ค่ำคืนอันนองเลือดได้ผ่านพ้นไปด้วยความโกลาหล คนเลี้ยงสัตว์และคนงานได้รับการปล่อยตัวในวันรุ่งขึ้น สิ่งที่พวกเขาเห็นคือทุ่งหญ้าสีเลือดซากศพที่เปื้อนเลือด และพวกโจรที่ถูกมัดไว้ที่นั่นเพื่อรอการลงโทษ
ตอนแรกที่เห็นก็ตกใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเห็นว่าเหล่าขุนศึกยังคงสนทนากันอย่างไม่ยี่หระเหมือนทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมพวกเขาจึงค่อยๆ สงบลง โดยธรรมชาติแล้วศพจะต้องถูกฝังไม่เช่นนั้นหากเมื่อฤดูร้อนมาถึงหากศพเกิดเน่าขึ้นมาจะเกิดปัญหาใหญ่ พื้นหญ้าต้องได้รับการทำความสะอาดไม่เช่นนั้นคราบเลือดที่เหลืออยู่จะดึงดูดแมลงวันได้
ส่วนโจรที่ยังมีชีวิตอยู่ในความดูแลของเหล่าขุนศึกหลังจากสารภาพทุกอย่าง และถูกประทับตราบนใบหน้า พวกเขาก็ถูกแก้มัด และถูกนำไปทำความสะอาดคอกม้าและพักผ่อน
คุณชายบอกว่าพวกเขาสามารถพักได้สองวันเพื่อรักษาบาดแผลแล้วก็ค่อยเริ่มทำงาน เหล่าขุนศึกคิดในใจว่าคุณชายใจดีเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร พวกเขาหากจะตายแล้วยังไม่สำนึกจะคู่ควรกับโอกาสที่สวรรค์ประทานให้หรือ
หลังจากกจ้ำจี้จ้ำไชอยู่หลายรอบเหล่าโจรก็คิดจนเวียนหัว แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นความจริง พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ตาย แต่ยังปล่อยให้พวกเขากินอิ่ม และมีเวลารักษาอาการบาดเจ็บจนหลงลืมไปเลยว่าเวลาสองวันไม่เพียงพอสำหรับการรักษาอาการบาดเจ็บหมายความว่ามีเวลาหายใจแค่พักเดียวจากนั้นต้องไปทำงานหนักเยี่ยงสัตว์…
เมื่อหนิงซิวกลับมาสิ่งที่เขาเห็นก็คือภาพเช่นนี้ ตอนออกเดินทางก็เป็นห่วงที่นี่อยู่ตลอด และเขาก็รีบกลับมาทันทีที่ได้รับข่าว เขาเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางที่แทบไม่ได้หยุดพัก และถึงสนามเลี้ยงม้าในช่วงบ่าย หลังจากถอดรองเท้าและเข้าไปในห้องแล้ว ภาพที่เขาเห็นก็คือหยางชูที่อยู่ในอาการง่วงนอนกำลังล้างหน้าขัดฟัน
“อรุณสวัสดิ์!” หยางชูทักทายเสียงอู้อี้ หนิงซิวเมื่อคิดถึงตนเองที่กังวลไปตลอดทาง จู่ๆ เขาก็รู้สึกอยากยกกู่ฉินทุบหัวตนเอง
“อรุณสวัสดิ์อาจารย์” หมิงเวยเองก็เดินออกมาแล้วหันไปถามตัวฝู “บ่ายนี้ทานอะไรหรือ”
“วันนี้มีกุ้งที่เพิ่งจับมาได้เจ้าค่ะ” ตัวฝูพูดอย่างร่าเริง “จะนำไปอบน้ำมัน ต้มลวก ย่างเกลือ…หรือนำไปสับทำลูกชิ้นกุ้งทอดได้หมดเจ้าค่ะ”
“ลูกชิ้นกุ้งทอดละกัน” หมิงเวยคิดแล้วตอบ
“ได้เจ้าค่ะ!” ตัวฝูรีบไปที่ห้องครัว
หนิงซิวเกือบคิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่เขาไม่ได้ออกไปไหนเลย ไม่มีเลือดที่หน้าประตู สิ่งที่คนงานกำลังฝังไม่ใช่ศพ นับประสาอะไรกับพวกโจรที่ยังมีชีวิต!
