เนื่องจากได้รับสินค้าจำนวนมากห้องครัวของผู้ดูแลสนามม้าจึงครึกครื้นเป็นพิเศษ
เหล่าขุนศึกคนสนิทไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากมาย ตระกูลหยางไม่เคยปฏิบัติไม่ดีต่อพวกเขา เจ้านายกินอะไรพวกเขาก็ได้กิน แม้แต่คนเลี้ยงสัตว์และผู้ลี้ภัยที่พามา หลายวันมานี้ก็กินดีอยู่ดีรอยยิ้มแห่งความสุขปรากฏบนใบหน้าของพวกเขา
ชาวเขาที่มาขายสินค้าจ้องภาพที่เห็นนี้ตาเป็นมันแล้วถามว่า “ได้ยินมาว่าพวกท่านต้องการจ้างแรงงานจริงหรือไม่”
“เป็นความจริง พวกเราต้องการคนดูแลเรื่องอาหารอีกทั้งยังมีค่าจ้างให้อีกด้วย” เหล่าชาวเขาคำนวณแล้วเห็นว่างานนี้คุ้มค่ากว่างานของตนเองจึงรีบสมัครกันเข้ามาทันที ดังนั้นอาหารที่พวกหมิงเวยได้ทานในตอนบ่ายคือซวนหยวงโร่ว
ฤดูกาลที่ดีที่สุดที่จะกินเนื้อแพะคือปลายฤดูใบไม้ร่วงและต้นฤดูหนาว เมื่อผ่านฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงไปแล้ว แพะพวกนี้จะได้รับการเลี้ยงดูจนมีรูปร่างอวบอ้วน เนื้อมีมันแทรกคล้ายลายหินอ่อนเพียงแค่เห็นก็น้ำลายไหลแล้ว
ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีไขมันไม่เพียงพอแต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้แม้แต่น้อย
“คุณหนูทานนี่สิเจ้าคะ” ตัวฝูคีบเนื้อแพะที่ปรุงสุกแล้วใส่ลงในชามของหมิงเวยอย่างรวดเร็ว
อาหว่านตะโกนขึ้น “นั่นของข้านะ!”
ตัวฝูกะพริบตา “แต่ทุกคนกำลังกินอยู่นะ!”
อาหว่านหันไปมอง จริงหรือ…หนิงซิวจ้องมองอย่างเอื่อยเฉื่อยแต่กลับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว และเขาก็ได้เอาเนื้อแพะชิ้นใหญ่ที่สุดในหม้อไปแล้ว
นางโกรธจนร้องไห้ “ไม่เหลือให้ข้าสักชิ้นเลย!”
หยางชูยกจานมาแล้วเทเนื้อที่เหลือให้ “หากไม่พอก็ให้ท่านป้าไช่ตักมาอีก”
อาหว่านหายโกรธแล้วมีสีหน้าดีใจขึ้นมาทันที “ขอบคุณคุณชายเจ้าค่ะ”
ทุกคนรับประทานจนมุมปากมันเยิ้มถึงได้เริ่มดื่มชาย่อยอาหาร ส่วนอาสวนวางตะเกียบลงและไปทำงานต่อ
สองสามวันมานี้ชาวเขาไม่มีสินค้าเหลือจึงมาที่นี่น้อยลงมีเพียงพวกคนที่เชี่ยวชาญในด้านตัดไม้ และเหมืองหินที่ส่งวัสดุก่อสร้างมาอย่างต่อเนื่อง ช่างฝีมือบางคนได้ยินเรื่องนี้จึงเดินทางมาของานทำ อาสวนเป็นคนเลือกช่างฝีมือเหล่านั้นด้วยตนเอง
“งานไม้เป็นหรือไม่ งานปูนล่ะ”
คนผู้นี้เป็นชายที่ดูแข็งแกร่งมากอายุน่าจะประมาณสามสิบปี คิ้วดูยุ่งเหยิงทำให้ดูดุเล็กน้อย เมื่อได้ยินอาสวนถามเขาก็ยิ้มอย่างประจบสอพลอ “ท่านเจ้าหน้าที่ถึงแม้ข้าจะไม่เป็นงานพวกนี้ แต่ข้ามีพละกำลังมากไม่มีปัญหาในการแบกของขอรับ”
อาสวนเหลือบตามองดูและเป็นไปตามคาด…สายตาของเขาเหลือบไปที่เท้าของชายคนนั้นครู่หนึ่ง จากนั้นก็เหลือบมองไปที่มือของอีกฝ่ายเขาขมวดคิ้วแต่ไม่พูดอะไร
ชายคนนั้นเมื่อถูกจ้องเข้าใจก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเขายิ้มอย่างอ้อนวอน “ท่านเจ้าหน้าที่ที่บ้านข้ามีมารดาที่แก่แล้วกับลูกเล็กได้โปรดให้ข้าได้ทำงานเลี้ยงชีพเถิด”
อาสวนไม่พูดอะไร แต่ก็มีเสียงดังข้างกายว่า “ตกลง เจ้าลงชื่อสิ”
อาสวนหันไปมองเป็นหมิงเวยที่ไม่รู้ว่าเดินมาเมื่อไร
เขาลังเลที่จะพูด “แม่นางหมิงเขา…”
ชายคนนั้นเห็นสาวงามคนหนึ่งเดินเข้ามาเขามองอีกฝ่ายตรงๆ สตรีในเกาถางนั้นทั้งคล้ำทั้งผอมแห้ง สตรีที่งามที่สุดในหอนางโลมยังดูเรียบร้อยกว่านิดหน่อยเขาไม่เคยเห็นสตรีที่งดงามเช่นนี้มาก่อน ไม่น่าแปลกใจเท่าไรที่คุณชายผู้สูงศักดิ์จากเมืองหลวงจะพาสตรีที่งดงามราวกับเทพธิดามาด้วย
“เจ้ามองอะไร” อาสวนตะโกนอย่างไม่พอใจเมื่อเห็นการจ้องมองของอีกฝ่าย
ชายคนนั้นรีบก้มศีรษะลงและขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ขออภัยขอรับข้าน้อยมาจากภูเขาไม่เคยเห็นสาวงามเช่นนี้มาก่อน…ข้าน้อยสมควรตายไม่กล้ามองอีกแล้วขอรับ!”
