หยางชูจ้อง ‘คน’ ที่อยู่ตรงหน้าเขม็ง
ในชั่วพริบตากระดาษคนก็เปลี่ยนรูปร่าง นอกจากความสูงเท่าฝ่ามือนั้น รูปร่างหน้าตาเหมือนกันกับหมิงเวยทุกประการ แม้แต่รอยยิ้มก็เหมือนจนแยกไม่ออก
‘นาง’ สำรวจหยางชูตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วพูดว่า “ไม่เจอกันแค่สองวันก็โง่แล้วหรือ ท่านจำไม่ได้แล้วหรือว่าข้าคือผู้ใด”
หยางชูขยับริมฝีปาก “ท่านมาได้อย่างไร”
หมิงเวยไม่เคยเห็นเขาดูไร้ชีวิตชีวาถึงเพียงนี้มาก่อนนางจึงถามเขาว่า “ท่านอยากบินสักรอบหรือไม่”
หยางชูยิ้มเล็กน้อยในที่สุดเขาก็พยักหน้าและพูดด้วยท่าทีสบายๆ “ได้!”
เขาคิดในใจ บินอย่างไร ที่นี่คือคุกหลวงที่มีการป้องกันแน่นหนา แค่นางแอบส่งข้อความมาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแล้วจะพาเขาออกไปได้อย่างไร
แต่เขาก็เห็นว่าท่อนเหล็กตรงหน้าต่างถูกบิดออกมือเล็กๆ ของหมิงเวยเอื้อมมาหาเขา แล้วจู่ๆ ตัวเขาก็ลอยขึ้น
เห็นได้ชัดว่าหน้าต่างเล็กมากดูจากรูปร่างของเขาสามารถโผล่ออกไปได้แค่ศีรษะเท่านั้น แต่เมื่อเขาได้สัมผัสมันโดยไม่มีอะไรกีดขวางเลยได้ลอดผ่านออกไปแบบนั้นราวกับฝัน
หยางชูก้มหน้าลงแล้วเห็นว่าหมิงเวยในร่างเล็กค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างเป็นตัวเขาเอง จากนั้นก็นั่งอยู่ในคุกอย่างปกติ แล้วมือของเขาก็ถูกคว้าไว้
นี่เป็นมือจริงๆ ทั้งเรียวและนุ่ม อบอุ่นและมั่นคง
หยางชูพบว่าตัวเองล้มทับอะไรบางอย่าง และเมื่อเขาจ้องมอง มันก็กลายเป็นนกขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้หมิงเวยนั่งข้างกายเขาและส่งยิ้มให้
เมื่อเห็นรอยยิ้มของนางเขาก็สัมผัสได้ว่ามันคือความจริง
เขาออกมาแล้ว
เขาอยู่บนฟ้า
เขากำลังบินกับนาง
“มีเรื่องเล่าในบันทึกตำนานเหล่าเทพ บุตรสาวของฉินมู่กงนามน่งอวี้ ฝันถึงชายหนุ่มรูปงามที่เชี่ยวชาญในการเป่าขลุ่ย นางชื่นชมเขา ฉินมู่กงส่งคนไปตามหาเขาที่เขาฮว๋าชานแล้วเขาก็ได้พบกับเซียนนามเซียวฉื่อ ซึ่งเหมาะสมที่จะเป็นสามีของบุตรสาว หลายปีต่อมาทั้งสองสามีภรรยาค่อยๆ ฝึกฝนจนประสบความสำเร็จได้เป็นเซียน”
หมิงเวยหันศีรษะกลับมามองเขาด้วยรอยยิ้ม “ท่านเป็นลูกหลานราชวงศ์ ไม่ต่างอะไรกับน่งอวี้ ข้าหรือเล่นขลุ่ยเป็นพอดีเลย น่าเสียดายที่ข้าหาหงส์ไม่พบจึงใช้นกทำจากไม้แทน วันนี้พวกเรามาเลียนแบบคนโบราณกันเถิด เป็นคู่รักที่ร่อนเร่ไปทั่ว เป็นคู่สามีภรรยาที่ไม่แยกจากกันท่านว่าอย่างไร”
เมื่อเผชิญกับรอยยิ้มที่สดใสของนางริมฝีปากหยางชูสั่นอยู่นานในที่สุดเขาก็พูดขึ้นว่า “ข้าไม่ใช่สตรี…”
“แล้วอย่างไรเล่า ถ้าท่านเป็นหญิงข้าคงไม่ต้องการ” ไม่รอให้เขาเปิดปากอีก นางยกนิ้วขึ้นทำสัญญาณให้อีกฝ่ายเงียบ “อย่าทำให้เวลาดีๆ เสียเปล่าเลย”
พูดจบนางก็หยิบขลุ่ยมาจ่อที่ริมฝีปาก เสียงขลุ่ยเงียบสงัดปลิวไสวไปตามสายลมในฤดูใบไม้ร่วง หยางชูเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์สว่างราวกับน้ำค้างแข็ง และเห็นความเงียบสงบของสวรรค์และพิภพ
…………
นกไม้ตัวใหญ่ตกลงบนที่สูงที่คุ้นเคย และหยางชูก็เห็นเสวียนเฟยในชุดนักพรตเดินเข้ามา
หมิงเวยดึงเขาให้ลงจากนกไม้ตัวใหญ่ และพูดกับเสวียนเฟยว่า “ขอบคุณ!”
