เห็นหมิงเวยไม่ว่าอะไร เขาก็ยื่นมือออกมาจับมือนางอย่างใจกล้า สักพักก็หดมือกลับ ใบหน้าของหยางชูร้อนผ่าว หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง
แปลกจริงๆ ตอนอยู่ที่ตงหนิงพวกเขาได้แตะเนื้อต้องตัวกันไปไม่น้อย ตอนนั้นเขาบอกว่าตนเป็นบุรุษที่อยู่แทบเท้าสตรีซ้ำยังพูดได้คล่องปากมากๆ เหตุใดตอนนี้ถึง…
ขณะที่กำลังคิดจู่ๆ มือของเขาก็ถูกคว้าเอาไว้ หยางชูตกตะลึงแล้วเขาก็รู้สึกวาบหวามในใจ เขาคิดในใจว่าหรือว่านางก็อยากใกล้ชิดกับเขาเช่นกัน…
ยังคิดไม่ทันจบหมิงเวยก็ดึงเขาเข้าไปในป่าเสียแล้ว
“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้” หยางชูพูดเสียงเบาเขาทั้งตื่นเต้นทั้งประหม่า
หมิงเวยยังคงเดินต่อไปไม่หยุดพลางพูดว่า “งูขาวพบอะไรบางอย่าง ท่านมากับข้าเจ้าค่ะ”
“….” หยางชูเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถามนาง “ท่านจะพาข้าไปดูอะไร”
“ไปถึงท่านก็จะรู้เอง”
ทั้งสองเข้าไปในป่าและเดินวนไปวนมาอยู่หลายรอบ
หยางชูถาม “ท่านเดินเช่นนี้รู้ทางหรือ”
หมิงเวยตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ก็ยังมีท่านอยู่ด้วยไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
หยางชูรู้สึกหมดหวัง แต่เมื่อได้ยินประโยคนั้นเขาก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันที
“ท่านรู้ทางใช่หรือไม่” หมิงเวยถาม
“แน่นอน!” เขาตบอกตนเองเพื่อแสดงความมั่นใจ “ตราบใดที่มีความต่างกันเล็กน้อย ข้าดูออกแน่นอน”
พูดถึงเรื่องนี้เขาก็คิดนางดูคนไม่ออกดูทางไม่เป็น แต่นางมีพรสวรรค์ทางด้านนี้ถือว่าเป็นส่วนเสริมหรือไม่ นางเป็นเช่นนี้ควรอยู่ข้างกายเขาถึงจะถูกแบบนี้เรียกว่าบุพเพสันนิวาสได้หรือไม่
ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นหมิงเวยก็มาถึงที่หมาย หลังจากผลักเขาเข้าไปในพุ่มไม้ นางก็ตามเข้าไปด้วย
ด้านหลังพุ่มไม้มีหินก้อนใหญ่และทั้งสองอยู่ใกล้กัน หยางชูได้กลิ่นยาจางๆ จากร่างกายของนาง อาจเป็นเพราะอาบน้ำยาทุกวัน และดูเหมือนว่าจะผสมกับกลิ่นอื่นๆ จึงมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ
หรือเมื่อกลับไปเขาถามสูตรยากับนางเพื่อนำไปอาบบ้างดี อืม…ถ้าอย่างนั้นพวกเขาก็มีกลิ่นเหมือนกัน….
