อาหว่านวิ่งออกไปข้างนอกเพื่อดูแล้วนางก็ต้องตกตะลึง
แขกที่มาหามีมากเกินไปแล้ว!
นางนับคร่าวๆ พบว่ามีประมาณร้อยคนเสื้อผ้าของพวกเขาทั้งเก่าทั้งขาดดูแล้วน่าจะเป็นผู้ลี้ภัย พวกเขานำเกวียนมามากมาย และยังมีของใช้ประจำวันในครัวด้วย!
แล้วนางก็เห็นหนิงซิวที่กำลังคุยกับขุนศึกอยู่
“อาจารย์หนิงทำอะไรหรือเจ้าคะ” อาหว่านงุนงง “ไปหาคนเยอะแยะถึงเพียงนี้มาจากที่ใดกัน”
หนิงซิวมาที่เกาถางกับพวกเขาด้วยเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้เขาได้พาคนไปซื้อของในเมือง ฤดูใบไม้ผลิกลับคืนสู่ผืนแผ่นดินกว้าง ทุกสรรพสิ่งฟื้นคืนกลับมาอุดมสมบูรณ์ พวกเขาต้องการตั้งถิ่นฐานที่นี่จึงมีของให้ซื้อมากมาย
อาหว่านหันไปพูดกับหยางชูกลับพบว่าเขาจ้องมองไปข้างหน้าอย่างคนสติหลุดลอย อาหว่านแปลกใจนางจึงมองตามสายตาเขาไปก็เห็นเพียงผู้ลี้ภัยจำนวนมากมารวมตัวกันที่นั่นหลายคนมาล้อมวงกันเพื่อพูดคุย
เกิดอะไรขึ้น คุณชายมองอะไรกันแน่ อาหว่านคิดแล้วนางก็เห็นหยางชูกำลังเดินไปทางด้านนั้น เขาเดินไม่เร็ว แต่เป้าหมายชัดเจนก้าวเดินของเขาแต่ละก้าวล้วนมั่นคง
“คุณชาย!” เหล่าขุนศึกตะโกนขึ้น แต่เขาไม่สนใจ
เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ๆ เหล่าคนที่ยืนล้อมรอบก็แยกย้าย และหันมามองทางนี้
อาหว่านร้อง “อ้า” เมื่อเห็นเด็กสาวสวมเสื้อคลุมท่ามกลางฝูงชน
หยางชูเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายเขาก็ออกตัววิ่ง ฝูงชนแยกย้ายกันแต่โดยดี มองดูเขาวิ่งเข้ามาใกล้ดุจสายลมแล้วกางแขนออกโดยไม่ลังเล และทันใดนั้นก็กอดคนในความทรงจำโดยไม่สนใจสายตาของผู้ใด
ตลอดฤดูหนาวนี้เป็นเพราะยุ่งเกินไปหรือเพราะอาหว่านโกรธจึงไม่มีผู้ใดกล้าพูดถึงนาง แต่เขาไม่เคยลืมนางเลยสักวันเดียว คำสารภาพรักภายใต้แสงจันทร์ คู่รักบนนกไม้ อยู่เคียงข้างกันในทางลับ
ทุกช่วงเวลาเขาสลักเก็บไว้ในใจ
ก่อนเดินทางออกจากหยุนจิงเขาแอบผิดหวังเล็กหน่อยที่ไม่เห็นนาง แต่ก็ไม่คิดสงสัยอะไร ตอนที่นางตอบรับคำสารภาพรักก็รู้แล้วว่าสถานการณ์ของเขาเป็นอย่างไร นางจะทิ้งเขาไปเพราะเหตุผลนี้ได้อย่างไรเล่า เขาหวังเพียงว่าตนเองจะมีกำลังมากพอให้เร็วที่สุดแล้วรีบกลับไปยังที่ที่นางอยู่
แต่ตอนนี้…นางอยู่ที่นี่แล้ว
ความสุขอบอวลเต็มในหัวใจของเขาหยางชูเพียงต้องการทำตามหัวใจของตนเอง อยากกอดนางก็จะกอดโดยไม่สนใจว่ามีผู้อื่นอยู่ด้วยหรือไม่ ไม่สนใจว่าพวกเขากำลังมองดูอยู่หรือเปล่า
ฝูงชนพากันหัวเราะลั่น แต่หยางชูก็เมินเฉย เขากระชับอ้อมแขน และกดนางเข้ากับหน้าอกของตน สูดกลิ่นสมุนไพรหอมอ่อนๆ ที่คุ้นเคย
“ท่านมาได้อย่างไร” เขาถามนางด้วยรอยยิ้ม
