โหวเหลียงถูมือแล้วยิ้ม “ท่านกังวลเกินไปขอรับ ราชสำนักตัดสินเช่นนั้นแต่ผู้ใดจะทำตามกฎหมายได้อย่างไม่มีตกหล่นได้กัน แม้แต่กองทัพซีเป่ย แม่ทัพเหลียงและแม่ทัพจงยังไม่ทำเลย พวกเขาไม่สามารถควบคุมทุกคนได้ใช่หรือไม่ ถึงมีเล็ดลอดออกมาก็ถือว่าเข้าใจกันโดยไม่ต้องพูดอะไร”
พูดตรงๆ ก็คือลักลอบนำเข้า การลักลอบขนสินค้ามักถูกห้ามในเขตซีเป่ย
อาหาร ผ้า และใบชาจากจงหยวน[1] สัตว์ และหนังสัตว์จากหูเหรินได้รับความนิยมในการลักลอบนำเข้ามาโดยตลอด ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาดินแดนของชาวหูเหรินได้ค้นพบบ่อเกลือหลายแห่งดังนั้นเกลือจึงกลายเป็นสินค้ายอดนิยม
เกลือของทางการมีราคาสูง แต่เกลือของหูเหรินราคาต่ำ กำไรที่น่าทึ่งขนาดนี้ต่อให้เสี่ยงโดนตัดหัวก็ไม่สามารถหยุดการลักลอบขนสินค้าได้ แม้แต่กองทัพซีเป่ยก็ไม่สามารถทำความสะอาดได้อย่างสมบูรณ์
ในความทรงจำของหมิงเวยการล่มสลายของกองทัพซีเป่ยมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก สิบปีหลังจากนี้เมื่อหลิงตี้ขึ้นครองราชย์ การลักลอบนำเข้าของกองทัพซีเป่ยกลายเป็นเรื่องปกติ ตั้งแต่นั้นทุกอย่างก็พังไปตามๆ กันจนภายหลังไม่อาจทำสงครามได้และพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า
นางไม่เคยพูดเรื่องนี้กับหยางชู ปู่กับย่าของเขาเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจถึงเรื่องอันตรายนี้ เขาไม่พูดอะไรนอกจากแค่นหัวเราะจากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินจากไป โหวเหลียงตกใจเขาไม่รู้ตนเองพูดอะไรผิดตรงไหนจึงหันไปมองหมิงเวย
หมิงเวยมองเขาอย่างเห็นอกเห็นใจ “รู้จักกิ้งก่าหรือไม่”
โหวเหลียงแม้จะเป็นคนไม่ดี แต่เขาก็มีความรู้มากมายหลังจากครุ่นคิดสักพักเขาก็ตอบว่า “สัตว์ชนิดหนึ่งงั้นหรือ”
“ใช่ หรือเรียกอีกอย่างว่ามังกรเปลี่ยนสี ผิวบนร่างกายจะเปลี่ยนสีตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปเพื่อให้ปกปิดตัวตน ปรัชญาชีวิตของท่านโหวคล้ายคลึงกับมันมาก!”
