ในร้านอาหารที่ใกล้กับประตูเมืองมากที่สุดฟู่จินกำลังนั่งทานถั่วอยู่ ที่นั่งชั้นพิเศษที่เขานั่งอยู่นั้นสามารถมองเห็นทิวทัศน์ประตูเมืองได้
“สมกับเป็นตระกูลหยางทุกคนล้วนมีความสามารถ!” ฟู่จินคายเปลือกถั่วที่เขาเผลอเอาเข้าปากแล้วพูดอย่างสบายๆ
ผู้ที่นั่งฝั่งตรงข้ามเขาไม่ใช่บัณฑิตหรือขุนนางชั้นสูง แต่เป็นเด็กสาววัยเยาว์ผู้หนึ่ง เป็นหมิงเวยที่อาสวนบ่นในใจว่าจนครึ่งวันแล้วไม่โผล่หน้ามาส่งหยางชูสักที
หมิงเวยยกถ้วยชาขึ้นจิบด้วยท่าทางงดงามที่ไร้ที่ติแล้วพูดว่า “อาจารย์ฟู่เชิญข้ามาเพราะอยากพูดเรื่องนี้หรือเจ้าคะ” ฟู่จินหัวเราะสองมือเรียวที่เขียนตัวหนังสืออย่างดีค่อยๆ ปอกเปลือกถั่วลิสง
“เรื่องของทางด้านคุณชายสิ้นสุดลงแล้ว แต่ยังไม่ได้คุยกับแม่นางหมิงเลย มันทำให้ข้าไม่สบายใจเท่าใดนัก!”
หมิงเวยถาม “เย็นวันนั้นพวกเราไม่ได้คุยกันเรียบร้อยแล้วหรือเจ้าคะ”
“เดี๋ยวสิ!” ฟู่จินโบกมือ “คนมากมายเพียงนั้นจะเรียกว่าคุยกันแล้วได้อย่างไร อีกอย่างแม่นางหมิงไม่ได้ออกความเห็นอะไรตั้งแต่ต้นจนจบเลย”
หมิงเวยตอบ “ข้าคิดว่าเราบรรลุข้อตกลงแล้วเสียอีกเจ้าค่ะ”
“นั่นเป็นความเห็นที่เป็นเอกฉันท์เกี่ยวกับเป้าหมายในอนาคต แต่เหตุผลยังไม่ชัดเจน!” ดูเหมือนว่าวันนี้เขาต้องเซ้าซี้ถามความลับอีกฝ่ายให้จงได้
หมิงเวยพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นอาจารย์อยากคุยเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
ฟู่จินเคี้ยวช้าๆ และหลังจากกินถั่วเสร็จแล้วเขาก็พูดว่า “ก็เรื่อง…แม่นางหมิงคิดจะทำอะไรกันแน่!”
หมิงเวยยิ้ม “อาจารย์ไม่รู้หรือเจ้าคะ”
ฟู่จินหัวเราะแววตาของเขาไม่มีความนัยอะไร “แม่นางค่อยๆ ไปทีละก้าว ทั้งระมัดระวังทั้งกล้าหาญซึ่งทำให้คนอย่างข้าประทับใจ ราวกับแม่นางเป็นตัวละครหนึ่งที่ปล่อยให้ผู้อื่นทำสิ่งต่างๆ จะให้รู้สึกวางใจได้อย่างไรเล่า”
หมิงเวยถอนหายใจ “เป็นเพราะข้ามีความสามารถไม่เพียงพอจึงได้ส่งมอบให้ผู้ที่มีความสามารถมากกว่าก็เท่านั้นเองเจ้าค่ะ”
ฟู่จินยิ้ม “ความสามารถไม่เพียงพองั้นหรือไม่หรอก!”
“แต่ละคนล้วนมีด้านที่ถนัดไม่เหมือนกันเจ้าค่ะ” หมิงเวยพูด “ข้าแสร้งทำเป็นเทพ เล่นเป็นผีได้ แต่การวางแผนกลอุบายข้าด้อยกว่าอาจารย์ฟู่จริงๆ!”
ฟู่จินครุ่นคิด “ก็จริง” แล้วเขาก็พูดอีกว่า “แต่แค่นี้ยังไม่เพียงพอที่จะโน้มน้าวข้า!”