อาสวนถือโอกาสนี้ไล่เขาออกไปและหมิงเวยก็เอ่ยขึ้นว่า “หลังจากนี้ขอให้เจ้าซื่อสัตย์ตั้งใจทำงานล่ะ”
ชายคนนั้นดีใจมาก “ขอรับๆ ขอบคุณแม่นางมากขอบคุณท่านเจ้าหน้าที่ด้วยขอรับ”
นางพูดไปหมดแล้วอาสวนทำได้เพียงโบกมือบอกให้เขาจดชื่อ ส่วนตนเองก็ไปคุยกับหมิงเวยอีกด้านหนึ่ง
“แม่นางหมิงคนผู้นี้ต่อสู้เป็น ที่เขาแสร้งเป็นชาวเขาอาจเพราะมีใจไม่บริสุทธิ์ก็เป็นได้”
“ข้ารู้แล้ว”
“แล้วเหตุใดท่าน…”
หมิงเวยยิ้ม “พวกเรามีเงินมากมายเพียงนี้ไม่มีคนตื่นเต้นก็น่าแปลกไปหน่อย ตอนนี้เราขาดคนอยู่ไม่ใช่หรือได้ยินมาว่าโจรทางซีเป่ยดุร้ายมาก…” อาสวนพูดไม่ออกนี่นางกำลังคิดเรื่องโจรอยู่หรือ
เขายังคงเกลี้ยกล่อมนาง “คนเหล่านี้คุ้นเคยกับการฆ่าคน ไม่ง่ายเลยที่จะจัดการเขา”
“ถ้าเช่นนั้นเราก็เพิกเฉยไม่ได้” หมิงเวยจัดแขนเสื้อ “โจรพวกนี้มักจะซ่อนตัวอยู่ในภูเขา การล้อมและปราบปรามมันไม่ง่ายเลยให้พวกเขามาที่นี่ด้วยตนเองก็ดีทำให้ง่ายต่อการกวาดเรียบไม่เหลือซึ่งล้วนเป็นผลดีแก่ประชาชนด้วย”
นางพูดมีเหตุผล!