โหวเหลียงหัวเราะแห้งๆ ในฐานะคนเลวต้องมีความตระหนักในคนเลวเป็นเรื่องปกติที่จะถูกผู้อื่นดูถูกเหยียดหยาม อย่าคิดรักษาในศักดิ์ศรีเพื่อต้องการมีชีวิตรอดสิ่งนี้ถือว่าไร้ค่า แต่ที่หมิงเวยพูดเช่นนั้นไม่ใช่เพื่อหัวเราะเยาะเขา นางพูดต่อไปว่า
“ในเมื่อต้องเป็นกิ้งก่าก็ควรทำตัวให้เหมาะสมกับตำแหน่งมากกว่านี้ เมื่อก่อนท่านอยู่ในถ้ำของโจรทำตัวเป็นโจร แต่ตอนนี้ท่านอยู่ภายใต้อำนาจของผู้ใดก็ควรเข้าใจหลักการของเขาในการจัดการกับสิ่งต่างๆ ด้วย”
โหวเหลียงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามอย่างไม่แน่ใจ “เชิญแม่นางหมิงชี้แนะได้เลย”
หมิงเวยหัวเราะ “ท่านรู้ที่มาของคุณชายหรือไม่”
โหวเหลียงตอบ “คุณชายเป็นลูกหลานของไท่จู่เป็นหลานชายขององค์หญิงหมิงเฉิง และเป็นบุตรที่เกิดหลังการเสียชีวิตของนายท่านสองตระกูลหยาง เต็มไปด้วยบ่าวที่คอยรับใช้ ตระกูลฝั่งมารดาคือตระกูลเผย ตระกูลขุนนางชั้นสูงน้าของเขาเป็นถึงกุ้ยเฟยซึ่งเป็นคนโปรดของฮ่องเต้…”
“พอแล้ว” หมิงเวยพูดขัดจังหวะเขา กาอันไหนไม่เปิดก็หยิบอันนั้น[2]จริงๆ ถูกลดตำแหน่งแล้วส่งมายังสถานที่ทรุดโทรมเช่นนี้ยังจะพูดว่าเป็นคนโปรดอะไรอีก
โหวเหลียงยิ้มแหยแล้วพูดกับนางว่า “หวังว่าแม่นางจะให้คำแนะนำได้”
“องค์หญิงหมิงเฉิงเป็นคนอย่างไรท่านรู้หรือไม่”
โหวเหลียงตอบ “องค์หญิงเป็นวีรสตรีผู้กล้าหาญเป็นแม่ทัพผู้มีชื่อเสียงแห่งยุค ติดตามไท่จู่ออกรบเหนือใต้ แต่เนื่องจากไม่โปรดปรานอำนาจจึงถอนตัวออกมาอย่างกล้าหาญ”
หมิงเวยถามอีกว่า “แล้วท่านคิดว่าผู้ที่องค์หญิงสั่งสอนมากับมือจะเป็นคนอย่างไร”
โหวเหลียงชะงักเขาเข้าใจขึ้นมาแล้ว
หมิงเวยยิ้มและหรี่ตามองเขา “หากต้องเปลี่ยนสีเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จ ท่านต้องรวมตัวเองเข้ากับสิ่งแวดล้อมนั้นจริงๆ แม้จะเป็นการโกหกตนเองก็ตาม คุณชายไม่ได้จำกัดอิสรภาพของท่าน ท่านสามารถมองไปรอบๆ และดูว่าคนรอบข้างเขาเป็นอย่างไรได้”
เมื่อพูดจบนางก็พูดประโยคทิ้งท้ายไปว่า “พยายามเข้าล่ะ” แล้วเดินจากไป
ทางด้านหนิงซิวจากไปหลายวันในที่สุดเขาก็กลับมา ด้วยท่าทางดั่งเซียนของเขา ยามกลับมากลับมีเบ้าตาลึกใบหน้าไร้สีเลือด หยางชูรู้สึกผิดในใจจึงต้อนรับเขาด้วยความกระตือรือร้นพร้อมรินชาให้
“ลำบากท่านแล้ว” หนิงซิวพูด “ทรัพย์สินในรั้วถูกนำออกมาหมดแล้ว แต่ที่ซ่อนสมบัติอื่นกลับถูกโจรกลุ่มอื่นขโมยไป”
“อะไรนะ” จู่ๆ หยางชูก็รู้สึกเหมือนถูกพรากเงินออกจากกระเป๋า “โจรกลุ่มใดมีกี่คนกัน”
หนิงซิวเหลือบมอง “เจ้าจะพาคนไปจัดการพวกเขาหรือ”
“เอ่อ…” หยางชูกลืนคำพูดได้ทันเวลา “ข้าเพียงแต่ถามก็เท่านั้น”
หนิงซิวยิ่งยืนหยัดในการตัดสินใจของตัวเอง ดูสิเวลาเพิ่งผ่านไปไม่เท่าไรเขาก็กลายเป็นคนนิสัยอันธพาลเช่นนี้แล้ว!
