สถานศึกษาซานไถได้ปลูกต้นกุ้ยฮวยบนพื้นที่กว้างใหญ่ เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง กลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวาส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งสถานศึกษาทำให้ผู้คนที่สัญจรผ่านมาล้วนรู้สึกสดชื่น
ฟู่จินสร้างห้องใต้หลังคาตรงครึ่งทางขึ้นเขาโดยครึ่งหนึ่งหันหน้าเข้าหาหน้าผาและล้อมรอบด้วยต้นกุ้ยฮวย เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วงก็จะได้ชมทะเลหมอกและดื่มสุราที่ห้องใต้หลังคาอย่างสบายอารมณ์
เจี่ยงเหวินเฟิงรู้มานานแล้วว่าฟู่จินมีห้องใต้หลังคา เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเป็นสถานที่เช่นนี้ เขายังคิดว่าคนสุภาพเรียบร้อยเช่นอาจารย์ ห้องใต้หลังคาจะต้องเต็มไปด้วยหนังสือวรรณกรรม สะสมภาพเขียนต่างๆ ปกติหากเขาไม่แข่งประชันกลอนก็จะพูดสำบัดสำนวน
พอมาที่นี่ถึงได้รู้ว่าอาจารย์สะสมวรรณกรรมเกี่ยวกับผี! ภาพเขียนเกี่ยวกับผี! ด้านในมีแต่เครื่องแก้วสุรา! หับไหเหล้านานาชนิด!
ถ้วยทอง ถ้วยหยก ถ้วยกระเบื้อง ถ้วยเรืองแสง สุราข้าวฟ่าง สุราเหมาไถ สุราเจี้ยนหนานชุนล้วนมีหมด!
“องุ่นเหล้าล้ำเลิศ ถ้วยบรรเจิดเพริศพราวตา…” ฟู่จินเอ่ยขณะที่หันหน้าไปทางระเบียงของหน้าผา เขานั่งไขว่ห้าง มือถือแก้วสุราเอนตัวลงบนเก้าอี้เอนกายแล้วโยกไปมาอย่างมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ
ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ เจี่ยงเหวินเฟิงซึ่งนั่งตัวตรงสายตามองไปที่เท้าของอีกฝ่ายที่เหยียดออกไปตามระเบียง “อาจารย์ท่านไม่กลัวตกหรอกหรือ”
ฟู่จินตอบ “เจ้าศึกษามาอย่างไรกัน ข้านั่งเตี้ยถึงเพียงนี้ เท้าอยู่สูงจะตกลงไปได้อย่างไร”
เจี่ยงเหวินเฟิงกระตุกมุมปาก “ท่านก็รู้ว่าขาของท่านไม่ได้ยืดสูงถึงเพียงนั้น”
เท้าอยู่สูงกว่าศีรษะยังดูมีความสง่างามอยู่อีกหรือ
ฟู่จินถามเสียงดุ “ทำไม เจ้าไม่พอใจอาจารย์งั้นหรือ”
เจี่ยงเหวินเฟิงพูดด้วยสีหน้าว่างเปล่า “ศิษย์ไม่กล้าขอรับ” หากพูดว่าใช่ตนจะยังมีชีวิตถึงวันพรุ่งนี้หรือ หลังจากดื่มเหล้าองุ่นเรียบร้อยเขาก็เปลี่ยนเป็นถ้วยซีเจี่ยว
เจี่ยงเหวินเฟิงใช้เวลาหนึ่งวันและยังไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัดเขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “อาจารย์ ท่านจะทำอะไรกับแม่นางหมิงกันแน่”
ฟู่จินรู้สึกประหลาดใจ “ทำอะไร ข้าต้องทำอะไรงั้นหรือ”
เจี่ยงเหวินเฟิงเองก็แปลกใจ “ท่านไม่ทำอะไรงั้นหรือ เห็นท่านถามละเอียดถึงเพียงนั้น”
เมื่อคืนฟู่จินถามเขาเกี่ยวกับแม่นางหมิงเป็นเวลานาน ถามตั้งแต่เรื่องตระกูลหมิงไปจนถึงเรื่องต่างๆ ที่นางทำในเมืองหลวง ช่วงเวลาแปดเก้าเดือนนี้เจี่ยงเหวินเฟิงเล่าจนปากแห้ง
เขาถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่รำคาญด้วยซ้ำ นั่นไม่ใช่เพราะอยากทำอะไรงั้นหรือ เขาตัดหัวตนเองออกมาแล้วด้วยซ้ำ!
เหล้าขาวถูกเทลงถ้วยซีเจี่ยวฟู่จินดมกลิ่นหอมของมันแล้วพูดว่า “แม่นางหมิงที่เจ้าพูดถึงไม่ใช่คนธรรมดา!”
