เสียงม้าดังจากภายนอกกระโจม วันแรกของเทศกาลชิวเลี่ย ทุกคนต่างมีความสุขกับงานในครั้งนี้
ไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือทหารต่างร่วมกันย่างเนื้อกินชิ้นใหญ่ซึ่งเป็นเหยื่อที่ล่ามาได้ ดื่มสุรา ร่วมกันนึกถึงชีวิตทหารที่ยกทัพไปเหนือใต้ในรัชสมัยของไท่จู่ จินตนาการถึงภาพที่สวยงามของวันหนึ่งเมื่อรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งเดียวได้
อาสวนกับเสี่ยวถงนั่งเคียงข้างกันอยู่หน้าประตูกระโจม ทั้งสองมองท่าทางยินดีปรีดาของพวกเขาทั้งๆ ที่ใจรู้สึกจมดิ่ง
“คุณชายจะสงบลงหรือไม่” เสี่ยวถงถามอย่างเป็นกังวล
อาสวนตอบรับเสียง “อืม” ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เสี่ยวถงถามอย่างวิตกกังวล “หมายความว่าอย่างไร”
อาสวนถอนหายใจแล้วตอบว่า “ตอบยาก ทั้งชีวิตของคุณชายไม่มีวันไหนมีความสุขเท่าหลายวันมานี้เลย”
“ใช่!” เสี่ยวถงพูดด้วยใบหน้าเศร้า “แม่นางหมิงเป็นคนดี”
อาสวนไม่พูดอะไร อันที่จริงเขาไม่ได้เห็นด้วยกับเรื่องนี้มากนัก ไม่ใช่ว่าแม่นางหมิงไม่ดี แต่นางเอาแน่เอานอนไม่ได้ เขาคิดว่าคุณชายรั้งนางไว้ไม่ได้ หากเป็นเช่นนั้นละก็คุณชายต้องเสียใจมากแน่
เรื่องนี้เขาในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาจะออกความเห็นอะไรได้ คุณชายตัดสินใจอะไรเขาทำได้แค่เพียงรับฟังเท่านั้น แต่ตอนนี้เมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นเห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทไม่โปรดความคิดเห็นของคุณชาย
ผู้อื่นคัดค้านยังมีความหวัง แต่หากฝ่าบาทไม่เห็นชอบจะทำอะไรได้
ตอนนี้ได้เพียงแต่หวังว่าอาหว่านจะเกลี้ยกล่อมคุณชายได้
ภายในกระโจมตกอยู่ในความเงียบสงัดทั้งสองคนนั่งมองหน้ากันเงียบๆ
ผ่านไปนานหยางชูจึงพูดขึ้นทำลายความเงียบ “เจ้าจำเรื่องพวกนั้นได้หรือไม่”
อาหว่านพยักหน้าเบาๆ สายตามองลงไปที่คราบน้ำแกงบนโต๊ะ “บ่าวจะจำไม่ได้ได้อย่างไร คืนนั้นท้องฟ้าเปลี่ยนสีท่านแม่กับพวกเราถูกขังอยู่ในจวน ตกอยู่ในความตื่นตระหนกตลอดทั้งวัน หลังจากนั้นก็มีราชโองการออกมาว่าท่านพ่อเสียแล้ว ท่านแม่ชนเสาตายในทันที พี่หญิงเองก็ด้วย บ่าว…”
นางปิดตาลงแล้วพูดต่อไปว่า “หากไม่ใช่เพราะการช่วยเหลือขององค์หญิงใหญ่ หญ้าที่หลุมศพบ่าวไม่รู้ว่าสูงเท่าไรแล้ว” หยางชูอ้าปากแต่ไม่สามารถพูดอะไรเพื่อปลอบโยนอีกฝ่ายได้
อาหว่านเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความสงบ “องค์หญิงใหญ่บอกกับบ่าวว่า ก่อกบฏร้ายแรงมีโทษถึงตาย ท่านพ่ออยากฆ่าเขา เขาจึงต้องฆ่าท่านพ่อ ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร ไม่สามารถโทษผู้ใดได้ เขายอมให้ข้ามีชีวิตอยู่ถือว่าเมตตาเป็นพิเศษแล้ว บ่าวเข้าใจเหตุผลนี้ดี และบอกตัวเองว่าอย่าเกลียดซึ่งมันไม่มีความหมายอะไรเลย แต่บ่าวอดไม่ได้ที่จะสนใจเขา…”
