ผู้คนมารวมตัวกันที่กระโจมกลางมากขึ้นเรื่อยๆ เจียงเชิ่งยิ่งรู้สึกลำบากใจมากขึ้น กัวสู่และหลางอวี่ยังทะเลาะกันอย่างหนักจนแม้แต่คนอื่นๆ ก็เข้าร่วมการทะเลาะวิวาทด้วย
เหวินยวนเห็นบิดารีบเดินมาทางนี้ และกวักมือเรียกเขาให้ไปหาจากนั้นก็พูดคุยด้วยสองสามประโยค ดวงตาของเหวินยวนเบิกกว้างด้วยความตกใจเขาพูดด้วยเสียงตะกุกตะกัก “นี่…จะทำได้อย่างไร”
เฉิงเอินโหวพูด “ทำไมจะไม่ได้ไม่ใช่ว่ามีคนสนับสนุนให้ทำเรื่องนี้อยู่แล้วหรือ”
“แต่…” เหวินยวนอึกอัก
“ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาตัดสินใจ” เฉิงเอินโหวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจ้าไปบอกไท่จื่อก็พอ”
เหวินยวนละล่ำละลัก แต่ด้วยอำนาจที่มีมายาวนานของบิดาทำให้เขาไม่สามารถคัดค้านอะไรได้ “ขอรับ”
เหวินยวนกลับมาแล้วดึงไท่จื่อไปอีกด้านหนึ่งเงียบๆ แล้วพูดว่า “ไท่จื่อ ให้แม่ทัพหลางบุกเข้าไปข้างในเถิด”
เจียงเชิ่งขมวดคิ้ว “แบบนั้นมันเสี่ยงมากเลยนะ…”
“ไท่จื่อ!” เหวินยวนพูดตัดบทเขาและส่งสายตาให้ “ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรล้วนมีความเสี่ยงทั้งนั้นยิ่งกว่านั้นความเสี่ยงถือเป็นโอกาส” เจียงเชิ่งผงะไปครู่หนึ่ง หัวใจของเขาเต้นแรงและเขาก็เข้าใจขึ้นมาทันที
หากเสด็จพ่อถูกจับตัวไปจริงๆ การบุกเข้าไปเช่นนี้ อาจเกิดผลลัพธ์ได้สองอย่าง หนึ่งคืออีกฝ่ายไม่กล้าลงมือซึ่งตนก็จะสามารถช่วยเสด็จพ่อได้อย่างราบรื่น สองอีกฝ่ายถูกกระตุ้นจนต้องลงมือและเกิดเรื่องกับเสด็จพ่อ…
ไม่ว่าทางไหนล้วนมีความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงนั้นกลับเป็นโอกาสสำหรับตน!
หากช่วยเสด็จพ่อได้อย่างราบรื่น เขาก็ไม่ต้องกังวลว่าท่านจะกริ้วอะไรอีกและหากเกินอุบัติเหตุไม่คาดฝันกับเสด็จพ่อ ถ้าเช่นนั้นเขาที่เป็นไท่จื่อ…
เจียงเชิ่งหัวใจเต้นแรง เขาเกือบจะจินตนาการถึงอนาคตที่งดงามแล้ว!
ไม่ต้องกังวลกับความกลัวไม่ต้องปวดหัวอีกต่อไป แม้แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าอย่างหลังเป็นผลที่ดีที่สุด
“ไท่จื่อ!”
เหวินยวนมองมือของเจียงเชิ่งสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เขารีบจับมือของอีกฝ่ายและกระชับไว้แน่น “ท่านต้องสงบสติอารมณ์ไว้! ฝ่าบาทกำลังรอให้ท่านไปช่วยอยู่!”
เจียงเชิ่งพยักหน้าแล้วเดินกลับไป “ทุกท่าน พวกเราเกรงว่าจะถูกหลอก คนผู้นี้จับตัวเสด็จพ่อไว้ไม่ว่าพวกเราจะตะโกนอย่างไรก็ไม่ได้รับการตอบกลับ นั่นหมายความว่าอย่างไร เราให้โอกาสที่ดีเช่นนี้แต่อีกฝ่ายไม่แม้จะตอบรับ เหมือนว่ากำลังถ่วงเวลาอยู่ใช่หรือไม่”
หลางอวี่สนับสนุนให้บุกเข้าไปเมื่อได้ยินคำพูดนี้เขาก็ตอบรับเสียงดัง “ไท่จื่อตรัสมาก็ถูก! ถ่วงเวลาเช่นนี้ต้องถ่วงเวลาไปถึงเมื่อไร เวลายิ่งผ่านไปนานฝ่าบาทยิ่งเป็นอันตราย”
เจียงเชิ่งพูดเสียงดัง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้! ข้าตัดสินใจว่าให้พวกเราบุกเข้าไปช่วยเสด็จพ่อ!”
