ฮ่องเต้กำลังสนทนากับผู้อื่นอย่างสนุกสนาน พระองค์เห็นทหารรักษาพระองค์รีบวิ่งมาทางนี้ เมื่อเข้ามาใกล้ก็รีบลงจากหลังม้าเข้ามารายงานทันที
“ฝ่าบาท! อันอ๋องตกน้ำพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ตกใจพระองค์ถามกลับไป “ช่วยไว้ได้หรือไม่”
“ช่วยไว้ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
พระองค์พยักหน้าด้วยจิตใจที่สงบลง “พาเขากลับมาก็พอแล้วตื่นตระหนกตกใจเป็นการใหญ่กันทำไม” ทหารลังเลที่จะพูด
ฮ่องเต้เลิกคิ้ว “มีอะไรก็พูดมามัวแต่ลังเลอยู่ได้!”
ทหารมีสีหน้าลำบากใจ “ทูลฝ่าบาท พวกเราไม่สามารถพากลับมาได้ คุณชายสามตระกูลหยางอยู่ที่นั่นด้วยกำลังทะเลาะกับอันอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” ทุกคนรู้สึกสับสน
อะไรนะ คุณชายสามตระกูลหยางทะเลาะกับอันอ๋องงั้นหรือ แล้วเรื่องที่ตกน้ำนั่น…
เรื่องในอดีตของทั้งสอง คนที่ทราบเรื่องนี้มีไม่น้อย
ดูท่าแล้วเป็นแค่การทะเลาะวิวาทใช่หรือไม่ เด็กจากตระกูลอันดับหนึ่งในราชวงศ์นี้ไม่รู้เลยหรือว่าที่นี่เป็นงานอะไร
อ้อ จริงสิ ครั้งนี้ต้องหาสะใภ้ให้แก่พวกเขามาทะเลาะวิวาทกันเช่นนี้ผู้ใดจะกล้าแต่งงานด้วยกัน
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วแล้วออกคำสั่งทหาร “เรื่องนี้ทำไม่ถูกต้องแล้วยังหวังให้มาคุ้มครองความปลอดภัยของเจิ้นได้อยู่หรือ ไปให้พ้นหน้าเจิ้นแล้วพาเด็กสองคนนั้นมาที่นี่!” ทหารได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
พวกเขาทำอะไรไม่ถูกจริงๆ หรือ แน่นอนว่าไม่ใช่ แต่เป็นเพราะจัดการสองคนนั้นไม่ไหวต่างหาก! ตอนนี้ฝ่าบาทออกคำสั่งแล้วพวกเขาจึงใช้กำลังบังคับได้
“พ่ะย่ะค่ะ” ทหารรีบไปรายงานพวกเขาตั้งกองกำลังรักษาพระองค์แล้วรีบมุ่งหน้าไปที่ลำธาร
หลังจากนั้นไม่นานอันอ๋องที่เปียกโชก และหยางชูที่ตัวเปื้อนฝุ่นก็ปรากฏตัวต่อหน้าฮ่องเต้
สีหน้าฮ่องเต้เขียวคล้ำด้วยความโกรธ “พวกเจ้าสองคนนับวันยิ่งกำเริบ! เทศกาลชิวเลี่ยพวกเจ้ายังกล้ามาทะเลาะวิวาทกันอีก เจิ้นไม่อยู่ในสายตาพวกเจ้าเลยใช่หรือไม่”
อันอ๋องต้องการอธิบาย “เสด็จพ่อ…”
“หุบปาก!” น่าเสียดายที่ถูกฮ่องเต้ขัดไว้พระองค์ตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ดูเจ้าสิ ทำตัวสมกับเป็นองค์ชายหรือไม่”
สีหน้าอันอ๋องเหมือนอยากร้องไห้คร่ำครวญ เขารู้ว่าต้องเป็นเช่นนี้! แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเขากันเป็นแค่การตีสนิทมิใช่หรือ ยังไม่ทันที่เขาจะทำอะไรกับสาวงาม เจ้าหยางซานผู้นั้นก็โผล่มาโจมตีเขาและโยนเขาลงน้ำเสียแล้ว
เขาเป็นองค์ชาย เป็นชินอ๋อง! โดนกลั่นแกล้งเช่นนี้กลับไปเขาจะเอาหน้าไปไว้ไหน ไม่สามารถโต้กลับหรือด่ากลับได้เลยใช่หรือไม่
เมื่อต่อว่าอันอ๋องเสร็จพระองค์ก็หันไปมองหยางชู “ข้าเพิ่งบอกว่าช่วงนี้เจ้าเงียบสงบขึ้นเยอะ ดูเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ตอนนี้กลับก่อเรื่องเสียได้ ตอนเด็กยังก่อเรื่องไม่พออีกหรือ ได้! เจิ้นเห็นว่าพวกเจ้ายังได้รับบทลงโทษไม่พอ! ไปให้พ้นหน้าเจิ้นซะ ต่อไปนี้เทศกาลชิวเลี่ยก็ไม่ต้องเข้าร่วมพวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวออกจากกระโจมก่อนเดินทางกลับ!”