รอยยิ้มของหมิงเวยหายไปนางเงยหน้าขึ้นแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “สิ่งที่พวกเราต้องทำนั้นยากและอันตราย หากไม่เชื่อใจกันและกันก็ยากที่จะไปต่อ กิริยาของข้าในวันนี้ อาจารย์อยากถามอะไรต่อให้ข้ารู้ข้าก็ไม่พูดออกมา เป็นเช่นนี้จนกว่าอาจารย์จะอธิบายในสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจ”
ฟู่จินพยักหน้าอย่างชื่นชม “แม่นางร่วมทางกับเราจริงๆ”
หมิงเวยรู้ความหมายที่เขาต้องการสื่อนางสบตากับเขาแล้วยิ้มให้
ในคืนนั้นที่ทั้งหกคนได้พบกันที่หลังเขาของเสวียนตูกวัน เมื่อหยางชูได้รู้ถึงชาติกำเนิดของตนเอง เขารู้สึกเศร้าเสียใจมาก เขาถูกสั่งสอนตั้งแต่เด็กโดยองค์หญิงใหญ่ว่าให้รักและภักดีต่อแผ่นดิน เขาไม่พอใจคนที่ดำรงตำแหน่งในปัจจุบันแต่ก็ไม่มีเจตนาที่จะก่อกบฏ
เจี่ยงเหวินเฟิงผู้บริสุทธิ์ถูกฟู่จินลากให้ลงเรือลำเดียวกัน อีกทั้งเขายังเป็นหนี้บุญคุณหมิงเวย และมีความกลัวว่าพวกเขาจะไปก่อเรื่องที่ไม่เข้าท่าเข้า
สิ่งที่เสวียนเฟยต้องการปกป้องคือโชคชะตาของแผ่นดิน ตราบใดที่โชคชะตาแผ่นดินต้าฉียังไม่ล่มสลาย ฮ่องเต้จะทำอะไรเขาไม่สนใจอยู่แล้ว ส่วนชาติกำเนิดของหยางชูเขาเองก็ไม่สนใจเช่นกัน
หนิงซิวจริงใจ และหวังดีต่อหยางชูจากใจจริง แต่เขาหวังจะให้หยางชูอยู่ห่างจากความขัดแย้งนี้มากกว่าต้องการให้เขาใช้ชีวิตอย่างอิสระ แทนที่จะจมลงไปในกระแสวังวนของอำนาจฮ่องเต้ มีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่พยายามจะกบฏอย่างใจจดใจจ่อ
กล่าวอีกนัยหนึ่งมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่เป็นเพื่อนร่วมทางอย่างแท้จริง
“มา ดื่มให้เพื่อนร่วมทางเสียหน่อย” ฟู่จินรินสุราจนเต็มจอก
หมิงเวยยกถ้วยชาขึ้นชนแก้วกัน
หลังจากที่ฟู่จินดื่มเสร็จแล้วเขาก็หยิบตะเกียบจุ่มสุราลงบนโต๊ะแล้วถามว่า “ในเมื่อแม่นางพูดเช่นนี้ถ้าเช่นนั้นข้าไม่เกรงใจที่จะถามล่ะ”
หมิงเวยพยักหน้า “เชิญถามมาได้เลยเจ้าค่ะ”
ฟู่จินเขียนตัวอักษรบนโต๊ะช้าๆ “ดูเหมือนว่ามิตรภาพระหว่างแม่นางกับคุณชายจะไม่ธรรมดา ถ้าเช่นนั้นที่แม่นางทุ่มเทช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่เพราะต้องการตำแหน่งนั้นใช่หรือไม่”
หมิงเวยมองลงนางเห็นคำว่าหงส์ถูกเขียนด้วยสุราบนโต๊ะ ฟู่จินเงยหน้าขึ้นมองนางด้วยสายตาวาววับ รอยยิ้มของหมิงเวยหายไปนางตอบด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำว่า
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ”
“แล้วแม่นางต้องการสิ่งใดกัน” ฟู่จินสงสัย เขาคิดว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับสตรีในการเดิมพันครั้งนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าสิ่งนี้แล้ว
หมิงเวยคิดเล็กน้อย “เรามายกตัวอย่างราชครูกันดีกว่าท่านรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เสวียนตูกวันต้องรับผิดชอบคืออะไร”
ฟู่จินพยักหน้า “ปกป้องชะตากรรมแผ่นดิน คุ้มครองประชาชน”
