วันแรกของฤดูหนาวหยางชูออกเดินทางสู่เกาถาง ที่เหนือความคาดหมายคือ อันอ๋องออกมาส่งลาเขาด้วย
เขาสวมเสื้อฤดูหนาวที่สั่งทำใหม่พลางเคี้ยวถั่วลิสงในปาก และเดินมาทางนี้ช้าๆ พร้อมด้วยองครักษ์คนสนิท
“หยางซาน สัมภาระของเจ้าเยอะมากเลย!” อันอ๋องถุยเปลือกถั่วออกมีเศษบางส่วนกระเด็นใส่เกวียนใหญ่ อาสวนปัดเปลือกออกด้วยสีหน้าเย็นชา
อันอ๋องหัวเราะเยาะและเงยหน้าขึ้นมองเขา “อาสวนของเจ้านี่จงรักภักดีจริงๆ ตอนนี้ยังกล้าแสดงสีหน้าเช่นนี้ใส่เปิ่นหวางอีก หากเจ้าอยากมาหาเปิ่นหวาง เปิ่นหวางจะให้เจ้าเป็นองครักษ์อันดับหนึ่ง เจ้าคิดว่าอย่างไร” ประโยคหลังอันอ๋องพูดกับอาสวน
อาสวนหันหน้าไปมองเห็นว่าคุณชายของตนก้มหน้าเอาใจม้าสำหรับใช้ขี่ ท่าทางดูไม่สนใจอันอ๋องจึงพูดออกไปว่า “ขอบพระทัยองค์ชาย แต่กระหม่อมไม่คิดเปลี่ยนเจ้านายอย่างไรกระหม่อมก็เป็นคนของแซ่หยาง”
ขุนศึกจวนโป๋วหลิงโหว และคนแซ่หยางล้วนเป็นคนสนิท พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกับตระกูลหยาง ไม่มีเหตุผลที่จะออกจากตระกูลหยางไปรับใช้ตระกูลอื่น
เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้นอันอ๋องเบะปากแล้วโยนถั่วเข้าปากต่อพร้อมพูดว่า
“น่าเบื่อจริง เปิ่นหวางแค่ล้อเจ้าเล่นดูไม่ออกหรือ” อาสวนกระตุกยิ้มมุมปาก เขายิ้มเยาะ
ขอโทษที เขาดูไม่ออกจริงๆ
อันอ๋องเดินต่ออีกสองก้าว และมองไปยังอาหว่านที่กำลังสั่งให้สาวใช้ขนของขึ้นรถเขายิ้มและพูดว่า “น้องอาหว่านช่างงามจริงๆ! ที่ซีเป่ยพายุทรายค่อนข้างแรง หากเจ้าไปด้วยอีกไม่นานผิวของเจ้าคงหยาบกร้านกับคล้ำขึ้น สู้อยู่ที่นี่ต่อไม่ดีกว่าหรือ เปิ่นหวางจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี!”
อาหว่านพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “องค์ชายระวังคำพูดด้วยเพคะ อาหว่านไม่กล้าเอาเปรียบคุณชาย!”
พูดถึงลำดับผู้อาวุโส หยางชูต้องเรียกอันอ๋องว่าท่านน้า แต่เขาเรียกนางน้องสาว เช่นนั้นนางไม่กลายเป็นผู้อาวุโสของหยางชูหรือ
อันอ๋องแค่นหัวเราะแล้วหันไปพูดกับหยางชูว่า “หยางซาน ข้าอิจฉาเจ้าจริงๆ เหตุใดคนรอบกายเจ้าถึงได้ภักดีต่อเจ้าเพียงนี้กัน ยินดีที่จะไปนอนกลางดินกินกลางทรายร่วมกับเจ้าไม่ยอมรับความเมตตาจากเปิ่นหวาง” หยางชูเหลือบมองเขาแต่ไม่พูดอะไร และดูแลม้าของตนต่อไป
อันอ๋องไม่สามารถยั่วโมโหเขาได้ เขาจึงรู้สึกหมดสนุกแล้วอยู่ดีๆ ก็นึกถึงสตรีนางนั้นในงานเทศกาลชิวเลี่ย…
“อา จริงสิ! เปิ่นหวางเคยสอบถามมาแม่นางหมิงคนนั้นใช่หรือไม่ หลานสาวของจี้ชู ซื่อเยว่แห่งกั๋วจื่อเจียน นางได้หมั้นหมายกับบุตรชายคนรองของเขา เฮ้อ หน้าตางดงามเช่นนั้นออกเรือนกับคนตำแหน่งเฉิงซื่อหลางนับว่าน่าเสียดาย” มือของหยางชูที่กำลังป้อนถั่วให้ม้าชะงักไปทันที
อันอ๋องเห็นว่าเขาตอบสนองก็รู้สึกดีใจ เขาใช้คำพูดที่ไม่น่าฟังยั่วยุอีกฝ่าย
“จะบอกว่าสายตาของเจ้าดีกว่าเปิ่นหวาง ท่ามกลางผู้คนมากมายเพียงแค่เหลือบมองเจ้าก็สามารถเลือกสิ่งที่ดีที่สุดได้ น่าเสียดายที่เจ้ากำลังจากไปแล้วคงไม่มีผู้ใดเล่นกับแม่นางหมิงผู้นั้น แต่ไม่เป็นไรมีเปิ่นหวางอยู่เห็นแก่มิตรภาพกว่าสิบปีของพวกเรา เปิ่นหวางจะดูแลนางแทนเจ้าเป็น อย่าง ดี!”
