หลังจากเขียนยันต์เป็นเวลาหลายวัน หมิงเวยรู้สึกตาลายเล็กน้อย นางยกมือปิดปากหาว เลือกใบที่ใช้ได้และเตรียมตัวพักผ่อน
หลังจากล้างพู่กันเสร็จแล้วก็มีเสียงดังเล็กน้อยจากทางนอกหน้าต่าง
นางเปิดหน้าต่างจากนั้นก็มีควันลอยเข้ามาและตกลงบนโต๊ะ
“เป็นอย่างไรบ้าง มีอันใดเกิดขึ้นงั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ นายท่าน” งูขาวตัวน้อยพูด “มีจดหมายมาจากด้านนอก ท่านแม่ของท่านกำลังแต่งตัวเตรียมออกไปข้างนอกเจ้าค่ะ”
หมิงเวยพยักหน้าแล้วบอกมันให้เข้ามาซ่อนในแขนเสื้อของนาง จากนั้นนางก็จัดการกับเตียง กางม่านเตียง ดับไฟ ทำเหมือนกับว่าตนเองเข้านอนแล้วและกระโดดออกจากหน้าต่าง
ในค่ำคืนที่เงียบสงบ นางก้าวเท้าอย่างแผ่วเบาทว่ารวดเร็วจนเกิดเงาแวบๆ หากมีใครมาพบเข้าคงคิดว่าตนเองตาฝาดไปเอง
ห้องนอนของสองแม่ลูกอยู่ใกล้กัน ผ่านไปไม่นานนางก็มาถึงหน้าห้องนอนของฮูหยินสาม แสงเทียนสะท้อนที่หน้าต่างหมิงเวยค่อยๆ กรีดมันออกเบาๆ
ภายในห้อง ฮูหยินสามกำลังแต่งหน้าอยู่หน้ากระจก เผยให้เห็นใบหน้างดงามของนาง เสื้อผ้าเก่าๆ ที่เรียบง่ายก็เพียงพอให้เผยความสวยงาม อีกทั้งด้วยการแต่งเติมบนใบหน้าทำให้ใบหน้านั้นยิ่งดูสดใสมากขึ้น
นางเป็นคุณหนูเจ็ดมานาน แต่ก็ไม่เคยเห็นฮูหยินสามแต่งตัวเช่นนี้มาก่อน ปกตินางไม่ใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาดแล้วนับประสาอะไรกับการแต่งหน้า ออกไปกลางค่ำกลางคืนซ้ำยังแต่งกายเช่นนี้ นางไปทำอะไรกันแน่
ในหัวของนางมีแต่คำถาม
ในเวลานั้นแม่นมถงก้าวเข้ามาในห้องอย่างเร่งรีบ แล้วกระซิบเสียงเบาว่า “นายท่านสองมาเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสามประหลาดใจ “เขามาที่นี่ทำไมกัน หากมีอะไรจะพูดรอประเดี๋ยวไม่ได้รึไง เขาไม่กลัวคนอื่นมาเห็นเข้าหรือ!”
“เขาอาจจะไม่สะดวกที่จะคุยเรื่องนี้ข้างนอก” ฮูหยินสามถอนหายใจ “ให้เขาเข้ามา”
หมิงเวยใจเต้นที่นี่เป็นห้องนอน แต่ให้นายท่านสองเข้ามาได้เช่นนี้ ความสัมพันธ์ของพวกเขาคงไม่ธรรมดาจริงๆ
“มีเรื่องอันใดเร่งด่วนงั้นหรือ ท่านถึงทำตัวไม่ปิดบังเช่นนี้” ฮูหยินสามไม่ได้หันหลังกลับไป นางทาปากอยู่หน้ากระจก
นายท่านสองชำเลืองมอง ซู่เจี๋ยกับปิงซินเห็นดังนั้นก็เข้าใจ พวกนางย่อกายทำความเคารพแล้วเดินออกจากห้องไป หมิงเวยขมวดคิ้วอยู่นอกหน้าต่าง เมื่อเห็นเช่นนี้ แสดงว่าความสัมพันธ์ระหว่างนายท่านสองและฮูหยินสามคงดำเนินมาอย่างยาวนานแล้วสินะ
“ครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน ข้าเลยต้องมากำชับท่านสองสามคำ” นายท่านสองพูด “คนผู้นั้นกับตระกูลหลีมีปัญหากันอยู่ ไม่รู้ว่ามีกี่สายตาที่กำลังจ้องมองพวกเขา เพราะฉะนั้นข้าจึงทำได้แค่พาท่านเข้าไปในฐานะนางขับร้องเท่านั้น ท่านต้องดึงดูดความสนใจของเขาให้ได้”
ข้างนอกหน้าต่างหมิงเวยจับโครงหน้าต่างแน่น ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตนเองได้ยิน
มีปัญหากับตระกูลหลี วางในตำแหน่งนางขับร้อง ดึงดูดความสนใจจากเขาด้วยตัวเอง มันเป็นการส่งตัวฮูหยินสามให้กับ…นี่นางเข้าใจผิดไปหรือเปล่า จะเป็นไปได้อย่างไร
ฮูหยินสามหยุดการเคลื่อนไหว นางมองนายท่านสองผ่านกระจก เหมือนนางจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ผ่านมาหลายปีแล้ว ท่านดูกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนแล้วจริงๆ อย่างไรก็ตามเขาเป็นคุณชายของจวนตระกูลโหวโอกาสที่จะส่งคนเข้าไปแทบจะไม่มีเลย”
คุณชายจวนตระกูลโหว ส่งคนงั้นหรือ หมิงเวยหลับตาลงพยายามระงับลมหายใจที่เร็วขึ้นเนื่องจากความโกรธ
นางเข้าใจไม่ผิด นายท่านสองคิดจะส่งตัวฮูหยินสามให้คุณชายหยาง
ไอ้คนบัดซบ! เลวบัดซบยิ่งกว่านายท่านหกเสียอีก!
