับว่ากำลังดื่มสุราเมื่อได้ยินนางถามเขาจึงหยุดแล้วตอบว่า “มีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือจากท่าน”
หมิงเวยเลิกคิ้ว “เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
หยางชูเบะปากท่าทางของเขาเหมือนคนปวดฟัน “ท่านรู้เรื่องใช้เทศกาลชิวเลี่ยในการเลือกพระชายาหรือยัง” หมิงเวยพยักหน้า
“กุ้ยเฟยเองก็จัดการเรื่องของข้าเช่นกัน”
หมิงเวยพยักหน้าต่อไป “อ้อ ยินดีด้วยเจ้าค่ะ”
หยางชูดีดตัวขึ้น “ท่านนี่มีหัวใจบ้างหรือไม่!”
หมิงเวยกะพริบตา “ท่านจะพูดอะไรหรือเจ้าคะ”
“ข้า…” หยางชูโกรธมากไม่รู้ว่าจะระบายความโกรธอย่างไร เขาจึงทำได้เพียงรินชาให้ตัวเองเท่านั้น “ลืมไปซะเถอะ”
…………..
[1] ชิวเลี่ย : การล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงของเหล่าราชวงศ์
[2] จี้จิ่ว : หัวหน้าหรือผู้อาวุโส
[3] ศาสตร์ทั้งหก : ความรู้สำหรับมหาบุรุษ ได้แก่ วิชามารยาทพิธี วิชาคีตดนตรี วิชายิงธนู วิชาขับรถม้า วิชาอักขระวิธี การเขียนอักษรจีนและวิชาคณิตศาสตร์คำนวณ
[4] ห้องเอ่อร์ฝาง : ห้องขนาดเล็กที่สร้างขนาบข้างห้องหลักซ้ายขวา