และแล้วค่ายก็เกิดความวุ่นวาย
หยางชูรู้ว่าข้างกายฮ่องเต้มีองครักษ์เงาอยู่ซึ่งแต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือ เมื่อตอนที่ตนรายงานเรื่องนี้กับฝ่าบาทเมื่อคืน พวกเขาก็เตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว ถึงจะมีนักฆ่าโผล่มาก็ไม่อาจเข้าถึงตัวฮ่องเต้ได้
เขาปะปนอยู่ในหน่วยทหารรักษาพระองค์เพื่อตามหาผู้ที่คอยประสานงานอยู่ภายใน แต่เขาไม่คิดเลยว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้
ราวกับว่าทหารรักษาพระองค์ก่อกบฏขึ้นอย่างฉับพลัน นายทหารชั้นประทวนที่สวมชุดเกราะเดียวกันเข้าปะทะกันเอง
“คุณชาย มีบางอย่างผิดปกติขอรับ!” อาสวนตะโกนขึ้น
หยางชูเองก็รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเขาเพิกเฉยต่อกองทหารรักษาพระองค์เหล่านี้ หันหัวและวิ่งไปยังกระโจมที่ตั้งในจุดที่ไม่โดดเด่นและเลิกม่านขึ้น
ว่างเปล่า…เลือดในกายหยางชูแข็งตัวขึ้นมา
เนื่องจากเขารู้ว่ามีใครบางคนต้องการสร้างปัญหาแน่นอนว่าฮ่องเต้ไม่สามารถอยู่ในค่ายที่กำหนดไว้ได้ที่นี่จึงเป็นที่ซ่อนตัวชั่วคราว
แต่ที่นี่กลับไม่มีผู้ใดแม้แต่องครักษ์เงา จิตใจของหยางชูยุ่งเหยิง และความคิดสองเรื่องวนเวียนอยู่ในหัวของเขา มันเป็นอุบัติเหตุหรือเป็นเพราะฝ่าบาทไม่เชื่อใจเขาจึงเปลี่ยนสถานที่
หยางชูกัดปากจนเป็นห้อเลือดเพื่อให้ตนเองตื่นตัวมากขึ้นจากนั้นก็หันศีรษะไปพูดกับอาสวนว่า “ฝ่าบาทไม่อยู่ที่นี่พวกเรารีบไปตามหาเร็ว!”
“ขอรับคุณชาย!”
เมื่อทั้งสองออกมาพวกเขาพบว่าภายในค่ายนั้นวุ่นวายมากขึ้นมีเสียงร้องของชายหญิงดังขึ้นเป็นครั้งคราว
โชคดีที่กองทหารรักษาพระองค์เหล่านี้ไม่ได้ก่อกวนผู้อื่นตราบใดที่เจ้าหน้าที่ระดับสูง และสมาชิกในครอบครัวที่เป็นหญิงซ่อนตัวห่างไกลออกไปก็จะไม่เป็นอันตราย
ไม่ถูกต้องนี่มันผิดปกติเกินไป!
หยางชูกังวลใจและทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคนตะโกนขึ้น “ที่นี่!”
เขาเงยหน้าขึ้นมองและวิ่งเข้าไปหาด้วยความดีใจ
อาสวนมองตามหลังก็อดไม่ได้ที่จะพูดในใจไม่ใช่ว่าไม่ดีใจหรอกหรือ ไม่ใช่ว่าไม่อยากพบนางหรอกหรือ ทำไมตอนนี้ถึงได้ดีอกดีใจเป็นพิเศษเช่นนั้นเล่า
หมิงเวยพาตัวฝูออกมาแวบแรกที่ทั้งสองพบหน้ากันหมิงเวยก็พูดขึ้นว่า “เราถูกหลอกแล้ว คนผู้นั้นต้องรู้แผนของเราแล้วแน่ๆ”
หยางชูตกใจ “ท่านหมายถึงพ่อมดคนนั้นหรือ”
หมิงเวยพยักหน้า
หยางชูหน้าซีด “แล้วฝ่าบาท…”
หมิงเวยสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง “ฝ่าบาททำไม”
“ไม่พบแล้ว” หยางชูส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ว่าฝ่าบาทเปลี่ยนที่ซ่อนชั่วคราว หรือว่า…”
ใจหมิงเวยดิ่งไปถึงตาตุ่ม “พวกเราวางแผนได้แย่ที่สุด นี่เป็นความประมาทของข้าเอง เมื่อวานงูขาวติดตามเขาไปก็ถูกพบเข้าเสียแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ไม่เคลื่อนไหวอะไรเลย บางทีเขาอาจต้องการให้เราตายใจให้พวกเราคิดว่าเป้าหมายของเขาคือฝ่าบาทเป็นแน่”
“แต่ฝ่าบาทไม่อยู่แล้วจริงๆ!”