“ท่านอยู่ที่นี่แล้วข้าจะมาไม่ได้งั้นหรือเจ้าคะ” หมิงเวยปล่อยให้เขากอดถึงแม้เขาจะออกแรงมากไปจนรู้สึกเจ็บเล็กน้อยก็ตาม
หยางชูยิ้มกว้างกว่าเดิม ไม่เคยคิดว่านางจะทิ้งเขา แต่ก็ไม่เคยคิดว่านางจะมา การมาที่คาดไม่ถึงนี้ทำให้เขาอยากกรีดร้องด้วยความดีใจ
ถึงอย่างไรพวกเขาก็อยู่ในที่สาธารณะเขาจึงคลายอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว “เหตุใดท่านมาถึงเวลานี้ท่านออกเดินทางตั้งแต่ฤดูหนาวหรือ”
ตอนนี้เพิ่งเข้าฤดูใบไม้ผลิจากเมืองหลวงมาถึงเกาถางดูจากสภาพถนนน่าจะต้องใช้เวลาเป็นเดือนหมายความว่านางเดินทางในช่วงปีใหม่งั้นหรือ
หมิงเวยพยักหน้า “ข้าออกเดินทางในเดือนสิบเอ็ดเจ้าค่ะ”
“ท่านใช้เวลาเดินทางสี่เดือนงั้นหรือ” หยางชูมองไปรอบๆ ซึ่งเหล่าผู้ลี้ภัยต่างส่งรอยยิ้มใจดีมาให้ “หรือเป็นเพราะพวกเขา”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ”
หนิงซิวเดินเข้ามาหาด้วยท่าทางสงบ “หากพวกท่านต้องการรำลึกเรื่องเก่ากลับไปค่อยพูดคุยกันเถอะ ตอนนี้ทุกคนต้องการปักหลักที่นี่” จากนั้นเขาก็กวาดสายตามองผ่านไป ถึงแม้เขาจะไม่พูดกล่าวหาอะไร แต่กลับทำให้หยางชูรู้สึกเขินอายขึ้นมาบ้าง
ถูกคนอื่นจ้องมองก็ช่างมัน…แต่ถูกศิษย์พี่จ้องมองด้วยสายตาเช่นนี้…เขารู้สึกอายเล็กน้อย
……….
ผ่านไปครึ่งชั่วยามหมิงเวยชำระกายเสร็จก็เปลี่ยนเสื้อผ้า และนั่งในห้องโถง มองดูเสี่ยวถงย่างเนื้อไปขณะเดียวกันก็สนทนากับตัวฝูเพื่อแบ่งปันประสบการณ์การทำอาหารกัน หลังจากนั้นไม่นานหนิงซิวที่ดูแลจัดการทุกอย่างเสร็จก็เดินสะบัดแขนเสื้อมาทางนี้
หมิงเวยรู้สึกมั่นใจหลังจากผ่านช่วงฤดูหนาวในสถานที่เช่นนี้แม้แต่หยางชูยังเปลี่ยนไปเล็กน้อย หนิงซิวเองก็ดูเปลี่ยนไปอย่างไม่ธรรมดาเช่นกัน
พวกเขามาถึงในช่วงฤดูหนาวไม้จึงมีไม่เพียงพอที่จะสร้างเรือนยิ่งไม่ต้องพูดถึงการทำเครื่องเรือนเลย พวกเขาแค่ใช้โต๊ะเล็กๆ เป็นโต๊ะอาหารแล้วนั่งบนเสื่อเหมือนคนโบราณ
หนิงซิวถอดรองเท้าแล้วเดินพับแขนเสื้อเข้ามาในเรือน จากนั้นก็นั่งลงด้วยท่าทางราวกับคนชนชั้นสูง รออาสวนและอาหว่านเข้ามาในเรือน ทุกคนก็อยู่ครบแล้ว
“คนพวกนั้นจะลงหลักปักฐานที่นี่งั้นหรือ” หยางชูถามอาสวนคนแรก
“ขอรับ” อาสวนตอบ “ก่อนหน้านี้เราสร้างคอกม้าใหม่จำนวนมากจึงให้พวกเขาพักอาศัยชั่วคราวรอให้ไม้หินส่งมาก่อนแล้วค่อยสร้างเรือนใหม่ขอรับ”
หลังจากตอบคำถามนี้อาสวนก็หันไปมองหมิงเวย เขารู้สึกสับสนเหตุใดถึงพาผู้ลี้ภัยมามากมายเพียงนี้กันไม่ใช่ว่าควรส่งไปทางใต้ที่เจริญรุ่งเรืองกว่าหรือ
หมิงเวยดื่มชาอย่างช้าๆ ก่อนที่จะตอบคำถามของเขา “พวกท่านจำเป็นต้องมีคนมากเสียหน่อย”
อาสวนไม่เข้าใจแค่คนเลี้ยงสัตว์ก็พอแล้วนี่!