เสวียนเฟยชี้ไปที่นกตัวใหญ่ “ของข้า”
“ได้ๆๆ คืนให้ท่าน” หมิงเวยเตือนเขาอีกครั้ง “ยันต์นี้ใช้ได้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ท่านอย่าได้หลงระเริงล่ะ ตกลงมาจากฟ้ามันไม่สนุกเลย”
“คิดว่าข้าโง่งั้นหรือ” เสวียนเฟยพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เขากอดนกตัวใหญ่แล้วเดินจากไป หยางชูหันศีรษะและมองไปรอบ ๆ และพบว่าที่นี่คือหอดูดาวของเสวียนตูกวัน
“เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่กับเขาที่นี่ได้” หยางชูถาม
หมิงเวยยิ้ม “วันนี้ข้าสามารถไปรับท่านมาได้อย่างราบรื่นต้องขอบคุณเขา”
คุกหลวงมีอะไรให้น่าปล้นกัน แอบออกมาโดยไม่มีผู้ใดรู้เช่นนี้ เสวียนเฟยต้องใช้ความพยายามอย่างมาก คุกหลวงนอกจากมีการป้องกันที่แน่นหนาแล้ว ยังมีข่ายพลังที่เสวียนตูกวันลงไว้ เขาค่อยๆ เปิดช่องโหว่จากนั้นก็ให้หมิงเวยอาศัยโอกาสนี้พาเขาออกมา พูดตามตรงเรียกได้ว่าขโมยสิ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนเองนั่นเอง
“อ้อ” หยางชูพยักหน้า
หมิงเวยดึงเขาให้มานั่งที่ขอบหอดูดาว ความสูงหลายสิบจั้งก็เพียงพอแล้วที่จะนำแสงสว่างของชานเมืองเข้ามาสู่สายตา
“อารมณ์ดีขึ้นหรือไม่”
ได้ยินนางถามเช่นนั้นหยางชูก็อดไม่ได้ที่จะโกรธ “ข้าดูอารมณ์ไม่ดีตรงไหนกัน”
“ไม่งั้นหรือ”
“ไม่”
“ไม่ก็ดี”
หลังเงียบไปสักพักหยางชูก็อารมณ์ไม่ดีอีกครั้ง “แค่นี้หรือ”
หมิงเวยไหวไหล่ “ท่านอยากให้ข้าง้อหรือ”
หยางชูหน้าร้อนเขาหันไปทางอื่น “ผู้ใดอยากให้ท่านง้อกัน!”