หยางชูป้อนถั่วชิ้นสุดท้ายเสร็จก็จัดการเช็ดมือจากนั้นม้วนแขนเสื้อขึ้นแล้วหมุนตัวเดินเข้าไปหาอันอ๋อง อันอ๋องตื่นเต้นมาก
โกรธแล้วใช่หรือไม่ แต่เขาไม่เชื่อว่าคนอย่างหยางซานจะกล้าลงมือ…
“อา!” อันอ๋องกรีดร้องจู่ๆ หยางชูก็จับคอของเขา
“ปล่อยนะ! หยางซานเจ้าคิดจะทำอะไร” อันอ๋องตะโกนเสียงดังขณะพยายามสลัดตัวให้หลุดออกจากมือของอีกฝ่าย
แต่เมื่อเขาถอยหลังหนึ่งก้าวหยางชูก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ทั้งสองถอยกันไปมาจนสุดท้ายเขาถูกกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างแรง
“องค์ชาย!” องครักษ์ของอันอ๋องรีบเข้าไปช่วยเจ้านาย
อาสวนเห็นดังนั้นก็ทิ้งงานในมือแล้วพาคนรับใช้ตระกูลหยางพุ่งเข้าไปหาพลางตะโกนขึ้นว่า “คุณชายใจเย็นก่อนขอรับ! เขาเป็นอันอ๋องนะขอรับ!” ในขณะเดียวกันเขาก็กีดกันองครักษ์ของอันอ๋องไม่ให้พวกเขาแตะต้องหยางชู
เกิดความวุ่นวายหน้าจวนโป๋วหลิงโหวทันที แผ่นหลังของอันอ๋องติดกำแพง ลำคอของเขาถูกหยางชูบีบจนหายใจไม่ออกตนทำได้เพียงเปิดปากยื่นลิ้นหายใจ หยางชูก้มลงมองเขาอย่างเย็นชา อันอ๋องถูกสายตาของอีกฝ่ายจ้องมองจนตัวสั่น
หลังจากต่อสู้กันมานานกว่าสิบปีเขาถูกหยางชูกลั่นแกล้งมาไม่น้อย แต่มันไม่มีอะไรมากไปกว่าการกล่าวหา การกลั่นแกล้งรังแกเขาด้วยกำลังหรือฉกฉวยสิ่งของไปจากมือของเขา
จนกระทั่งตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่าเมื่อก่อนหยางชูแค่ยอมเขาก็เท่านั้น เขาที่ถูกอีกฝ่ายบีบคอเช่นนี้ไม่สามารถต่อสู้ได้เลย รู้สึกแค่ว่าอากาศบริสุทธิ์หายไปและหูของเขาเริ่มอื้อ
มารดามันเถอะ! เขายังไม่อยากตาย!
“เหตุใดถึงไม่เชื่อฟังกันเลย” สายตาที่เย็นชา น้ำเสียงอันเยือกเย็นราวกับคนที่คลานออกมาจากโลกหลังความตาย “หากกล้าแตะต้องนาง รอข้ากลับมาถลกหนังเจ้าได้เลย!”
พูดจบหยางชูก็ปล่อยมือ อันอ๋องทรุดตัวลงเขายกมือกุมคอแล้วน้ำตาไหล ไอไม่หยุด
เมื่อไอจนอาการดีขึ้นเขาก็ตะโกนว่า “หยางซาน เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือเปิ่นหวางยังไม่ได้ทำอะไรเลย!”
หยางชูแค่นหัวเราะมองอีกฝ่ายอย่างดูถูกจากนั้นก็หันหลังกลับไปขี่ม้าของตน
“ออกเดินทาง!”
อาสวนถาม “คุณชายไม่รออีกสักหน่อยหรือขอรับ อาจมีคนกำลังเดินทางมาส่ง”
หยางชูรู้ว่าเขากำลังพูดถึงผู้ใด แต่ตนไม่พร้อมที่จะรอ อย่างไรก็ต้องจากไปอยู่ดีถึงแม้จะรอแล้วจะทำอย่างไรได้ เขาไม่อยากบอกลานาง
“ออกเดินทาง!”