หยางชูกับหนิงซิวกำลังครุ่นคิด การจัดการบริหารสนามเลี้ยงสัตว์ จำนวนคนถือว่าเพียงพอแล้ว แต่หากต้องทำเรื่องอื่นมากกว่านี้เพียงแค่คนเลี้ยงสัตว์ร้อยคนถือว่าไม่พอ “ในจำนวนพวกเขาเหล่านั้นมีช่างฝีมืออยู่ หากต้องการสร้างเรือนก็สามารถเรียกพวกเขาได้”
แววตาของอาสวนเป็นประกาย “ดีเลย! พวกเราขาดช่างฝีมือที่นี่ห่างจากเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดต้องใช้เวลาเดินทางสองสามวัน และที่นั่นมีช่างฝีมือไม่มากนัก แม่นางหมิงท่านไปหาคนพวกนี้มาจากที่ใดกัน”
หมิงเวยยิ้ม “ข้าเก็บได้ระหว่างทางน่ะ”
“อา” อาสวนคิดตามไม่ทัน “เหตุใดถึงเก็บมาได้ทุกอย่างถึงเพียงนี้…”
“บ่าวพูดเองเจ้าค่ะ!” ตัวฝูอาสา
การเดินทางครั้งนี้สำหรับพวกนางนายบ่าวแล้วไม่ง่ายเลย ออกเดินทางจากเมืองหลวงตั้งแต่เดือนสิบเอ็ด เข้าสู่เขตซีเป่ยในครึ่งเดือนต่อมาเผชิญหน้ากับหิมะที่ตกหนัก
ฤดูหนาวที่แล้วหิมะตกหนักมาก และผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองก็สบายดี แต่สำหรับสถานที่ที่อยู่ห่างไกลออกไปนั้นทางการไม่สามารถจัดการได้ทำให้เกิดผู้ลี้ภัยจำนวนมาก
หมิงเวยรีบเดินทางไปขณะเดียวกันก็รับพวกเขามาด้วยจนทำให้กลุ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดผู้คนกว่าร้อยคนก็มารวมตัวกัน
คนจำนวนมากเช่นนี้อาหารและเสื้อผ้าเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข โชคดีที่นางพกเงินมามากพอจึงสามารถดูแลพวกเขาได้ เพียงแต่การเดินทางไม่ง่ายเช่นนั้น จำเป็นต้องคอยแวะพักในเมืองเล็กๆ จนกระทั่งฤดูใบไม้ผลิมาเยือนพวกเขาจึงเริ่มต้นออกเดินทางใหม่อีกครั้ง
พอตัวฝูเล่าจบหมิงเวยก็หยิบกระดาษกองหนาออกมา “คนที่เต็มใจร่วมเดินทางมากับข้าได้ลงนามในสัญญาแล้ว อย่างน้อยเวลาสิบปีพวกเขาจะทำทุกอย่างให้ข้า พวกท่านสามารถใช้งานพวกเขาตามที่พวกท่านต้องการโดยไม่ต้องกังวลอะไร”
ตอนแรกอาสวนดีใจมาก แต่ตอนหลังเขากังวลเล็กน้อย “แม่นางหมิง การมีกำลังคนเป็นเรื่องดี แต่สนามของเราอาจไม่สามารถรองรับคนจำนวนมากได้…”
“วางใจเถอะ พวกเรามีเงิน”
อาสวนยิ้มอย่างขมขื่น “สำหรับที่นี่ต่อให้มีเงินก็ไม่มีประโยชน์! มันรกร้างเกินไปไม่มีอะไรให้ซื้อขอรับ”
หมิงเวยยิ้ม “ผู้ใดบอกกันล่ะผ่านสองปีนี้ไปก็ไม่รกร้างแล้ว”
อาสวนไม่เข้าใจ
หนิงซิวกลับเลิกคิ้วและพูดว่า “ที่นี่เป็นหน่วยงานราชการดูแลสนามเลี้ยงสัตว์ของต้าฉี ทุกปีจะมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงมาตรวจสอบไม่ใช่สถานที่ที่ท่านสามารถทำอะไรก็ได้ที่ท่านต้องการ”
หมิงเวยหันไปมองหยางชู “คุณชายสามตระกูลหยางอยู่ดีกินดีมาตั้งแต่เด็ก จู่ๆ ก็ถูกลดระดับให้มาอยู่ในสถานที่ที่ไร้การพัฒนาเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยมาก ดังนั้นเพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายขึ้นจึงจำเป็นต้องสร้างเรือนให้มากขึ้น ซื้อกำลังคนจำนวนหนึ่ง และหากองคาราวานสักสองสามกลุ่ม…ถูกหรือไม่เจ้าคะ”