หมิงเวยพูดต่อ “เมื่อครู่ข้าใช้เคล็ดวิชาตรวจสอบตำแหน่งของเขาพบว่าคนผู้นั้นไม่อยู่ในค่ายนี้แล้ว”
หยางชูตกใจ “ท่านจะบอกว่าพ่อมดนั่นไม่อยู่ในค่ายแล้วหรือ”
หมิงเวยพยักหน้า “ทหารรักษาพระองค์เหล่านี้ถูกมอมยาที่เขาให้ไว้ล่วงหน้า พวกเราตกหลุมพรางเข้าแล้ว”
ในเมื่อกลายเป็นเช่นนี้แล้วหยางชูถอนหายใจแล้วคิดจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยเขาบอกว่า “เช่นนั้นเป็นไปได้สูงว่าเขาหนีออกไปตอนที่พวกเราล่าสัตว์”
“อืม…” มีเฉพาะในตอนนั้นเท่านั้นที่มีคนเข้าออกค่ายเป็นจำนวนมากซึ่งไม่สามารถป้องกันได้
“ไม่ต้องสนใจเรื่องนี้” หยางชูโบกมือ “สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือตามหาฝ่าบาทก่อนไม่เช่นนั้น…”
หากเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาทเจี่ยงเชิ่งก็จะได้ขึ้นครองราชย์…อย่างไรเสียฝ่าบาทก็ตายตอนนี้ไม่ได้!
ทั้งสองมองหน้ากัน และหมิงเวยก็พูดขึ้นว่า “ท่านถอนกำลังคนออกทันทีและค้นหาที่อยู่ของฝ่าบาท ที่นี่ปล่อยทิ้งไว้อย่างนี้แหละ ข้าจะตรวจสอบอีกครั้งเพื่อดูว่าพ่อมดนั่นทิ้งเบาะแสอะไรไว้หรือไม่”
“ได้!” ทั้งสองตอบตกลงและแยกย้ายกันไป
ในเวลานี้ไท่จื่อเจียงเชิ่งได้นำทหารไปยังค่ายที่ฮ่องเต้ประทับอยู่
………..
“อาจารย์ ศิษย์ไม่อยากเป็นกบฏ” เจี่ยงเหวินเฟิงอ้อนวอน
ฟู่จินถอนหายใจอย่างเงียบๆ ราวกับว่าเขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ เขาหยิบตราประทับออกมาจากแขนเสื้อและเล่นกับมันอย่างระมัดระวัง
“ตอนที่ข้ายังเยาว์ ข้าได้เดินทางไปทั่วใต้หล้าฝากตัวเป็นศิษย์ไปทั่วทุกที่ ปรารถนาที่จะเป็นนักวิชาการอันดับหนึ่งในใต้หล้านี้ ในบรรดาอาจารย์ที่ข้ากราบไหว้ มีอาจารย์แซ่กู้ท่านหนึ่งนามของเขาเป็นที่รู้จักของทุกคน เขาเคยเป็นราชครูของไท่จื่อ ตอนที่ข้าไหว้เขาเป็นอาจารย์ เขาก็ได้ลาออกและกลับบ้านเกิดเพื่ออยู่อย่างสันโดษ ข้าติดตามเขาเป็นเวลาสามปี และในปีที่สามก็มีแขกอันทรงเกียรติท่านหนึ่งมาหาอาจารย์กู้ที่หนานซี”
“อาจารย์…” ท่านอย่าเล่าต่อเลยเรื่องพวกนี้เขาไม่อยากรู้เลยสักนิด!