ฆ่าคนไปมากมายเพียงนี้ แต่เหตุใดแต่ละคนกลับดูสงบเช่นนี้กัน นี่เขาพบจอมยุทธ์ที่คุ้นชินกับการฆ่าจนอยากจะอาเจียนเมื่อได้กลิ่นเลือดที่ประตู เขารู้สึกว่าตนเองอาจจะต้องเข้าเรียนเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ศิษย์น้องของตนกลายเป็นราชาแห่งการสังหาร
อย่างไรก็ตามไม่ต้องรอให้เขาพูดหมิงเวยก็พูดขึ้นว่า “อาจารย์ ในเมื่อท่านกลับมาแล้วทำไมท่านไม่เดินทางไปยังหมู่บ้านที่รั้วล้อมรอบทั้งสี่ด้านเสียบ้างเล่าเจ้าคะ”
หนิงซิวเลิกคิ้ว “ที่นั่นทำไมหรือ”
“หมู่บ้านของโจรพวกนั้นไงเจ้าคะ!” นางพูด “ข้ารู้สึกไม่สบายใจหากให้คนอื่นไป โจรกลุ่มนี้ปล้นเงินไปเยอะเงินสามารถกระตุ้นจิตใจคนได้!”
หยางชูพูด “ศิษย์พี่เพิ่งกลับมาจะให้เขาไปได้อย่างไร ข้าไปเองดีกว่า! เงินพวกนั้นอาจเป็นทุนในการพัฒนาของเราได้”
หมิงเวยคิด “มีเหตุผลเจ้าค่ะ”
“ไม่!” หนิงซิวพูดด้วยท่าทีเงียบสงบ “ข้าไปเอง!” ฆ่าคนโดยไม่กะพริบตาอาจเห็นเงินแล้วตาโตก็เป็นได้ ดังนั้นเขาจึงกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แม้แต่ข้าวก็ยังไม่ได้ทานเขาเพียงหยิบอาหารแล้วพาคนออกเดินทางเท่านั้น
หยางชูที่กำลังทานอาหารอยู่มองแผ่นหลังอีกฝ่ายเดินจากไปแล้วถามคนข้างกาย “เป็นเช่นนี้จะดีหรือดูจากท่าทีแล้วเขาน่าจะกลับมาตอนเช้าตรู่”
หมิงเวยคีบลูกชิ้นกุ้งทอดขึ้นมา “ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ ยอดฝีมือเช่นเขาไม่ได้นอนหลับสักสองสามวันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยแม้แต่น้อย”
หยางชูคิด “เช่นนั้นก็ดี” เมื่อถามเสร็จแล้วหยางชูก็ทานข้าวต่อโดยไม่รู้สึกผิดอีก
………..
หลังจากทานข้าวอิ่มเรียบร้อยแล้วทั้งสองก็เดินเข้าไปยังห้องลับ
นายช่างโหวที่หิวจนท้องร้องเมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามาก็รีบลุกขึ้นทำความเคารพ “คารวะคุณชาย”
หยางชูโบกมือแล้วถาม “ชื่อที่แท้จริงของเจ้าคืออะไร”
นายช่างโหวอึกอักอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อเห็นสายตาของหมิงเวยเขาจึงตอบอย่างว่าง่าย “โหวเหลียง…”
เขาแค่นหัวเราะ “ขาดอะไรก็เติมแทนจริงๆ” นายช่างโหวผู้นี้สิ่งที่เขาขาดไม่ใช่มโนธรรมหรือ โหวเหลียงถูมือแล้วหัวเราะ อย่างไรเสียความหยิ่งในศักดิ์ศรีก็สูญเสียไปแล้วครั้งหนึ่งจะเสียไปอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องยาก
หยางชูหุบยิ้มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าไว้ชีวิตเจ้า แต่ข้าไม่คิดเก็บคนไร้ประโยชน์ไว้เป็นแน่ พวกคนข้างนอกดีที่ทำงานหนักได้เจ้าพูดมาว่าเจ้าสามารถทำอะไรได้บ้าง!”
