หมิงเวยพูดช้าๆ “ในเมื่อท่านบอกว่าช่างมัน ถ้างั้นข้ากลับล่ะ!”
“เดี๋ยวก่อน!”
หมิงเวยหมุนตัวกลับมา นางเห็นหยางชูคอตกก็อดหัวเราะไม่ได้ “มีอะไรก็พูดมาเถอะ อย่าทำหน้าเศร้าเลยเจ้าค่ะ”
“….” ในใจเขาทั้งโกรธทั้งวิตกกังวล แต่เมื่อนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมันก็ละลายไปอย่างรวดเร็ว หยางชูปรับอารมณ์ให้เย็นลงเขานั่งลงจากนั้นก็พูดว่า
“ท่านถอนหมั้นเถอะ”
เกี่ยวกับการแต่งงานของนางพวกเขายังพูดถึงเรื่องนี้หลายครั้งแต่ก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง ความสัมพันธ์ระหว่างหมิงเวยกับจี้เสียวอู่เป็นอย่างไร หยางชูรู้เป็นอย่างดี
สัญญาหมั้นหมายนี้เป็นเพียงแค่ในนามเท่านั้น ถึงจะเป็นแค่ในนามแต่ก็เป็นสัญญาหมั้นหมาย เมื่อถึงเวลาหนึ่งมันจะกลายเป็นสิ่งขวางหูขวางตา หมิงเวยนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเขาและรินชาให้ตนเอง
นางดื่มช้าๆ แต่หยางชูกลับรอไม่ไหว “ตกลงว่าอย่างไร ท่านพูดอะไรสักอย่างสิ!”
หมิงเวยเงยหน้าขึ้นเห็นใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวลไม่รู้ทำไมตนถึงได้หลุดหัวเราะออกมา
“ท่านหัวเราะอะไร ตอบรับคำขอข้าใช่หรือไม่” หยางชูอดไม่ได้ที่จะคว้าตัวนางมาเขย่า
หมิงเวยหุบยิ้มแล้วถามเขา “ท่านถามด้วยเหตุผลอะไร ข้าถอนหมั้นแล้วอย่างไร ไม่ถอนหมั้นแล้วอย่างไร ท่านอยากให้ข้าตอบท่านได้อธิบายอะไรข้าหรือยัง”
นั่นก็…
“ท่านไม่พูดอะไรเลยแล้วจะให้ข้าตอบอะไรเล่าเจ้าคะ”
หมิงเวยยิ้มบางๆ “หนุ่มน้อยเป็นมนุษย์ต้องจริงใจมีอะไรให้พูดออกมาเลย ท่านเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรเจ้าค่ะ”
หยางชูหน้าแดง “หนุ่มน้อยอะไรกันท่านแก่กว่าข้างั้นหรือ”
“ไม่ใช่ แต่ข้าเคย…”
“อย่าพูดว่าเคยได้หรือไม่ ท่านมาจากอนาคต หรือพูดได้ว่าไม่แน่ข้าอาจแก่กว่าท่านหลายสิบปี!”