“ไท่จื่อ!” กัวสู่ไม่เห็นด้วย “แม้พระองค์จะตัดสินใจเคลื่อนไหว แต่ก็บุกเข้าไปเช่นนี้ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะต้องคิดหาวิธีรับมือให้ดีก่อน หากไปกระตุ้นอีกฝ่ายเข้าจนทำร้ายฝ่าบาทขึ้นมาจะทำอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงเชิ่งยกมือขึ้นแล้วพูดเสียงดัง “เพราะฉะนั้นข้าถึงตัดสินใจเลือกบุกเป็นทางแรก หากคนร้ายคิดร้ายต่อเสด็จพ่อข้าจะขัดขวางอย่างสุดกำลัง!”
“นี่…” กัวสู่อยากบอกว่าหากคนร้ายจะทำร้ายฝ่าบาทจริงๆ จะขัดขวางอย่างไร เรื่องนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตาจะผ่านก็ผ่านไปไม่ได้ยิ่งไปกว่านั้นฮ่องเต้ตกอยู่ในอันตราย ไท่จื่อต้องปกป้องตนเองด้วยหากเกิดอะไรขึ้นกับทั้งสองจะเกิดปัญหาใหญ่ตามมา
แต่ไม่ต้องรอให้เขาพูดออกไปหลางอวี่ก็พูดขึ้นว่า “ที่ไท่จื่อตรัสมาก็ถูก! กระหม่อมยินดีที่จะเป็นแนวหน้าบุกเข้าไป ปกป้องไท่จื่อมีทหารกล้าคนใดยินดีที่จะไปกับข้าบ้าง”
เขาตะโกนออกไปเช่นนั้นคนที่ต้องการเป็นที่โดดเด่นจริงๆ ก็มีคนสองสามคนตอบรับไม่นานก็เกิดกลุ่มเล็กที่มีคนจำนวนเจ็ดแปดคน
กัวสู่พยายามเกลี้ยกล่อม “ไท่จื่อ พระองค์ตัดสินใจบุกเข้าไปเช่นนี้ พวกเรามาคุยเรื่องนี้กันอีกทีดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ หากประมาทเกินไป…”
เจียงเชิ่งพูดตัดบท “กัวเซียงไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเต็มใจเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอันตราย ขอเพียงช่วยเสด็จพ่อได้ก็พอ!”
หลางอวี่พูดจาเสียดสี “กัวเซียงห้ามไท่จื่อ ท่านไม่ต้องการให้ไท่จื่อเข้าไปช่วยฝ่าบาทงั้นหรือ”
กัวสู่โกรธจนควันออกหู “ท่านพูดจาไร้สาระอะไร”
“ในเมื่อกัวเซียงไม่ได้คิดเช่นนั้นก็จงยืนดูเถิด!”
กัวสู่ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเขาได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงดูเจียงเชิ่งหาเรื่องโดยไม่คำนึงถึงอันตรายที่จะมาถึงตัว มองดูพวกเขาสวมชุดเกราะทีละคน แล้วหลางอวี่ก็ตะโกนให้รีบเข้าไปในกระโจม
เจียงเชิ่งตะโกนขึ้น “เสด็จพ่อ ลูกกำลังจะไปช่วยท่านแล้ว!” จากนั้นก็บุกเข้าไป
ไม่รอให้มีการเคลื่อนไหวภายในกระโจมคนด้านนอกก็พบว่า “ดูนั่น มีคนมาทางนี้!”
ภายใต้ความมืดมิดไฟกลุ่มหนึ่งเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เสียงฝีเท้าที่เดินเป็นระเบียบเรียบร้อยบ่งบอกว่าพวกเขาคือกองทหารประจำการ
ทหารที่ผู้บัญชาการทหารจัดให้คุ้มกันด้านหน้าตะโกนขึ้น “ผู้มาเยือนคือผู้ใด ยังไม่หยุดอีก!”
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น “ฝ่าบาทอยู่ที่นี่ยังไม่รีบคุกเข่าอีก!”