ไม่รอให้โหวเหลียงตอบเขาก็เตือนขึ้นมาว่า “อย่าพูดว่ากำกับควบคุมการสร้างเรือนในเมื่อมีแผนผังอยู่แล้วแค่หาคนที่เข้าใจในเรื่องนี้ก็สร้างเรือนหลังงามๆ ได้แล้ว”
โหวเหลียงกลืนสิ่งที่คิดจะพูดลงไป และกวาดตามองเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มองหมิงเวยอย่างระมัดระวังสมองประมวลผลอย่างรวดเร็วว่าพวกเขาต้องการคำตอบแบบไหน
พูดถึงเคล็ดวิชาเขาเทียบไม่ได้เลยกับแม่นางหมิงส่วนเรื่องการกำกับดูแล คุณชายก็พูดออกมาชัดเจนแล้ว แล้วเขาสามารถทำอะไรได้อีกล่ะในรังโจรเขามีหน้าที่ออกความคิดเห็นเท่านั้น…
หืม…ออกความเห็นงั้นหรือ
โหวเหลียงนำเรื่องที่ได้ยินจากนายอำเภอเฝิงอี้บวกกับสิ่งที่เขาไปพบเจอมาหลายวันนี้ เขาคิดอย่างละเอียดจนกระทั่งพบจุดสำคัญเข้าจึงพูดคร่าวๆ ออกไปว่า
“ข้าน้อยได้ยินนายอำเภอบอกว่าคุณชายทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัยจึงถูกลดขั้นและถูกส่งมาที่นี่ และไม่ช้าก็เร็วคงเดินทางกลับเมืองหลวง”
หยางชูพยักหน้าส่งๆ พลางคิดในใจโหวเหลียงผู้นี้บอกอะไรที่เป็นประโยชน์ไม่ได้ให้ไปเป็นหัวหน้าคนงานแล้วกัน นิสัยของเขาแย่จริงๆ หากไม่ฉลาดพอก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะให้ทำงานสำคัญ
โหวเหลียงสังเกตท่าทางของเขาอย่างใกล้ชิดเมื่อเห็นว่าเขาใจลอยก็คิดได้ว่าประเด็นไม่ได้อยู่ที่จุดนี้ หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อยเขาก็พูดในสิ่งที่เขาสงสัยมาเป็นเวลานาน
“…อย่างไรก็ตามข้าน้อยพบว่าเรือนที่คุณชายต้องการสร้างไม่ใช่แค่ป้อมปราการ แต่เป็นเมืองเล็กๆ ที่ง่ายต่อการป้องกันแต่ยากต่อการโจมตี คุณชายคงไม่คิดที่จะกลับเมืองหลวงเร็วๆ นี้เป็นแน่”
เมื่อเห็นท่าทางของหยางชูเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นเล็กน้อยโหวเหลียงจึงแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ดีมากเขาเดาถูก!
“แล้วอย่างไรอีก” หยางชูหรี่ตามองเขา หลังจากคลำทางถูกแล้วก็ไม่ยากที่จะพูดต่อ
เขายิ้ม “คุณชายไม่คิดไปจากที่นี่ในตอนนี้ แต่ต้องการพัฒนาเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ระยะเวลาสองเดือนนี้คุณชายทำให้เกาถางรุ่งเรืองกว่าเมื่อก่อนมาก แต่เขตแดนซีเป่ยจะรุ่งเรืองได้ก็ต่อเมื่อสร้างเมืองเท่านั้น แม้ข้าน้อยจะถูกทำให้เสียชื่อเสียง แต่ก็เคยมานะบากบั่นมาก่อนจึงพอรู้เรื่องบริหารมาบ้างคิดว่าคงเป็นประโยชน์ต่อคุณชายได้ขอรับ”
“อ้อ” หยางชูเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ช่วยเหลืออย่างไร”
โหวเหลียงคิด หยางชูเกิดในครอบครัวทหารมีขุนศึกผู้กล้าหาญมากมายรอบตัวเขา นอกจากนี้ยังมีเสวียนชื่ออย่างหนิงซิวและแม่นางหมิง เขามีกำลังพลที่ทรงพลัง แต่ในเรื่องบริหารจัดการก็ยังด้อยกว่าเขาอยู่
เขาพูดอย่างมั่นใจ “หากท่านต้องการพัฒนาอย่างรวดเร็วพูดตรงๆ ก็คือต้องส่งเสริมความมั่งคั่ง และเพื่อสะสมความมั่งคั่งอย่างรวดเร็ว ข้าน้อยมีสองหนทาง หนึ่งคือการกวาดล้างพวกโจรบนภูเขาเหยียนซาน และยึดทรัพย์ที่ได้มาโดยมิชอบเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ สองคือการค้าขายกับหูเหรินสามารถสร้างรายได้มหาศาลได้อย่างง่ายดาย”
หยางชูมีสีหน้ามืดครึ้ม “ข้อแรกจบไปแล้ว ส่วนเรื่องทำการค้ากับหูเหริน เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันขัดต่อนโยบายแผ่นดิน”
ซีเป่ยเกิดความวุ่นวายราชสำนักจึงมีการสั่งห้ามทำการค้ามานานแล้ว