นายท่านสองไม่ได้โกรธและยังคงถามอย่างใจเย็น “ถึงภายนอกเขาจะดูเหลวไหล แต่นั่นอาจเป็นเพียงหน้ากากที่เขาสวมใส่อยู่ ท่านคอยจับตาสังเกตดูว่าเขาไม่ลงรอยกับเจี่ยวเหวินเฟิงจริงๆ หรือนั่นเป็นเพียงแค่การแสดง”
ฮูหยินสามโยนกล่องชาดสีแดงสำหรับทาแก้มไปที่โต๊ะเครื่องแป้งแล้วพูดเสียงเบา “เวลาแค่นั้นข้าทำไม่ได้หรอก”
“งั้นท่านต้องหาวิธี ให้เขารั้งท่านไว้ให้ได้” ฮูหยินสามได้ยินอย่างนั้นก็โกรธ “รั้งข้าไว้งั้นหรือแล้วที่เรือนนี้จะทำอย่างไร วันรุ่งขึ้นหากข้าไม่ปรากฏตัว คิดว่าเสี่ยวชีจะไม่รู้หรือ ท่านคิดว่านี่เป็นเหมือนเมื่อก่อนหรืออย่างไร”
“ข้าช่วยท่านปกปิดได้” เขารู้ว่านางโกรธ นายท่านสองพูดเสียงนุ่ม “ข้าเองก็คิดเพื่อท่าน นี่เป็นเรื่องสุดท้ายแล้ว ท่านเองก็ไม่ต้องการสร้างความยุ่งยากใช่ไหม หากงานนี้สำเร็จ ทางจวิ้นอ๋องไม่พูดอะไร ท่านอยากไปเมื่อไหร่ก็ไปได้เมื่อนั้นเลย”
เมื่อได้ยินเขาพูดถึงเรื่องนี้ ฮูหยินสามพยายามระงับความโกรธ “ได้ ครั้งสุดท้าย หวังว่าท่านจะรักษาสัญญา”
นายท่านสองล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อของเขาแล้วหยิบกล่องผ้าออกมาวางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง
“มันคืออะไรหรือ” ฮูหยินสามไม่เข้าใจ
“ท่านลองเปิดดู” ฮูหยินสามเปิดกล่องอย่างลังเล แล้วนางก็พบว่าในกล่องมีโฉนดที่ดิน โฉนดบ้าน สัญญาเช่าและตั๋วเงินอย่างละปึก
“นี่เป็นสิ่งที่น้องสามทิ้งไว้ให้พวกท่านสองแม่ลูก ข้าเพิ่มให้อีกบางส่วน” นายท่านสองมองไปที่นางพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลซึ่งทำให้คนฟังรู้สึกขนลุก “หากงานนี้จบลง ท่านก็นำของพวกนี้เข้าเมืองหลวงไปพร้อมเสี่ยวชี ของพวกนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกท่านสองแม่ลูกรวยไปตลอดชีวิต”
ฮูหยินสามมีสีหน้าผ่อนคลายลง นางรับกล่องผ้าอย่างไม่เกรงใจ “ถ้าท่านรักษาสัญญา ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่”
นายท่านสองพยักหน้า “หากเจ้าสอดแนมเรื่องเนื้อหาที่แท้จริงของคำสั่งจากฝ่าบาทด้วยจะดีมากนั่นคือกุญแจที่สำคัญที่สุด”
“ข้าไม่รับปาก แต่จะทำให้ดีที่สุด”
นายท่านสองยิ้มบางๆ สายตากวาดมองไปทั่วใบหน้าของนาง สายตาหยาบโลนนั้นทำเอาหมิงเวยกัดฟันกรอด “หากท่านพยายามเต็มที่มีหรือที่จะไม่สำเร็จ”
ไม่รอให้ฮูหยินสามออกอาการไม่พอใจ เขาหมุนตัวกลับ “เร็วเข้าเถอะ จะสายแล้ว”
“ฮูหยินเจ้าคะ” ปิงซินเข้าไปอีกครั้ง ฮูหยินสามถอนหายใจ นางเข้ามาช่วยปรนนิบัติเปลี่ยนเสื้อผ้า นำผ้าโปร่งบางมาปกปิดใบหน้าจากนั้นก็สวมหมวกคลุมใบหน้าอีกชั้น