แต่มีหรือที่ฟู่จินจะสนใจเขาอีกฝ่ายเล่าต่อว่า “เขาแก่กว่าข้าถึงสิบปี นิสัยตรงไปตรงมา ท่าทางดูสง่างาม อาจารย์กู้บอกว่าเขาเป็นลูกศิษย์ที่ดีที่สุดตั้งแต่ที่เขาเคยสอนมา ตอนนั้นข้ายังเด็กนักจึงรู้สึกยอมไม่ได้ ข้าต้องสู้กับเขาเพื่อรู้แพ้ชนะ แต่เขากลับไม่โกรธเคืองอะไร และยังยอมแข่งกับข้าแต่โดยดี”
“พูดตามตรง เขาเก่งมากจริงๆ แต่ในเรื่องความรู้ข้าเก่งกว่านิดหน่อย และต่อมาเขาก็มอบตราประทับนี้แก่ข้า” ฟู่จินเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยรอยยิ้ม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนผู้นั้นคือผู้ใด”
เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้า เขาเลิกดิ้นรนแล้ว
“ซือฮว๋าย เป็นพระสมัญญานามของเขา ในตอนนั้นพวกเราทุกคนเรียกเขาว่าไท่จื่อ” ฟู่จินโยนตราประทับอันล้ำค่านี้ลงกับโต๊ะจนมันกลิ้งหลายตลบ เขาไขว้มือไว้ด้านหลังเพื่อรองศีรษะแล้วนั่งไขว่ห้าง จากนั้นก็เอนตัวพิงพนักเก้าอี้
เจี่ยงเหวินเฟิงอยากจะพูดว่า อาจารย์ ท่านเป็นบุรุษอายุสี่สิบห้า ไม่ควรทำตัวขี้เล่นเช่นนั้นนั่นเป็นนิสัยของเด็กหนุ่มต่างหาก
แต่เขาทำไปแล้วคงไม่อายแม้แต่น้อยเลยจริงๆ…
“ที่จริงข้าไม่มีความคิดที่จะเข้าร่วมกับพวกเขาเลย ข้ามุ่งมั่นที่จะเป็นนักวิชาการผู้ยิ่งใหญ่ แต่ต้องยอมจำนนต่ออำนาจฮ่องเต้จะให้ทำอย่างไรได้ คนสูงศักดิ์อย่างข้าจึงต้องมองข้ามชื่อเสียงและความมั่งคั่งไม่สนใจมัน”
“….” เขาไม่เคยเห็นผู้ใดชมตัวเองขนาดนี้มาก่อน และไม่เคยรู้มาก่อนว่าอาจารย์ฟู่จะเป็นคนเช่นนี้ “หลังจากนั้นเขาก็กลับไปและข้าก็ได้กล่าวลาอาจารย์กู้เพื่อมองหาอาจารย์ท่านอื่นต่อและเวลาก็ผ่านไปในชั่วพริบตา…”
“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ข้าได้ยินข่าวเกี่ยวกับเขาไม่ขาดสาย การต่อสู้ระหว่างองค์ชายเริ่มดุเดือดขึ้นมีคนบอกว่าไท่จื่อบ่นว่าตนเองดำรงตำแหน่งไท่จื่อมายี่สิบปีแต่ยังไม่ไปถึงจุดสูงสุดสักที ฮ่องเต้ทรงกริ้วจึงปลดไท่จื่อและครอบครัวให้เป็นเพียงสามัญชนและส่งเขาไปอี้โจว จากนั้นไม่นานฮ่องเต้ไท่จู่ก็ถูกเตือนสติ รับรู้ว่าไท่จื่อถูกปรักปรำจึงส่งคนไปตามเขากลับมาเมืองหลวง”
เมื่อถึงตรงนี้น้ำเสียงของฟู่จินแฝงไปด้วยความรู้สึกเล็กน้อยว่า “ในปีนั้นข้าเพิ่งเข้าเมืองหลวงและกำลังจะไปเรียนต่อที่สถานศึกษาซานไถได้พบกับการโจรกรรมบนท้องถนน…”
ในที่สุดเจี่ยงเหวินเฟิงก็ไม่ขัดขืนเขาถอนหายใจ “อาจารย์ เรื่องนี้เป็นเรื่องเก่าและผ่านไปนานแล้วแม้ซือฮว๋ายไท่จื่อจะได้รับความไม่เป็นธรรม แต่เขาก็…”
ฟู่จินหัวเราะน้ำเสียงของเขาฝืดเล็กน้อย “เจ้าผิดแล้ว เขาตายไปแล้วก็จริงแต่ลูกหลานของเขายังไม่ตาย และข้าก็สัญญาไว้ว่าจะปกป้องชีวิตเด็กคนนั้น”
ราวกับว่าเขาย้อนกลับไปในปีนั้นคนผู้นั้นส่งเด็กทารกในห่อผ้าให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งจากนั้นก็ดึงมือเขาออกไป “ศิษย์น้อง หากชะตาของเด็กคนนี้ยังไม่ถึงฆาต ได้โปรด…ให้โอกาสเขาด้วย”
…………