หมิงเวยสบตาเขาตรงๆ “สำนักของข้าแม้จะแตกต่างจากรากฐานของเสวียนตูกวัน แต่เราก็มีความเชื่อที่คล้ายกัน”
ฟู่จินจงใจพูดว่า “แม่นางจะบอกว่าท่านไม่ต้องการอะไรขอเพียงทำให้ความเชื่อของสำนักเป็นจริงได้ก็พองั้นหรือ”
“นั่นเป็นเพียงข้อแรกเจ้าค่ะ” หมิงเวยตอบ “อย่างที่สองเป็นเหตุผลที่ส่วนตัวมาก”
“เหตุผลส่วนตัวอะไรหรือ”
หมิงเวยหยุดเอ่ยไปครู่หนึ่งแววตาของนางดูเศร้าสร้อย “ข้าต้องการช่วยชีวิตคนสองคนที่มีความสำคัญกับข้ามาก”
“จำเป็นต้องช่วยชีวิตผู้คนด้วยวิธีนี้หรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ” นางอยู่ในอารมณ์เศร้าเพียงชั่วครู่จากนั้นก็หายไปแล้วกลับมายิ้มอีกครั้ง “ขอเพียงบรรลุเป้าหมายนี้คนที่ข้าต้องการช่วยชีวิตก็จะสามารถมีชีวิตรอดได้”
ฟู่จินครุ่นคิดอยู่นานและส่ายหัว “สำนักของท่านช่างดูแปลกประหลาดจริงๆ…”
“และหากวันหนึ่งเป้าหมายของข้าบรรลุแล้วข้าอาจจะจากไป”
“จากไปงั้นหรือ”
หมิงเวยพยักหน้า “กลับไปในโลกที่ข้าควรอยู่เจ้าค่ะ”
ฟู่จินเป็นคนฉลาดไม่นานสมองของเขาก็ประมวลผลได้
“ท่านมาพร้อมกับภารกิจหลังจากทำเป้าหมายสำเร็จท่านก็จะกลับไปในที่ที่ท่านจากมา ข้าเข้าใจถูกหรือไม่”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ!”
ฟู่จินพยักหน้าท่าทางของเขาเหมือนเข้าใจแล้ว
เขาถามอีกว่า “แล้วความสัมพันธ์ของแม่นางกับคุณชายล่ะ จะทำอย่างไรต่อไป”
หมิงเวยไหวไหล่ “มีอะไรต้องอธิบายอีกเจ้าคะ”
ฟู่จินเลิกคิ้ว “ในเมื่อสุดท้ายท่านต้องจากไปเหตุใดท่านกับคุณชาย…ท่านจะทำอย่างไรในอนาคต”
หมิงเวยยิ้ม “เขาเป็นคนดีและชอบข้ามากเหตุใดถึงอยู่ด้วยกันไม่ได้เล่า ยามดอกไม้เบ่งบานรีบเด็ดเอา ส่วนเรื่องในอนาคตไม่ว่าจะเป็นผู้ใดเมื่อมีจุดเริ่มต้นก็ย่อมต้องมีจุดจบ”
ฟู่จินถอนหายใจอดขมวดคิ้วไม่ได้ “แม้จะเหลือเชื่อ แต่ข้าก็เข้าใจความหมายของแม่นางเพียงแต่คุณชายจะคิดเช่นนั้นหรือ”
“หากข้าไม่ตอบรับเขาจะมีความสุขหรือไม่ ชีวิตเป็นสิ่งไม่เที่ยงแม้ว่าข้าจะเต็มใจที่จะอยู่กับเขาตลอดไป แต่ในที่สุดก็ต้องถูกความตายพรากจาก หัวใจหากไม่ได้รับก็จะไม่มีวันลืมเลือนไปตลอดกาล”
ฟังดูเหมือน…มีเหตุผล! ไม่ได้รับมันยากที่จะลืมเลือนกว่าการได้รับ ฟู่จินพบว่าเขากำลังจะถูกโน้มน้าว!
แม่นางหมิงผู้นี้ล้างสมองเก่งมาก….
“ได้” ฟูจินรู้สึกว่าเขาไม่ควรเข้าไปพัวพันกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ พวกเขาล้วนเป็นคนที่ทำการใหญ่!
“ในเมื่อร่วมทางกันแล้วถ้าเช่นนั้นพวกเรามาแบ่งหน้าที่กันดีหรือไม่” ฟู่จินยิ้ม
หมิงเวยเลิกคิ้ว “ข้านึกว่าอาจารย์แบ่งงานเรียบร้อยแล้วเสียอีก ท่านไม่คิดจะออกจากเมืองหลวงใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ก็ใช่” ฟู่จินเคาะตะเกียบกับถ้วยชามบนโต๊ะ “สุราดี อาหารอร่อย ข้าอายุมากแล้ว ไม่สามารถทนความลำบากได้หรอก!”
หมิงเวยรู้ว่าเขาพูดจาไร้สาระ แต่ก็คล้อยตามคำพูดเขาอย่างไม่ถือสา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของท่านส่วนความลำบากนั้นเด็กอย่างข้าจะไปเผชิญให้เอง!”