ปิงซินหันกลับไปที่เตียงเพื่อกางม่านเตียงเห็นนางทำเช่นนี้แล้ว ดูเหมือนว่านางจะแกล้งทำเป็นนอนที่นี่ในฐานะฮูหยินสาม
ในเวลานั้นหมิงเวยได้ตัดสินใจแล้ว นางตวัดนิ้วใช้พลังปลุกวิญญาณและยิงเข้าไปทางช่องว่างของหน้าต่าง
ปิงซินไม่สามารถส่งเสียงร้องได้ นางล้มตัวนอนลงอย่างนุ่มนวล ฮูหยินสามตกใจและกำลังจะส่งเสียงร้อง แต่พลังปลุกวิญญาณก็พุ่งเข้ามาหานางและแทงเข้าไปที่จุดเลือดลมบนร่างกาย นางหลับตาลงและล้มตัวลงอย่างแผ่วเบา
หมิงเวยเปิดหน้าต่างแล้วกระโดดเข้ามาในห้อง นางพาฮูหยินสามไปที่เตียง จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าบนตัวนางอย่างรวดเร็วแล้วดึงผ้าห่มคลุมเอาไว้จากนั้นก็กางม่านปิด
มาคิดดูแล้วพอเห็นดินสอเขียนคิ้วบนโต๊ะเครื่องแป้ง นางจึงเขียนบางอย่างบนผ้าเช็ดหน้าแล้วยัดใส่มือของฮูหยินสาม
นางรู้ว่าฮูหยินสามจะไปทำอะไรแล้วจะให้นางมองดูอยู่เฉยๆ ได้อย่างไรเล่า
โชคดีที่เรื่องนี้หลอกได้ไม่ยาก พวกนางแม่ลูกมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน ผู้อื่นเห็นแวบแรกคงไม่ทันได้สังเกต
นางจะไปแทนฮูหยินสามไปปะปนอยู่กับนางขับร้องพวกนั้น และนางก็ไม่ได้ไปดึงดูดความสนใจของคุณชายหยาง เมื่อถึงเวลานั้นหากสองแม่ลูกสวมรู้ร่วมคิด นายท่านสองแม้จะสงสัยแต่คงไม่พูดอะไร
“ฮูหยินเจ้าคะ” เสียงของซู่เจี๋ยดังมาจากด้านนอก หมิงเวยรีบสวมหมวกคลุมใบหน้าอย่างรววเร็ว
ซู่เจี๋ยเดินเข้ามา เห็นนางยืนอยู่ตรงนี้แต่ไม่ได้สงสัยอะไร เมื่อเห็นว่าม่านเตียงถูกปิดลงแล้ว นางจึงยิ้มและพูดว่า “ปิงซินนี่ช่างขี้เกียจเสียจริง ครู่เดียวก็รอไม่ได้”
หมิงเวยพยายามกดเสียงของตน “ไปกันเถอะ”
นอกจากนี้นางยังรู้วิธีการเลียนเสียงเพื่อใช้ในการปลอมตัวด้วย อีกอย่างเสียงของนางและฮูหยินสามเหมือนกันแปดถึงเก้าส่วน
“เจ้าค่ะ” ซู่เจี๋ยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว นางหมุนตัวเดินออกไป
แม่นมถงรออยู่ที่ประตูเมื่อเห็นพวกนางเดินออกมาจึงลดเสียงลง “ฮูหยินเจ้าคะ อย่าไปฟังที่นายท่านสองพูดเลยเจ้าค่ะ รีบกลับมาเร็วๆ นะเจ้าคะ”
หมิงเวยรู้สึกอบอุ่นที่หัวใจ นางโค้งคำนับให้แม่นมถงแล้วรีบเดินเลี่ยงออกไป
นางไม่พูดอะไรอีกแล้วเดิมตามหลังซู่เจี๋ย เดินผ่านลานบ้านไปอย่างรวดเร็ว
ที่ประตูด้านข้างสวน มีเด็กรับใช้วัยเยาว์เดินออกมาจากความมืดและทำสัญญาณมือ
เจ้านายและสาวใช้เดินตามเขาไปไม่กี่ก้าวก็พบเกี้ยวคันเล็กที่ไม่เด่นจอดอยู่ท่ามกลางพงหญ้า ซู่เจี๋ยเลิกม่านเกี้ยวขึ้น รอจนผู้เป็นนายขึ้นเกี้ยวเรียบร้อยนางถึงขึ้นตามไป
เกี้ยวขนาดเล็กถูกยกออกจากสวนอวี๋ฟางแล้วเปลี่ยนไปขึ้นรถม้าที่ข้างประตูและขับออกจากจวนตระกูลหมิงไป
…………………………………………