ในเวลานี้หยางชูยังคงยิ้มซ้ำยังทำความเคารพอย่างสุภาพนอบน้อม “รับทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” แล้วเขาก็เหลือบมองอันอ๋องแล้วแค่นหัวเราะแล้วเงยหน้ายืดอกรับโทษ ผู้ที่ไม่รู้คงคิดว่าเขาเป็นผู้ชนะในสนามรบ
อันอ๋องโกรธมาก เขารับโทษอย่างเชื่อฟังซึ่งตนเองทำได้เพียงยอมรับเท่านั้น ไม่เช่นนั้นเสด็จพ่อจะทรงกริ้วหนัก
ซึ่งมันไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย!
…………
เจี่ยงเหวินเฟิงคำนวณในใจตอนนี้ฟ้าคงมืดแล้วใช่หรือไม่
แต่หูกลับได้ยินเชี่ยนเหนียงพูดว่า “ตอนนี้เวลาค่ำแล้วเจ้าค่ะ ด้านนอกห้องลับมีคนคอยคุ้มกัน แต่ท่านพี่คุยกับข้าได้นะเจ้าคะ พูดเสียงเบาข้างนอกคงไม่ได้ยิน”
เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้าแล้วพูดเสียงเบา “เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน สิ่งที่อาจารย์ฟู่เตรียมนั้นไม่ได้มีไว้สำหรับข้าแน่นอน ดูเหมือนเขาจะคาดหวังว่าวันหนึ่งจะมีคนค้นพบตราประทับนี้”
เขาชะงักและพูดใหม่ว่า “หรือมีคนค้นพบห้องลับของเขา”
เชี่ยนเหนียงสงสัย “เขาคิดจะทำอะไรกันแน่เจ้าคะ ตราประทับนั่นมีกลไกอะไรกัน”
เจี่ยงเหวินเฟิงไม่เคยปิดบังอะไรนาง เขาพูดอย่างตรงไปตรงมา “นั่นเป็นตราประทับส่วนตัวของซือฮว๋ายไท่จื่อ”
“ซือฮว๋ายไท่จื่อ…” เชี่ยนเหนียงนึกอย่างยากลำบาก “ท่านพี่หมายถึงไท่จื่อของฮ่องเต้องค์ก่อนหรือเจ้าคะ”
“ใช่แล้ว” เจี่ยงเหวินเฟิงตอบเสียงเบา “เมื่อครู่ข้านึกถึงชีวิตของอาจารย์ฟู่ พบว่าน่าสนใจมาก”
“อย่างไรหรือเจ้าคะ”
“อาจารย์ฟู่ฝากตัวเป็นศิษย์กับอาจารย์หลายท่าน และหนึ่งในนั้นเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แซ่กู้…”
เชี่ยนเหนียงตอบสนองทันที “ท่านพี่หมายถึงกู้เหวินต๋าหรือเจ้าคะ”
เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า “ใช่ นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้มีชื่อเสียงในราชวงศ์ก่อน แต่ในราชวงศ์นี้ฮ่องเต้ไท่จู่เชิญเขาให้ดำรงตำแหน่งราชครูเป็นอาจารย์สอนซือฮว๋ายไท่จื่อ”
“หมายความว่า อาจารย์ฟู่กับซือฮว๋ายไท่จื่อเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน!”
“ใช่!”
เมื่อได้ข้อสรุปนี้ทั้งคู่ก็เงียบไปเรื่องนี้ค่อนข้างน่าตกใจเป็นอย่างมาก!