ท้องฟ้ามืดลงอย่างสมบูรณ์บริเวณรอบกายเงียบสงัดแม้แต่เวลาก็ยังหยุดชะงัก ภายใต้ความเงียบนั้นมีเสียงกิ่งไม้แตกหักดังลอยเข้ามา
คนสองคนกำลังเดินมาทางนี้
หยางชูรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันที ในเวลานี้เข้าป่ามาทำอะไรกัน ฟ้ามืดเพียงนี้ไม่เหมาะต่อการล่าสัตว์เลยสักนิด
จากนั้นก็ได้ยินเสียงหนึ่งพูดขึ้นว่า “ที่นี่แหละ”
เขามองผ่านพุ่มไม้ภายใต้แสงจันทร์ส่องลงมา เขาเห็นคนสองคนยืนอยู่ใต้ต้นไม้ห่างออกไปสิบจั้ง แสงสลัวเกินกว่าจะมองเห็นรูปร่างหน้าตาของทั้งสองได้ มีเพียงเสียงเท่านั้นที่แยกแยะได้อีกฝ่ายควรเป็นชายหนุ่มอายุไม่เกินสามสิบปี
อีกฝ่ายพูดขึ้นว่า “นำของมาด้วยหรือไม่”
คนผู้นี้มีเสียงแหบดูเหมือนว่าเส้นเสียงของเขาจะเสียหายฟังดูเหมือนคนมีอายุ
หยางชูขมวดคิ้วเส้นเสียงได้รับความเสียหายต้องไม่ใช่บุคคลในราชสำนักอย่างแน่นอนไม่มีขุนนางคนใดมีลักษณะเช่นนี้หรือจะเป็นบ่าวรับใช้จากตระกูลใดตระกูลหนึ่งกัน
เสียงของเด็กหนุ่มดังขึ้น “เอามา”
เขาหยิบของบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้อีกฝ่ายรับมาและมองลงมาช้าๆ
เด็กหนุ่มกล่าวว่า “นายท่านบอกว่านี่เป็นของทั้งหมดที่ท่านต้องการ ดูเถิด ต้องการอะไรนอกเหนือจากนี้อีกหรือไม่”
“ไม่แล้ว” บุคคลนั้นนำของไว้ในอ้อมแขนแล้วพูดว่า “ลงคาถาต้องใช้เวลาหนึ่งวัน พวกท่านแค่รอก็พอแล้ว” เด็กหนุ่มรับคำ
คนผู้นั้นพูดอีกว่า “ยาที่ข้าให้พวกท่าน ต้องให้เป้าหมายใช้ในเวลาที่กำหนด ไม่เช่นนั้นคาถาจะสลายไปข้าไม่รับผิดชอบนะ” เด็กหนุ่มรับคำอีกครั้ง
ทั้งสองพูดคุยเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีใช้ยาเบื้องต้นจากนั้นก็แยกย้ายกันไป
หยางชูถอนหายใจแล้วถามนาง “ที่พวกเขาพูดหมายความว่าอย่างไร”
หมิงเวยออกมาจากด้านหลังพุ่มไม้ และเดินไปที่ใต้ต้นไม้ที่พวกเขานัดพบกัน จากนั้นเงยหน้าขึ้นแล้วดม “สมุนไพรนี้มีกลิ่นพิเศษมากน่าจะเป็นพ่อมด”
“พ่อมดงั้นหรือ”
“ใช่ วิชาต่างๆ ในใต้หล้าเรียกรวมกันว่าเคล็ดวิชา แต่หากแบ่งย่อยออกไปจะมีหลายประเภทปกติแล้วไสยศาสตร์เป็นวิชาของเผ่าอื่นจะใช้ยารักษาโรค ถึงแม้สามารถใช้รักษาโรค และช่วยชีวิตผู้คนได้ แต่ก็เป็นพิษทำร้ายผู้คนได้เช่นกัน”
หยางชูขมวดคิ้วแน่น “เช่นนั้นมีคนนำไสยศาสตร์เข้ามาในเขตล่าสัตว์ เขาคิดจะทำอะไรเป้าหมายเป็นผู้ใดกัน”
“รอก่อน งูขาวกำลังตามสืบอยู่เจ้าค่ะ” ผ่านไปสักพักควันก็ลอยเข้ามาและตกลงบนฝ่ามือของหมิงเวย
“นายท่าน”
“จับได้หรือไม่”
งูขาวรู้สึกละอาย “ข้าใช้การไม่ได้เลย คนผู้นั้นไหวตัวเร็วมากไม่รู้ว่าใช้วิธีไหน ข้าไล่ตามเขาไปสักพักแล้วก็หาไม่เจอแล้วเจ้าค่ะ”
หมิงเวยพยักหน้า “ดูเหมือนจะเป็นพ่อมดที่เก่งกาจมาก!”
งูขาวรีบบอกว่า “อีกคนข้าเห็นว่าเขาเข้าไปในบริเวณกระโจมฝั่งซ้าย…”
เมื่อได้ยินที่ตั้งของกระโจมสีหน้าของหยางชูมืดครึ้มลง “กองทหารรักษาพระองค์”
หมิงเวยคิดอย่างรอบคอบ “ผู้ที่สมคบคิดกับกองทหารรักษาพระองค์ ดูเหมือนแผนการของอีกฝ่ายจะไม่เล็กเลย ฝ่าบาท กุ้ยเฟย ฮุ่ยเฟยล้วนประทับอยู่ที่นั่น แล้วยังมีไท่จื่อกับองค์ชายอีกสองพระองค์…”
หยางชูกัดฟัน “ข้าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท! ต้องทำการค้นหาเดี๋ยวนี้!”