เจี่ยงเหวินเฟิงคิดในใจ ไร้สาระ! เรื่องนี้ไม่ต้องสรุปก็ได้
แต่เมื่อฟู่จินจิบสุราหนึ่งคำเขาก็พูดต่อว่า “ละมั่งนอนเขาแขวนต้นไม้ ไม่หลงเหลือซึ่งร่องรอย[1] แม่นางผู้นี้ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่จู่ๆ ก็เข้ามาพัวพันกับเรื่องเหล่านี้”
เจี่ยงเหวินเฟิงตกใจ “อาจารย์…”
ฟู่จินหัวเราะ “คดีที่ตงหนิง หากเจ้าไม่ได้พบกับนางจะเป็นอย่างไรพวกเจ้าหากระดูกของสายลับไม่พบ หากหาดวงวิญญาณของเขาไม่เจอ หรือไม่แม้แต่รู้ถึงความผิดปกติของตระกูลหมิง คดีกบฏนี้แม้ว่าเจ้าจะพบหลักฐานของการกบฏ แต่ผู้บงการอยู่เบื้องหลังกลับหนีไปได้ กุ้ยจินหยาง ซูรื่อฉู่อะไรนั่น เจ้าไม่สามารถหาได้แม้กระทั่งการมีอยู่ของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ! นายท่านสามตระกูลหมิงงั้นหรือ แค่คนตายคนเดียวผู้ใดจะไปสงสัยกัน” เจี่ยงเหวินเฟิงพยักหน้าเขาเองก็คิดเช่นนั้น
“เพราะฉะนั้นปัญหามาถึงแล้ว”
ฟู่จินวางถ้วยสุราบนโต๊ะ “แม่นางผู้นี้มาจากที่ใดกันแน่ นางเชื่อมต่อพวกเจ้าเข้าด้วยกันทีละคน และไขคดีนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
“….” เจี่ยงเหวินเฟิงจมอยู่ในความคิด
“นอกจากนี้เจ้าที่ยุ่งกับงานราชการมาก แต่กลับหาเวลาออกมาเพื่อนาง คงไม่ใช่เพียงเพราะมิตรภาพของเจ้ากับนางที่ตงหนิง แต่เป็นเพราะเจ้าติดหนี้บุญคุณนางอย่างใหญ่หลวงใช่หรือไม่เจ้าจึงต้องตอบแทน” เจี่ยงเหวินเฟิงตกใจ
ฟู่จินเหลือบมองแล้วยิ้มบางๆ ออกมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้จงอย่ากลัว ข้าไม่ถามเหตุผลเจาะจงกับเจ้าหรอก แต่อยากถามเจ้าเรื่องหนึ่ง”
“…อาจารย์เชิญพูดมาเถิด”
“นางช่วยเจ้าเป็นเพราะนางมีจุดประสงค์ใช่หรือไม่”
เจี่ยงเหวินเฟิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “นางบอกว่ารอให้ข้ามีตำแหน่งที่สูงกว่านี้แล้วจะบอกว่าต้องการให้ช่วยอะไรนางขอรับ”
ฟู่จินพยักหน้า “ถูกแล้ว”
“อาจารย์” เจี่ยงเหวินเฟิงถาม “ท่านรู้อะไรหรือ”
ฟู่จินเทเหล้าลงในแก้วแต่ละแก้วไม่มากก็น้อยจากนั้นก็หยิบตะเกียบแล้วเคาะเบาๆ ส่งเสียงไพเราะราวกับเสียงเพลง
“นางเป็นคนนอก แต่หากไม่มีนางคดีความที่ตงหนิงคงไม่ได้ข้อสรุปอย่างสมบูรณ์ ไม่มีนางเสวียนตูกวันคงไม่มีทิศทางเช่นนี้ ไม่มีนาง…”
ฟู่จินชะงักเขาเคาะตะเกียบอย่างแรง และถ้วยก็ส่งเสียงคร่ำครวญ
เขาโยนตะเกียบออกไปแล้วยกถ้วยขึ้นดื่มจากนั้นก็พูดว่า “วันที่ข้ารอคอยคงไม่มาถึง!”