“….” เด็กคนนี้ปากคอเราะรายขึ้นนะ
หมิงเวยกระแอมเล็กน้อย “แล้ว…ท่านอยากจะพูดอะไรหรือ”
หยางชูหันหน้าไปทางอื่น นางจึงเห็นแต่ภาพด้านข้างของเขา นางเห็นว่าหูของเขาเป็นสีแดง “ก็…เรื่องนั้นแหละ! ข้าเดาว่าครั้งนี้ข้าคงหนีไม่พ้นท่านช่วยข้าแก้ไขด้วย”
“อ้อ…” หมิงเวยพยักหน้า “ได้เจ้าค่ะ ให้ข้าป่วนงานใช่หรือไม่ ข้าขอคิดหาวิธีก่อน ให้พวกภูติผีออกมาเต้นรำดีหรือไม่เจ้าคะ อย่างเมื่อตอนอยู่ที่ตงหนิง…”
“ท่านพอได้แล้ว!” หยางชูโกรธจนควันพุ่งออกจากจมูก แต่หมิงเวยยังคงหัวเราะเช่นนั้น เขาจึงไม่สามารถโกรธได้
นางมองเขาเช่นนี้ แม้แต่ดวงตานางยังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ดูสดใสและนุ่มนวลราวกับสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่านใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบาทำให้รู้สึกคันเล็กน้อย
เขาโน้มตัวไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัวแล้วโพล่งออกไปว่า “ท่านถอนหมั้นแล้วมาแต่งกับข้าแทน ตกลงหรือไม่”
“…”
หมิงเวยก้มหน้าดื่มชา พอเขาพูดออกไปใบหน้าของเขาแดงระเรื่อ จากนั้นเขาก็รวบรวมความกล้าพูดออกไปอีกว่า “กุ้ยเฟยเคยรับปากข้า ขอเพียงแค่ชอบพอ เรื่องอื่นไม่สำคัญ ท่านลุงท่านป้าบอกว่าขอเพียงให้ข้าแต่งงาน แบ่งเบาภาระให้พวกเขา ขอเพียงท่านพยักหน้าข้าจะจัดการเรื่องอื่นให้เองทางฝั่งลุงของท่านข้าจะไปพูดให้” หมิงเวยถอนหายใจและเงยหน้ามองเขา
ใบหน้าของนางไร้รอยยิ้มแววตาของนางอ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม นางมองใบหน้าอีกฝ่ายอย่างจริงจังราวกับมองเห็นถึงความจริงใจและเสน่หาของเขา
หยางชูรู้สึกร้อนใจและพูดต่อไปว่า “ข้ารู้ว่าตระกูลจี้ปฏิบัติต่อท่านเป็นอย่างดี เรื่องถอนหมั้นข้าจะชดเชยให้พวกเขาแน่ ส่วนจวนโป๋วหลิงโหวท่านชอบความอิสระไม่จำเป็นต้องพักที่นั่นก็ได้ ไม่เป็นไร พวกเราสามารถย้ายออกไปได้ เมื่อตอนที่ท่านปู่ยังมีชีวิตอยู่ข้าย้ายตัวออกมาแล้วส่วนที่ข้าได้รับแม้เทียบไม่ได้กับเรือนหลักแต่ก็สามารถเลี้ยงดูท่านได้ พวกเราสามารถอาศัยที่เรือนในซอยผิงฝูได้ซึ่งห่างจากที่นี่ไปไม่ไกล…”
“ไม่ดีเจ้าค่ะ”
“ไม่อย่างนั้นซื้อเรือนถัดไปให้ท่านลุงของท่านย้ายไปอยู่…” พูดได้ครึ่งทางเขาก็หยุดกะทันหันดวงตาคมจับจ้องใบหน้าของนาง
“ท่านพูดว่าอะไรนะ”
“ไม่ดีเจ้าค่ะ” หมิงเวยสบตาเขาและพูดเสียงเบาแต่ทว่าหนักแน่น “พวกเราไม่สามารถแต่งงานกันได้”
หยางชูอ้าปากอยากจะพูดแต่พูดไม่ออก
ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ จิตใจของเขาว่างเปล่าเขาลืมไปด้วยซ้ำว่าทำไมตนถึงมานั่งอยู่ที่นี่ คำพูดที่ยาวเหยียดถูกลบออกจากหัวของเขาเสียอย่างนั้นซึ่งใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งลมหายใจ
นางพูดว่าอะไรนะ อะไรไม่ดี
หมิงเวยถอนหายใจนางกุมมือเขาที่ยื่นออกมาแต่ไม่กล้าเขย่า
หยางชูสั่นอย่างรุนแรงเขาจ้องมองที่นางอย่างตั้งใจราวกับว่าเขาเพิ่งกลับมาสู่ความเป็นจริง “ท่าน…”