“เดี๋ยวเจ้าค่ะ!” หมิงเวยดึงเขาไว้ “ท่านแหวกหญ้าให้งูตื่นเช่นนี้ กองทหารรักษาพระองค์ไม่ใช่ผู้บงการอย่างแน่นอน ตามหาเขาไม่ได้หมายความว่าหาผู้สั่งการพบ พ่อมดคนนั้นน่ากลัวมาก เขาปะปนอยู่ในกองล่าสัตว์ เมื่อสุนัขจนตรอกไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรมากมายตามหลังหรือไม่ แม้ข้าจะสามารถหยุดเขาได้ แต่ข้าก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าคนอื่นจะไม่ได้รับผลกระทบ”
“คนผู้นั้นเก่งกาจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
หมิงเวยพยักหน้า “วิธีที่เขาใช้ในการหลีกเลี่ยงงูขาวตัวน้อยในตอนนี้เป็นวิธีของฉีเหมิน เพื่อบิดเบือนในช่วงเวลาอันสั้นมีเพียงพ่อมดระดับสูงเท่านั้นที่สามารถทำได้”
หยางชูคิดอยู่ครู่หนึ่ง “กองทหารรักษาพระองค์ถูกคนแทรกแซงหมายความว่าเกิดปัญหาในความปลอดภัยของฝ่าบาท หากไม่สามารถจับศัตรูมาถอนรากถอนโคนได้ก็จะเกิดปัญหาไม่รู้จบ”
หมิงเวยเห็นด้วย “เพราะฉะนั้นพวกเราต้องค่อยเป็นค่อยไปอย่างช้าๆ”
“อืม…แต่เรื่องนี้จำเป็นต้องรายงานต่อเบื้องบนเพื่อให้ฝ่าบาทเตรียมตัวให้ดี ข้าจะไปส่งท่านกลับก่อน”
“ได้เจ้าค่ะ” เมื่อส่งหมิงเวยถึงบริเวณกระโจมแล้วหยางชูก็รีบเดินออกไป
หมิงเวยมองแผ่นหลังของเขานางยังคิดถึงเรื่องพ่อมดคนนั้น แต่หูก็ได้ยินเสียงเยาะเย้ยลอยมา “มีสัญญาหมั้นหมายแล้วแต่ยังลักลอบพบชายอื่น ช่างน่าขยะแขยงจริงๆ!”
หมิงเวยหันศีรษะกลับไปและเห็นพี่น้องตระกูลเหวินยืนห่างออกไปไม่กี่จั้ง
คนที่พูดคือเหวินอิ๋ง ช่วงนี้เหวินหรูทำตัวเงียบมากไม่ถือหางนางอีกทำให้เหวินอิ๋งยิ่งดูโหดร้ายมากขึ้น หมิงเวยเหลือบมองแล้วหมุนตัวกลับเข้ากระโจมไป
ผู้ใดจะรู้ว่าเหวินอิ๋งเห็นนางทำเช่นนี้ก็ยิ่งโกรธ นางเร่งเดินไม่กี่ก้าวเพื่อรั้งอีกฝ่ายเอาไว้ “ทำไม ละอายใจงั้นหรือ”
เหวินหรูดึงแขนเสื้อนางแล้วพูดเสียงเบา “พี่สาม…”
เหวินอิ๋งหันกลับมาพูดต่อว่านาง “เจ้าเลิกแสร้งทำเป็นคนดีได้แล้ว กลับไปซะ!”
เหวินหรูปิดปาก
เดิมทีหมิงเวยไม่คิดสนใจนางพอหลีกเลี่ยงก็ถูกรั้งไว้ก็เริ่มโกรธขึ้นมาเล็กน้อย “ข้าไม่ละอายใจแล้วเกี่ยวอะไรกับท่านด้วย คุณหนูสามตระกูลเหวินสนใจมากเกินไปแล้ว!”
เหวินอิ๋งพูดอย่างดูถูก “เจ้าอย่ามาเล่นลิ้น! คิดว่าทำตัวโดดเด่นแล้วจะบรรลุถึงผลสำเร็จเพียงชั่วเวลาสั้นๆ ได้หรือ ช่างไม่ดูตนเองบ้างเลย!”
หมิงเวยยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นขอถามคุณหนูสามตระกูลเหวินหน่อย ข้าเป็นคนอย่างไรหรือ”
…………….