ผ่านไปสักพักเชี่ยนเหนียงพูดว่า “ท่านพี่ เหตุผลที่ท่านมาที่สถานศึกษาซานไถเป็นเพราะแม่นางหมิงไหว้วานมา นางบอกว่าเป็นคดีฆาตกรรม วันที่สิบเดือนสี่เมื่อสามปีก่อน อาจารย์ฆ่าคน…”
เจี่ยงเหวินเฟิงส่ายหน้ารัว “เป็นไปไม่ได้ ชีวิตคนที่แม่นางหมิงพูดมานั้นข้าคิดว่ามีความหมายอื่น เพราะฉะนั้นข้าเลยบอกว่าเบื้องหลังเรื่องนี้ค่อนข้างน่ากลัว แต่ทำไมถึงได้พูดถึงตราประทับนี้กัน ตราประทับนี้มีความสำคัญมาก ถ้าไม่จำเป็นอาจารย์คงไม่นำออกมา หมายความว่าคดีนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับซือฮว๋ายไท่จื่อ…”
เชี่ยนเหนียงคิดในใจที่แม่นางหมิงกล่าวมาก่อนหน้านี้ คดีนี้เกี่ยวพันกันมากเกินไป ช่างทำให้ผู้คนหวาดกลัวจริงๆ
“เชี่ยนเหนียง” เจี่ยงเหวินเฟิงเรียก “ข้าคิดว่าอาจารย์ฟู่ไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าข้า อย่าเพิ่งรีบร้อน เราตรวจสอบคำพูดของเขาก่อน”
เชี่ยนเหนียงรู้สึกกังวลเล็กน้อย “หากเกิดอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไรเจ้าคะ เขาเคยฆ่าคนมาก่อน”
“แต่เขาไม่ฆ่าข้าใช่หรือไม่ ข้าถามเขาไปเช่นนั้นแต่เขากลับเดินออกไป” เจี่ยงเหวินเฟิงครุ่นคิดช้าๆ
“ข้าคิดว่านี่อาจเป็นโอกาสหนึ่ง เขาเก็บตราประทับนั่นมาหลายปี จู่ๆ มาแสดงตัวต่อหน้าคนเมื่อสามปีก่อน แน่นอนว่าเขาต้องมีเหตุผลของเขา บางทีอาจเป็นความลับที่ยาวนาน คนเก็บความลับมาหลายปี แต่ไม่มีผู้ใดให้พูดด้วยได้คงต้องเหงามาก ยิ่งกว่านั้นซือฮว๋ายไท่จื่อสิ้นพระชนม์แล้วจึงไม่จำเป็นต้องยืนกรานในหลายๆ เรื่องเลย บางทีข้าอาจจะต้องลองง้างปากเขาดู!”
เชี่ยนเหนียงไม่ได้คาดหวังอะไรมาก นางรู้ว่าเมื่อสามีได้ตัดสินใจแล้ว นางต้องไม่หวั่นไหวจึงพูดได้เพียงว่า “อย่างน้อยอีกหนึ่งวัน เขาไม่ให้อาหารท่านเช่นนี้ ถ้าท่านอดทนต่ออีกวันร่างกายอาจอ่อนแรงและไม่สามารถหนีพ้นได้นะเจ้าคะ”
เจี่ยงเหวินเฟิงยิ้ม “ได้ ข้าจะลองอีกครั้ง วันรุ่งขึ้นหากเขาไม่มา พวกเราค่อยคิดหาวิธีหนีโดยไม่ต้องสนใจผลลัพธ์แล้ว”
พวกเขารอจนกระทั่งเวลาเที่ยงของวันที่สอง เจี่ยงเหวินเฟิงที่กำลังหิวได้กลิ่นหอมของอาหาร
เขาได้ยินเสียงคนเข้ามาเชี่ยนเหนียงพูดข้างหูว่า “เป็นอาจารย์ฟู่เจ้าค่ะ”
เสียงเก้าอี้เคลื่อนไหวดังขึ้น และในไม่ช้าข้าวหนึ่งช้อนก็ถูกส่งไปที่ปากของเจี่ยงเหวินเฟิง เขายิ่งมั่นใจมากขึ้นไปอีกว่าอาจารย์ฟู่ไม่ได้ต้องการฆ่าเขาจริงๆ
เจี่ยงเหวินเฟิงไม่พูดอะไร เขาทานข้าวไปเรื่อยๆ จนหมดชาม
เจี่ยงเหวินเฟิงที่ทานอิ่มท้องแล้วตั้งใจจะพูดว่า “อาจารย์ ท่านคิดจะปล่อยข้าไปหรือไม่” ฟู่จินไม่ตอบอะไร
เขาพูดอีกว่า “ท่านกำลังคิดเกี่ยวกับวิธีจัดการกับข้าอยู่ใช่หรือไม่”
ชามและตะเกียบถูกนำไปวางอยู่บนโต๊ะอย่างแรง
…………..