นางชะงักแล้วพูดต่อว่า “ทุกคนต่างบอกว่าเขาเป็นฮ่องเต้ผู้ทรงเมตตา อาจเป็นเช่นนั้น แต่คุณชายหลายครั้งที่ข้าพบว่าแววตาของเขาที่มองคุณชายนั้นเต็มไปด้วยความอิจฉาและเจตนาร้ายที่ไม่ชัดเจน เพราะฉะนั้นตอนที่ท่านต้องเข้าหวงเฉิงซือบ่าวจึงตามเข้าไปด้วย…”
“….” หยางชูก้มหน้าลงไม่พูดอะไร
“ข่าวลือนั่น” อาหว่านแค่นหัวเราะ “บ่าวไม่เคยเชื่อเลยหากพวกท่านเป็นพ่อลูกกันจริงๆ เขาจะมองท่านด้วยสายตาเช่นนั้นได้อย่างไร ตอนนี้ท่านรู้แล้วใช่หรือไม่ว่าเขาไม่ยอมให้ท่านได้รับสิ่งที่ท่านต้องการ” มือของหยางชูกำลังสั่น แต่ในไม่ช้าเขาก็กำหมัดแน่น
“ข้าต้องเตรียมตัว” เหมือนเขาจะพึมพำกับตนเองแล้วยืนขึ้นมองไปรอบๆ มองหาชุดเกราะทหารรักษาพระองค์ “คืนนี้อาจวุ่นวายหน่อยนะ”
“คุณชาย!”
จู่ๆ หยางชูก็โกรธขึ้นมา “เจ้าต้องการให้ข้าทำอย่างไร ต่อต้านเขางั้นหรือ อย่าพูดว่าข้ามีความสามารถหรือไม่ ถึงจะมี แต่จะให้ข้ามองดูสวะอย่างเจียงเชิ่งขึ้นครองราชย์งั้นหรือ เขาตายไม่ได้เจ้าเข้าใจหรือไม่ ไม่เพียงแต่ปล่อยให้เขาตายตอนนี้ไม่ได้ แต่ข้าจะให้เขาอยู่ต่อไปอีกนาน!”
อนาคตที่หมิงเวยพูดถึงเขาจะไม่ยอมให้แผ่นดินต้าฉีไปถึงจุดนั้นแน่
ปล่อยให้เขามีชีวิตยืนยาวขึ้น รอให้องค์ชายน้อยทั้งหลายเติบโตขึ้นแล้วค่อยดูว่ามีทางเลือกที่ดีกว่านี้หรือไม่ แล้วหากเขาคิดร้ายต่อตนล่ะจะทำอย่างไร อย่างน้อยต่อหน้าเขาก็ไม่ได้ปฏิบัติไม่ดี! อย่างน้อยเขาก็เป็นฮ่องเต้ผู้ทรงเมตตา!
ส่วนเรื่องสมรสพระราชทานเขาไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลหมิงเวยต้องไม่ตอบรับแน่นอน มันต้องมีทางแก้!
แต่…เขากุมหน้าอกด้วยความรู้สึกเจ็บปวด
“คุณชาย!” อาหว่านเห็นเขาเป็นเช่นนั้นก็รีบวิ่งไปกอดเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก “พวกเราออกไปจากที่นี่ดีหรือไม่เจ้าคะ อย่างไรเสียองค์หญิงใหญ่กับนายท่านผู้เฒ่าได้จากไปแล้ว พวกเราไม่มีญาติคนอื่นอีกเราจากที่นี่ไปด้วยกันดีหรือไม่ หวงเฉิงซืออะไรนั่น บัลลังก์อะไรนั่นไม่จำเป็นต้องสนใจ ศิษย์พี่ไม่ได้มาหาท่านหรือ พวกเราไปกับเขาดีหรือไม่เจ้าคะ หากเป็นเช่นนั้น ท่าน ท่านอยากแต่งงานกับนางก็ไม่มีผู้ใดขัดขวางได้”
หยางชูหลับตาลงเวลาผ่านไปนานในที่สุดเขาก็รู้สึกว่าการหายใจของตนเองสงบลง
“เด็กดี” เขาลูบศีรษะของอาหว่าน “ตอนนี้พวกเราไปไหนไม่ได้ เจ้าวางใจเถอะ ข้าควบคุมตนเองได้”
“คุณชาย!”