“วางใจเถอะ! ข้าจะเฝ้าติดตามเขาตลอดเวลา” คิดดูอีกทีนางก็พูดว่า “ในรังโจรน่าจะมีเงินเยอะใช่หรือไม่ กว่าเส้นทางการค้าจากเมืองหลวงจะมาถึงที่นี่ใช้เวลาครึ่งปียืมเงินของพวกเขามาใช้ก่อนน่าจะดี อืม…อย่างงั้นทำเช่นนี้เถิด! การค้าขายที่ได้ทั้งเงินทั้งคนจะหาได้จากที่ใดอีกเจ้าอย่าเผยพิรุธไปล่ะ”
“….” อาสวนมองนางเดินจากไปเขาถึงกับไปต่อไม่เป็นเลยทีเดียว
เวลาบ่ายวันนี้ ณ ที่ว่าการอำเภอ นักกวีวัยกลางคนกล่าวอำลานายอำเภอเฝิง เฝิงอี้ประหลาดใจ “ข้าละเลยท่านหรือเหตุใดจึงจากไปกะทันหันเช่นนี้เล่า”
นักกวีวัยกลางคนยิ้มพลางโบกมือ “ใต้เท้าเฝิงพูดอะไรกันข้าน้อยอยู่ที่นี่มาสามเดือนแล้วมีความเป็นอยู่ที่ดีไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่ข้าน้อยจากบ้านมานาน เป็นห่วงสถานการณ์ที่บ้านจึงอยากกลับก่อนก็เท่านั้น”
เฝิงอี้ตอบ “ไม่ใช่ว่าคนในครอบครัวท่านเสียไปหมดแล้วหรือ”
นักกวีวัยกลางคนยังคงมีสีหน้าไม่เปลี่ยนก่อนเอ่ย “ถึงบิดามารดาจะจากไปแล้ว ภรรยาก็ด่วนจากไปก่อน แต่พี่น้องของข้าน้อยยังมีชีวิตอยู่ยิ่งไปกว่านั้น เทศกาลไหว้บรรพบุรุษใกล้มาถึงก็ควรกลับไปจุดธูปให้พวกเขา”
“อย่างนี้นี่เอง” เฝิงอี้รู้สึกเสียดายมาก “ท่านเป็นคนมีความสามารถมาก เดิมทีข้าอยากเชิญท่านเป็นแขกที่นี่ต่อ”
นักกวีวัยกลางคนคารวะอีกฝ่าย “ข้าน้อยละอายใจที่จะทรยศต่อน้ำใจของใต้เท้า วันนั้นข้าน้อยเดินทางไกลและเกิดหิมะตกหนัก ถ้าไม่ใช่ใต้เท้าที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเกรงว่าจะตายในต่างแดนเสียแล้วบุญคุณของใต้เท้าข้าน้อยจะไม่มีวันลืม หากมีวาสนาต่อกันในอนาคตข้าน้อยจะกลับมาตอบแทนท่านอย่างแน่นอน”
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นๆ” นักกวีผู้นี้พูดได้ดีมากเขาจึงมอบค่าเดินทางจำนวนมากแก่อีกฝ่าย และส่งนักกวีวัยกลางคนที่ประตูเมืองก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไป
นักกวีวัยกลางคนออกจากประตูเมืองแล้วเดินต่อไปอีกห้าหกลี้ก่อนจะหยุดและหันไปทางภูเขา
…………
มีตะปูตัวแรกก็ต้องมีตะปูตัวที่สอง สองสามวันต่อมาพ่อค้าในเมืองก็มาส่งสินค้าตามที่พวกเขานัดหมาย และยังนำแรงงานกลุ่มหนึ่งมาด้วย หมิงเวยนั่งอยู่ที่ระเบียงทางเดินมองพวกเขาทีละคน
“คนนี้มีปัญหา อืม…คนนี้ก็มีปัญหาหลายวันนี้มาเพิ่มหลายคนทีเดียว ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะพอใจกับแพะอ้วนอย่างพวกเรามาก!” หนิงซิวนั่งอยู่ไม่ไกลเขานั่งฟังนางพูดแสดงความคิดเห็นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
“เอ๋” หมิงเวยเชิดหน้าถามเขา “อาจารย์ท่านดูคนนั้นสิ เขาเป็นเสวียนชื่อใช่หรือไม่เจ้าคะ”
หนิงซิวมองดูอย่างจริงจังและพูดว่า “เขาไม่น่าเคยเรียนวรยุทธ์มาก่อนมองไม่เห็นพลัง แม้จะเป็นเคล็ดวิชา แต่ก็เป็นแค่เสวียนชื่อพเนจร”
เคล็ดวิชากับวรยุทธ์เป็นสองเส้นทางซึ่งคนในสำนักส่วนใหญ่ได้ศึกษาเล่าเรียนอยู่แล้วซึ่งเหล่าเสวียนชื่อพเนจรที่หาเช้ากินค่ำไม่มีวิชาที่ได้รับสืบทอดจึงไม่ง่ายที่จะแยกแยะเส้นทางวรยุทธ์หรือเคล็ดวิชาของพวกเขาได้
แต่หมิงเวยกลับมั่นใจว่า “เขามีพลังแน่นอน แต่รู้วิธียับยั้งพลังของตนเอง ดูจากลักษณะแล้วคงเคยพบกันโดยบังเอิญมาก่อน”
“ดูจากลักษณะแล้วอย่างนั้นหรือ” หนิงซิวคิดอยู่ครู่หนึ่งทันใดนั้นก็ขมวดคิ้ว “ข้ารู้สึกคุ้นเคยคนผู้นั้น”
“เขาเปลี่ยนรูปลักษณ์เจ้าค่ะ” หมิงเวยพูด “บางทีอาจารย์อาจเคยเห็นเขามาก่อนแล้ว”
ถึงเขาจะไม่เปลี่ยนรูปลักษณ์ตัวนางที่จำหน้าคนไม่ได้ต่อให้เคยพบเขาก็เป็นไปได้ที่จะจำไม่ได้ แต่เมื่อเขาเปลี่ยนรูปลักษณ์สำหรับนางแล้วก็เหมือนหิ่งห้อยในตอนกลางคืนที่ส่องแสง