“…ขอรับ”
เหล่าขุนศึกตระกูลหยางปล่อยตัวองครักษ์ของอันอ๋องแล้วขี่ม้าไปรวมตัวกัน
ม้าศึกมากกว่าสามสิบตัวคุ้มกันเจ็ดแปดเกวียนใหญ่เดินทางออกจากจวนโป๋วหลิงโหวอย่างเงียบๆ และมุ่งหน้าไปยังประตูเมือง
อันอ๋องไม่คิดปล่อยไปเช่นนี้ เขาลืมตาขึ้น แต่กลับเห็นขุนศึกสวมชุดเกราะพร้อมรบ สะพายคันธนูมีกระบี่เหน็บที่เอว ทุกคนมีรังสีสังหารรอบกายเห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะย่นคอด้วยความหวาดกลัว
ช่างเถอะ ปีนั้นท่านลุงท่านป้าเข้าร่วมสนามรบทั่วทุกสารทิศคนของตระกูลหยางไม่ควรแตะต้องจริงๆ…
เมื่อเดินทางไปถึงประตูเมืองอาสวนก็ได้พบกับคนคุ้นเคย
“ใต้เท้าเหลย!”
เหลยหงกำลังพูดคุยกับคนเฝ้าประตูเมืองเมื่อเห็นพวกเขาเหลยหงก็ยิ้มและรีบเดินเข้ามาหา “คิดไม่ผิดจริงๆ คุณชายหยาง ข้าน้อยได้รับคำสั่งจากใต้เท้าเจี่ยงให้มาส่งท่าน” พูดจบก็มีเจ้าหน้าที่ยกเก้าอี้มาวางพร้อมชามใหญ่จำนวนหนึ่ง
“ใต้เท้าเจี่ยงบอกว่าคุณชายไม่ขาดอะไร ท่านเลยไม่ส่งของอะไรมาให้ มีเพียงชามสุรานี้หวังว่าคุณชายจะเดินทางราบรื่นและกลับบ้านเกิดอย่างสมเกียรติ”
หยางชูยิ้มเขาลงจากหลังม้าแล้วหยิบชามใบใหญ่ขึ้นมาดื่มให้หมดรวดเดียว
“ขอบคุณใต้เท้าเจี่ยงมากหวังว่าจะได้มีโอกาสได้พบกันอีก”
เหลยหงพูดกับขุนศึกของตระกูลหยาง “ท่านทั้งหลาย การจากกันครั้งนี้ไม่รู้ว่าเราจะได้พบกันอีกเมื่อไหร่มาดื่มกันเถอะ!”
ได้ร่วมเดินทางไปตงหนิงต่อมาก็ได้ร่วมงานกันหลายครั้ง เหล่าขุนศึกและเหลยหงจึงรู้จักกันดี เมื่อเห็นว่าคุณชายไม่คัดค้านพวกเขาทั้งหมดจึงลงจากหลังม้ามาร่วมดื่มชามใส่สุรา
มิตรภาพซึ่งกันและกันไม่ว่าจะให้กำลังใจกันหรือหลั่งน้ำตา ฉากนี้มีทั้งความภาคภูมิและความเศร้า
“ขอเชิญท่านดื่มสุราให้หมดอีกถ้วยไปทางตะวันตกไร้ผู้คุ้นเคย” เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเมืองมองไปทางด้านหลังพลางพูดประโยคที่มีความหมายลึกซึ้งจากนั้นก็พูดกับทหารคนสนิทว่า “ใต้เท้าเจี่ยงไม่ลืมมิตรภาพเก่าๆ จริงๆ ฝ่าบาทคงดีพระทัยไม่น้อย”
ทหารคนสนิทเข้าใจความหมายในทันที “ขอรับ ข้าน้อยจะจำไว้”
หวงเฉิงซือมีอยู่ทุกหนทุกแห่งที่ประตูเมืองจะไม่มีได้อย่างไร
หลังดื่มสุราเสร็จทุกคนก็ออกเดินทางอีกครั้ง ครั้งนี้เดินผ่านประตูเมืองไปได้อย่างราบรื่น อาสวนเห็นจอมยุทธ์ท่านหนึ่งสะพายกู่ฉินรออยู่ข้างทาง
หยางชูขี่ม้าไปหยุดตรงหน้าเขาถามหน้าตึง “ท่านจะทำอะไร”
หนิงซิวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “หน้าที่ของข้ายังไม่สำเร็จ”
“แล้วอย่างไร”
“ข้ารับปากท่านอาจารย์ไว้แล้วว่าจะให้เจ้ามีชีวิตที่ดีในเมื่อเจ้ายังไม่พ้นอันตราย ข้าจึงไปไหนไม่ได้”
ทั้งสองมองหน้ากันครู่หนึ่งหยางชูแค่นหัวเราะแล้วหันหน้าไปทางอื่น
“แล้วแต่ท่านเถอะ!” หนิงซิวเข้าร่วมกลุ่มและทุกคนก็ออกเดินทางอีกครั้ง
อาสวนจงใจชะลอฝีเท้าลงจนกระทั่งเห็นหยุนจิงกลายเป็นจุดเล็กๆ ก็ยังไม่มีผู้ใดเดินทางมาส่ง
เขาถอนหายใจในใจแล้วถอนสายตาออกไป
แม่นางหมิง…จะไม่มาจริงๆ หรือ