หยางชูหันหลังกลับเพื่อค้นหาชุดเกราะ เขาหยิบชุดเกราะขึ้นมาสวมด้วยท่าทางแข็งกร้าวดวงตาของเขาเย็นชา
ถ้าคนผู้นั้นมีเจตนาร้ายจริงๆ การวางเขาไว้ในหวงเฉิงซือ ให้เขาเข้าร่วมงานสำคัญ ถือว่าเป็นการทดสอบใช่หรือไม่
………….
เจี่ยงเหวินเฟิงไม่เข้าใจในเมื่อเป็นคดีฆาตกรรมเหตุใดถึงไม่มีผู้ใดติดตามเรื่อง หรือว่าผู้ตาย…
“ตกลงผู้ใดเป็นคนให้เจ้าตรวจสอบเรื่องนี้” เสียงของฟู่จินดังขึ้นตอนนี้เป็นเขาที่มีท่าทีสงบ ความคิดของเจี่ยงเหวินเฟิงค่อยๆ ชัดเจนขึ้น มีสถานการณ์เดียวเท่านั้น และจะไม่มีผู้ใดสืบสวนต่อ
นั่นก็คือเขาคนนั้นยอมรับการตายโดยปริยาย
“อาจารย์” เขาพูดช้าๆ “ท่านคงไม่ได้จับศิษย์มาเพื่อฆ่าปิดปากใช่หรือไม่”
มีเสียงหัวเราะดังขึ้นจากฝั่งตรงข้ามเสียงต่ำเปลี่ยนไปเป็นเสียงสูง ดูเป็นการหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
เชี่ยนเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดเบาๆ “เขาดูดีใจมาก ดูเหมือนว่าชีวิตท่านจะปลอดภัยแล้ว”
เจี่ยงเหวินเฟิงเองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเขาไม่ต้องการปลิดชีวิตตัวเองเพื่อเรื่องนี้
“ผู้ใดให้เจ้ามาที่นี่” ฟู่จินถามอีกครั้งน้ำเสียงของเขามั่นคง “ตราบใดที่เจ้าตอบคำถามนี้ ข้าจะปล่อยเจ้าไป”
เจี่ยงเหวินเฟิงตอบอย่างไม่ลังเล “ขออภัยด้วยขอรับ ศิษย์ไม่สามารถตอบได้”
“เจ้าไม่พูด ข้าก็ไม่ปล่อยเจ้าไป” ฟู่จินยิ้ม
“ถึงเป็นเช่นนั้นศิษย์ก็พูดไม่ได้” ฟู่จินมองต่ำจ้องเขา
“ท่านพี่…” เชี่ยนเหนียงลังเลเล็กน้อย นางรู้สึกว่าท่าทีของฟู่จินไม่เหมือนคนอาฆาต หรือเรื่องนี้สามารถเจรจากันได้
เจี่ยงเหวินเฟิงพูดอย่างเด็ดขาด “เว้นแต่อาจารย์เล่าเรื่องนี้ให้ศิษย์ฟังอย่างละเอียด มิฉะนั้นศิษย์จะไม่พูด”
ฟู่จินเคาะนิ้วลงบนโต๊ะแล้วหรี่ตาลง “เจ้ากำลังขู่ข้างั้นหรือ”
และแล้วเจี่ยงเหวินเฟิงได้ค้นพบทางออกอย่างสมบูรณ์ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “ในที่สุดศิษย์ก็เข้าใจอันที่จริงแล้วท่านตั้งตารอใครบางคนมาที่นี่ เมื่อศิษย์เปิดช่องลับท่านดีใจมากใช่หรือไม่ หรืออาจกำลังรอจุดจบไม่ก็รอเปลี่ยนแผน ท่านต้องเก็บความลับที่ยิ่งใหญ่ไว้ซึ่งไม่มีที่ใดให้พูด แต่เมื่อศิษย์เดินทางมา ในที่สุดการรอคอยของท่านก็สิ้นสุดลง”
สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบ
เจี่ยงเหวินเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “นี่เป็นโอกาสที่ศิษย์ให้ท่าน ตราบใดที่ท่านก้าวออกไปอาจจะมองเห็นท้องฟ้าสีคราม ท่าน ไม่ยินดีที่จะก้าวข้ามออกมาจริงๆ หรือ”
……………