“หากท่านไม่พูดข้าก็ไม่ง้อหรอกนะ!”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งหยางชูพูดขึ้นว่า “ท่านช่วยพูดอะไรให้ข้ามีความสุขได้หรือไม่”
รอยยิ้มของหมิงเวยหายไป “ท่านต้องการยังไม่ยอมรับอีก”
ทั้งสองคนคุยกันเรื่องไร้สาระมากมาย และในที่สุดหยางชูก็รู้สึกว่าเขายังมีชีวิตอยู่
เขามองไปที่ชานเมืองที่สว่างไสวแล้วพูดเสียงเบา “ท่านพาข้าออกมามีเรื่องอยากถามหรือ”
“เปล่า” รอยยิ้มของนางหายไปแทนด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้ามีบางอย่างอยากจะบอกท่าน”
หยางชูรู้สึกสับสนเล็กน้อยและหันไปมองนาง
หมิงเวยมองเข้าไปในดวงตาของเขาและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มีเรื่องที่ข้าไม่สามารถยืนยันได้ก่อนหน้านี้ข้าเลยไม่ได้บอกท่าน ตอนนี้เรื่องนี้ในที่สุดก็สามารถยืนยันได้แล้วข้าจึงอยากบอกท่าน”
“เรื่องอะไรหรือ”
“ชาติกำเนิดของท่าน” รอยยิ้มของหยางชูแข็งค้าง
หมิงเวยสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง “ท่านไม่อยากฟังหรือ”
หลังจากนั้นไม่นานหยางชูก็ตอบเสียงเบา “เมื่อก่อนข้าอยากรู้เรื่องนี้อยู่เสมอ แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมาข้าได้พบว่าไม่รู้เสียจะดีกว่า ข้าคาดหวังอะไรได้บ้าง บิดาที่ไม่สามารถปฏิบัติต่อบุตรของตนเองเช่นนั้นได้ ท่านย่าที่ไม่มีทางโกหกข้าโดยไม่มีเหตุผลที่ท่านทำเช่นนั้นคงเพราะมีปัญหาจนไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ข้าคิดว่าบางทีมันอาจจะดีที่สุดที่จะใช้ชีวิตตามที่ท่านย่าต้องการ”
“พูดเช่นนี้หมายความว่าท่านไม่อยากฟังใช่หรือไม่” หยางชูเม้มปากไม่พูดอะไร
“ท่านไม่อยากฟังก็ไม่เป็นไร” หมิงเวยพูด “ตราบใดที่ท่านบอกข้าด้วยตนเอง เรื่องนี้ข้าจะไม่พูดถึงอีก”
…………
เวลาดึกดื่นเผยกุ้ยเฟยยังคงนั่งอยู่ในตำหนักหลิงติงโดยที่ยังไม่ได้ชำระกายหรือเปลี่ยนเสื้อผ้า นางไม่ทำอะไร เพียงแค่นั่งอยู่ที่นั่นอย่างสงบ และลูบแหวนหยกในมือของตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“เหนียงเหนียง ดึกแล้วพักผ่อนเถิดเพคะ” นางในถามอย่างเป็นกังวล
เผยกุ้ยเฟยส่ายหน้าแล้วถามนาง “ฝ่าบาทเสด็จไปที่ใดหรือ”
นางในก้มหน้าแล้วตอบเสียงแผ่วเบา “ที่ตำหนักยุ่นซิ่วเพคะ”
ตำหนักยุ่นซิ่ว ตำหนักของฮุ่ยเฟย
ถึงฮุ่ยเฟยจะไม่ได้รับความโปรดปราน แต่ฮ่องเต้ก็เสด็จไปเยี่ยมนางอยู่เสมอ พระองค์แค่เสด็จไปพูดคุยกับนางไม่ได้พักที่ตำหนักด้วย
เผยกุ้ยเฟยยิ้มบางแล้วสั่งการว่า “เอาพู่กันมา”
นางในลังเล “แต่ดึกดื่นเช่นนี้…”
“หากข้าวาดภาพอาจเกิดความรู้สึกอยากนอนก็เป็นได้”
“เพคะ…”
พู่กัน หมึก และกระดาษถูกนำมาวางตรงหน้า เผยกุ้ยเฟยยกพู่กันจุ่มหมึก
หลังวาดเค้าโครงไปสักพักไม่ช้าฉากต้นหลิวพลิ้วไหวตามสายลมในฤดูใบไม้ผลิก็ปรากฏขึ้น นางวาดทีละแผ่น วาดอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่นานบนพื้นก็เต็มไปด้วยกระดาษ
ในที่สุดนางก็โยนพู่กันออกไปแล้วพูดว่า “เตรียมน้ำ เปิ่นกงอยากชำระกาย”
เมื่อเห็นนางกลับมาเป็นปกตินางในก็ดีใจมาก “หม่อมฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้เพคะ”
เมื่อไม่มีผู้ใดอยู่ตรงหน้าแล้วเผยกุ้ยเฟยหยิบแหวนหยกขึ้นมามองด้วยรอยยิ้มที่อธิบายไม่ถูก ไม่เหมือนคนกำลังเศร้า แต่เหมือนคนรู้สึกโล่งใจมากกว่า