ผู้บัญชาการกองทหารรักษาพระองค์นำทหารชั้นยอดล้อมรอบคุ้มกันฮ่องเต้และสนมทั้งสองเข้ามาในค่าย ทุกคนตกใจพวกเขามองไปที่กระโจมแล้วก็สลับไปมองฮ่องเต้
นั่นคือผู้บัญชาการทหารไม่ผิดแน่ นั่นก็เผยกุ้ยเฟยและฮุ่ยเฟยไม่ผิดเช่นกัน แสดงว่าพระองค์คือฮ่องเต้ตัวจริง แล้วผู้ที่อยู่ในกระโจมนั่นคือ…
“ถวายบังคมฝ่าบาท” ไม่ต้องคิดอะไรมากมายเหล่าขุนนางทุกคนพร้อมใจกันคุกเข่าลง ฮ่องเต้พยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย และเดินไปที่กระโจมกลางภายใต้การดูแลของกองทหารรักษาพระองค์
ม่านถูกยกขึ้นอีกครั้งตัดขาดกับสายตาจากคนด้านนอกทำให้พวกเขารู้สึกสับสนมากยิ่งขึ้น ข้างในเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เมื่อฮ่องเต้เสด็จเข้าไปในกระโจมภาพที่เห็นคือคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในความสับสนมึนงง ภายในกระโจมกลาง ทหารรักษาพระองค์นายหนึ่งถูกมัดไว้กับเก้าอี้ ซึ่งมัดไว้อย่างแน่นหนา
นี่เป็นการประสานงานภายในก่อนหน้านี้ ตอนที่ฮ่องเต้เคลื่อนย้ายได้จับเขามามัดไว้ที่นี่ ก่อนที่กระโจมจะถูกล้อมเขากลัวว่าตนเองจะถูกพบเข้าจึงเตะของออกไปทีละชิ้นเพื่อถ่วงเวลา
สีหน้าของฮ่องเต้มืดครึ้ม พระองค์มองทหารรักษาพระองค์นายนั้นแล้วถามไท่จื่อ “นี่คือวิธีช่วยชีวิตของเจ้างั้นหรือ”
เจียงเชิ่งหน้าซีดเขาหมอบด้วยความกลัวจนหัวใจเต้นรัว “เสด็จพ่อ…”
ฮ่องเต้โบกมือด้วยความรู้สึกเหน็ดเหนื่อย “เจิ้นไม่เป็นอะไรแล้ว กลับไปเถอะ”
เจียงเชิ่งสับสนอยู่ครู่หนึ่งเขาไม่รู้ว่าบิดาพอใจหรือไม่พอใจตนกันแน่ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ทำได้เพียงตอบรับและถอนตัวออกไป
หลังออกจากกระโจมลมพัดวูบหนึ่งทำให้เจียงเชิ่งได้สติขึ้นมา
แววตาของเสด็จพ่อเห็นได้ชัดว่าไม่พอใจตนมาก!
ทำไมตนถึง…
เจียงเชิ่งไม่สนใจว่าความวุ่นวายนี้จะจัดการอย่างไรดี เขาเดินกลับไปที่กระโจมของตนเองด้วยความงุนงง แต่เมื่อกำลังจะเดินเข้าไปกลับได้ยินเสียงดังมาจากด้านใน
“องค์ชายจะให้ไท่จื่อจัดการจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะมันจะไม่เป็นผลดีอย่างใหญ่หลวงต่อองค์ชายเลย”
“เขาทำไม่ได้หรอก” เสียงราบเรียบพูดขึ้น “ตอนนี้เขาคงคิดอะไรไม่ออกแล้ว รอคนอื่นเรียกสติ กว่าเขาจะนึกถึงความเป็นไปได้นั้นเจ้าคิดว่าเขาจะทนได้หรือ ขอเพียงเกิดเรื่องกับเสด็จพ่อ เขาก็สามารถขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้จึงไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร”
เจียงเชิ่งตกตะลึง นั่นเป็นเสียงของ…น้องรองกับองครักษ์ของเขาไม่ใช่หรือ
เขาได้ยินองครักษ์ของอีกฝ่ายพูดว่า “…ไม่จำเป็นต้องให้องค์ชายลงมือก็ทำให้เขาสูญเสียความโปรดปรานจากฝ่าบาทได้”
เจียงเชิ่งโกรธจัด! เขายกม่านขึ้นแล้วก้าวเท้าเข้าไปทันที
ในเวลาเดียวกันเจียงเฉิง และองครักษ์รู้สึกชาที่จุดเลือดลม และทันใดนั้นพวกเขาก็สามารถเคลื่อนไหวได้
“พี่…” ยังไม่ทันพูดคำว่าใหญ่ออกมาจู่ๆ เจียงเฉิงก็ถูกเตะจนล้มลง
เจียงเชิ่งหัวเราะเสียงเย็น “ต่อหน้าข้าเจ้าแสร้งทำเป็นซื่อสัตย์ ที่แท้เจ้าก็คิดเล่นงานข้าตลอดเวลา! เจียงเฉิงเจ้านี่มันเจ้าแผนการจริงๆ”
“พี่ใหญ่ ข้าอธิบายได้นะ!” เจียงเฉิงอยากจะร้องไห้
ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าที่คนร้ายพวกนั้นบอกต้องการยืมตัวตนของเขาหมายความว่าอย่างไร
จบแล้วเขายังไม่อยากสู้แบบตัวต่อตัวกับไท่จื่อหรอกนะ!
แต่เจียงเชิ่งจะรับฟังได้อย่างไรอีกฝ่ายแทบจะกระโดดกัดเนื้อเขาด้วยความโกรธอยู่แล้ว
ภายในกระโจมเกิดความวุ่นวายไท่จื่อและซิ่นอ๋องสองพี่น้องทะเลาะวิวาทกันจนเหล่าองครักษ์ต้องรีบเข้าไปไกล่เกลี่ย
ในตอนนั้นพวกหมิงเวยทั้งสามคนได้ออกจากกระโจมทางช่องว่างที่กรีดออกทางด้านหลังพวกเขายิ้มให้กันและเดินออกไปอย่างเงียบๆ