……………
ช่วงเวลาเทศกาลชิวเลี่ยในรอบสิบปีผู้ใดจะคาดคิดว่าจะจบลงเช่นนี้
กองทหารรักษาพระองค์ที่สูญเสียประสิทธิภาพการต่อสู้หลังจากถูกคนร้ายแฝงตัวเข้ามาในทีมล่าสัตว์ โชคดีที่ฮ่องเต้ทรงมีไหวพริบวางแผนซ้อนแผนจึงจับตัวคนร้ายได้สำเร็จ
ดังนั้น ในเวลาเพียงสองวันเทศกาลชิวเลี่ยจึงได้สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว
หมิงเวยขึ้นรถม้าและเห็นละอองฝนข้างนอก
“เด็กหนุ่มฟังเสียงเพลง ณ หอคณิกา เทียนสีแดงส่องแสงหรี่ช่างดูสลัว ชายวัยกลางคนนั่งเรือมองดูฝนโปรยปราย บนแผ่นน้ำกว้างใหญ่ ห่านตัวหนึ่งร้องไห้สะอื้น จนตอนนี้…” หมิงเวยท่องไปได้ครึ่งทางก็หัวเราะ นางคิดคะนึงมากมายเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันนะ
เสียงของจี้หลิงดังลอดมาจากอีกฝั่งของม่าน “น้องหญิง น้องยังเด็กอยู่มาพูดถึงช่วงชีวิตเช่นนี้เหมือนคิดว่าตนเองอายุมากแล้วนะ”
หมิงเวยยิ้ม “พี่ใหญ่จะบอกว่าอนาคตไม่ต้องกังวลอะไรงั้นหรือ”
เมื่อคิดถึงตอนที่นางยังเด็กจะเรียนศิลปะหรือวิ่งไปตามถนนเพื่อปราบปีศาจและขับไล่ความชั่วร้าย จริงๆ แล้วไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแม้แต่น้อย
“ใช่แล้ว” หมิงเวยพิงหน้าต่างรถมองดูท้องฟ้าที่มืดมิด
ขบวนกลุ่มล่าสัตว์ในเทศกาลชิวเลี่ยที่ทอดยาวจนไม่สามารถมองเห็นหัวขบวนได้ทำให้นางมองไม่เห็นว่าหยางชูอยู่ที่ไหน นางคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติ
วันนั้นพวกเขาแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเอง แต่หยางชูไม่เคยมาหานางเลย นางให้ตัวฝูไปถาม แต่อาหว่านบอกว่าเขาไม่อยู่ อย่าพูดถึงว่าจำเป็นต้องให้ทั้งสองฝ่ายรับรู้เรื่องนี้เลย แม้ว่าจะไม่ต้องการ แต่เขาก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อพบนางเสมอ
แต่จู่ๆ ก็ไม่มาหานางเลย มันแปลกเกินไป เขาจะไม่สามารถมาพบนางได้เลยหรือ… เสียงม้าดังขึ้นข้างหูมีทหารนายหนึ่งขี่ม้าบดบังวิสัยทัศน์ของนาง
หมิงเวยลืมตาขึ้นแล้วพบว่าเป็นเสวียนเฟย
“ไม่ต้องมองหาแล้ว เขาไม่มาหรอก” หมิงเวยเกือบคิดว่าตนเองได้ยินผิด แต่เสียงที่ไพเราะเช่นนี้นอกจากเสวียนเฟยแล้วจะมีผู้ใดได้อีก
หมิงเวยลูบหูที่ชาแล้วถามว่า “ท่านรู้อะไรมาหรือเจ้าคะ”
เสวียนเฟยยิ้มเขาไม่ตอบแต่กลับถามว่า “ท่านรู้มานานแล้วใช่หรือไม่ว่ารูปลักษณ์ของเขาต่างออกไป”
หมิงเวยชะงักดูเหมือนเสวียนเฟยอยากจะพูดกับนาง แต่ก็พึมพำกับตนเอง
“ยังพยายามไม่เต็มที่นะ! ก่อนหน้านี้ทำไมถึงไม่สังเกตเห็นเลยว่ารูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไป”
“….”
เสวียนเฟยหันศีรษะกลับมาและมองต่ำลงมาที่นางใบหน้าอันหล่อเหลาดูมีความสุขที่ชนะนาง “ท่านก็มีช่วงเวลาที่ไม่สามารถตอบได้ด้วยงั้นหรือ”
จู่ๆ หมิงเวยก็ยิ้มอย่างสดใส “ใช่เจ้าค่ะ! ข้าสังเกตเห็นว่ารูปลักษณ์ของเขาผิดตั้งแต่แรกเห็น ท่านเพิ่งรู้เอาตอนนี้มันเกินความคาดหมายของข้าเล็กน้อย เดิมทีข้าคิดว่าลูกศิษย์สายตรงของราชครูซูสิงอาจจะ…ช่างน่าผิดหวังเล็กน้อย!”
เสวียนเฟยพ่นลมหายใจแล้วหันหน้าไปทางอื่น “ดูเหมือนท่านจะไม่อยากฟังที่ข้าจะเล่าแล้ว” พูดจบเขาก็ดึงสายบังเหียนขึ้น
“เดี๋ยวเจ้าค่ะ!” หมิงเวยรั้งเขาไว้ “รีบจากไปเช่นนี้ข้านึกว่าท่านกินน้ำส้มสายชู[2]เสียอีก”
……………
[1] ละมั่งนอนเขาแขวนต้นไม้ ไม่หลงเหลือซึ่งร่องรอย มาจากตำนานที่ว่าละมั่งจะนอนโดยเอาเขาแขวนกับต้นไม้เพื่อไม่ให้เท้าติดพื้น หลีกเลี่ยงอันตรายยามหลับ ใช้มาสื่อถึงเรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหันโดยไม่อาจหาอะไรมาบรรยายได้
[2] กินน้ำส้มสายชู : หึงหวง