คำพูดต่อไปถูกนางตัดบท
หมิงเวยพูดว่า “ข้าไม่สามารถมีพันธะแต่งงานกับผู้ใดบนโลกนี้ได้เจ้าค่ะ”
“….” หยางชูนำประโยคนี้ทวนอยู่ในหัวอยู่หลายครั้งในที่สุดเขาก็สงบลง
นางไม่ได้ปฏิเสธเขา แต่นางปฏิเสธทุกคน
นางพูดว่าไม่สามารถไม่ใช่ไม่ยินดี นางมีปัญหาอะไรงั้นหรือ
หยางชูสงบสติอารมณ์แล้วถามนางว่า “เหตุใดถึงพูดเช่นนั้น”
หมิงเวยยิ้มแต่กลับพูดในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกัน “ท่านรู้หรือไม่ วันนั้นที่เสวียนตูกวัน ในบททดสอบสุดท้ายนั้น ข้าใช้ทางลัดและบังคับเข้าไปในหยวนเสินของอวี้หยางและเสวียนเฟยถึงจะสามารถดูดวงดาวได้”
หยางชูรู้สึกสับสนแม้แต่ดวงตาของเขาก็ยังสับสน
“เพราะว่าการพยากรณ์โชคชะตาแผ่นดินจำเป็นต้องหาดวงดาวแห่งโชคชะตาของตนเอง แต่ข้าไม่มีดาวแห่งโชคชะตา” นางพูดเสียงเบา “ข้าไม่ใช่คนในโลกนี้ แต่เป็นวิญญาณอันโดดเดี่ยวที่ขโมยความลับสวรรค์ถึงได้มาปรากฏตัวในเวลานี้”
หัวใจของหยางชูดิ่งลงอย่างกะทันหันได้ยินนางพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบว่า “สิ่งแปลกปลอมที่ไม่ได้เป็นของโลกใบนี้ หากผูกพันกับพวกท่านมากเกินไปมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดความโกลาหลได้ เมื่อถึงเวลานั้นดวงชะตาของพวกท่านจะไหลลงสู่ขุมนรกที่ไม่อาจล่วงรู้ได้ สัญญาการแต่งงาน โชคชะตาที่เกี่ยวพันกัน อาจเกี่ยวข้องกับบุตรเพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นพี่ห้าหรือท่าน ข้าไม่สามารถแต่งงานกับพวกท่านได้เจ้าค่ะ”
“ข้าไม่สนใจ!” เขาโพล่งออกไปและบีบมือของนางแน่นขึ้น “ข้ามีดวงกินภรรยาอยู่แล้ว หากข้าแต่งกับคนอื่นอีกไม่นานข้าจะกลายเป็นพ่อม่าย แม้ท่านจะเป็นวิญญาณอันโดดเดี่ยวผลลัพธ์มันแย่ตรงไหนหรือ”
“ไม่เจ้าค่ะ” หมิงเวยมองไปข้างหน้าด้วยแววตานิ่งสงบ “ข้าเกรงว่าจะไม่ใช่ชะตากรรมของท่านเพียงคนเดียว ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่จะมีความเกี่ยวข้องกับผู้อื่น ดังนั้นการสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นไม่มีใครยกเว้นได้ หากข้าส่งผลต่อท่านก็อาจส่งผลต่อผู้อื่นด้วย โชคชะตาของโลกนี้จะไม่สามารถจับต้องได้อีกต่อไป ในฐานะที่ข้าเป็นปรมาจารย์แห่งชีวิตไม่อนุญาตให้ผลลัพธ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้ ท่านเข้าใจหรือไม่เจ้าคะ”
หากเขาเป็นดาวตี้ชิงและส่งผลกระทบต่อเขาก็อาจจะส่งผลกระทบต่อใต้หล้าและทุกคนบนโลกนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่นางจะไม่ยอมให้เกิดขึ้น
นางวิ่งเต้นมาสิบปี ลี้ภัยเป็นพันลี้ ละทิ้งทุกอย่างไม่ง่ายเลยกว่าจะคว้าโอกาสนี้มาได้ เมื่อกลับมายังยุคสมัยนี้ก็ไม่ง่ายเลยกว่าจะค้นหาดาวตี้ชิงที่เป็นไปได้ และหากยังดำเนินต่อไปก็อาจจะไม่เดินทางไปสู่ความวุ่นวายที่น่ากลัวนั้นได้ บางทีโอกาสเปลี่ยนอนาคตอาจอยู่ที่นี่นางจะทำลายโอกาสนี้ไปได้อย่างไร
แม้แต่นางเองก็ทำไม่ได้!
………