“ข้าก็เลยบอกว่าลำบากหน่อยนะโจรจากเขาเหยียนซานมีมากกว่าที่คิด พวกเขาติดต่อกันเพื่อร่วมมือกันในการปล้นสะดม และโจมตีซึ่งกันและกัน ถ้าอยากได้สมบัติที่ซ่อนอยู่นั้นกลับคืนมาเกรงว่าจะต้องใช้เงินมาก ในความคิดของข้ามันไม่คุ้มเอาเสียเลย”
“เงินเท่าไรกัน”
“เงินมีไม่มาก แต่มีเครื่องเงินโบราณมากมายซึ่งดูมีมูลค่าไม่น้อย แต่ก็ไม่คุ้มที่จะนำกลับมาหรอก”
หากโจรรู้วิธีบริหารจัดการก็คงไม่มาอยู่ในสภาพนี้หรอก พวกเขามีเหรียญเงินอยู่ในมือ ใช้เวลาไม่นานเดี๋ยวเงินก็หมดไป พอมาลองคิดดูพวกเขายังตัดสินใจเลือกเมืองที่ยากจนอย่างเกาถาง จะร่ำรวยได้ถึงเพียงไหนกัน
อย่างไรก็ตามหากบอกว่าพวกเขาไม่มีทรัพย์สินก็คงไม่ถูกต้อง สิ่งของที่ขโมยมานั้นไม่มีช่องทางให้ขายแบบสินค้าผิดกฎหมาย ไม่สามารถขายออกไปได้ หากไม่ทำลายทิ้งก็ต้องกองไว้ที่นี่
การไปถ้ำโจรครั้งนี้ของหนิงซิว สิ่งของต่างๆ ถูกนำกลับมาจำนวนมาก ผ้าบางชิ้นที่เก็บรักษายากก็เสียหายจนไม่สามารถนำมาใช้ได้ แต่ก็ยังมีสินค้าล้ำค่ามากมายเช่นกัน
หยางชูออกไปข้างนอก และบังเอิญเห็นโหวเหลียงที่ชะโงกหัวเยี่ยมๆ มองๆ ดังนั้นเขาจึงเดินเข้าไปหาแล้วดันอีกฝ่ายอย่างหยาบคาย
“ตีราคาเป็นหรือไม่”
วันนั้นหลังจากได้รับคำชี้แนะจากหมิงเวยเขาจึงออกจากห้องลับอย่างระมัดระวังแล้วก็พบว่าไม่มีผู้ใดขัดขวางเขาจริงๆ ดังนั้นเขาจึงเดินไปรอบๆ สนามเลี้ยงม้าเห็นแม่ทัพตระกูลหยางจึงเข้าไปคุยกับคนอื่นๆ เพราะก่อนหน้านี้เขาเป็นนายช่าง เหล่าขุนศึกจึงให้ความเคารพเขา แต่ตอนนี้เขาเป็นนักโทษผู้ใดจะสนใจเขากัน
แต่เพราะเขาหน้าหนาแม้ผู้อื่นไม่สนใจเขาก็แค่ยืนฟังเงียบๆ ทำแบบนี้อยู่หลายครั้งจนเหล่าขุนศึกค่อยๆ ปล่อยเขาไป เขาเพิ่งค้นพบทางเข้าประตูก็ถูกหยางชูพบเข้าเขารู้สึกอกสั่นขวัญแขวน และตอบอย่างกล้าๆ กลัวๆ ไปว่า “พอเข้าใจขอรับ…”
“คำนวณสิว่าตรงนี้ได้ราคาเท่าไร!”
โหวเหลียงหาเสียงตัวเองอยู่นานก่อนจะตอบตัวเลขไปว่า “โบราณวัตถุเหล่านี้ ของชิ้นเล็กหากนำมาคิดมูลค่ารวมน่าจะประมาณ…แสนตำลึง” หยางชูตกตะลึง
แสนตำลึง รังโจรที่มีคนเป็นร้อยสามารถปล้นมาได้หนึ่งแสนตำลึง เหตุใดเงินจำนวนนี้ถึงได้มาง่ายดายเพียงนี้กัน
หัวหน้าโจรที่ถูกพาไปยังสถานที่ที่กำหนดเองก็ตกใจ ผมเผ้าชี้ฟู เขาถามโหวเหลียงเสียงอ่อน “แสนตำลึงงั้นหรือ…ของแตกหักพวกนี้เนี่ยนะมูลค่าแสนตำลึง”
โหวเหลียงมองดูเขาอย่างดูถูก “ข้าเคยบอกแล้วว่าของพวกนี้สามารถส่งไปเมืองหลวงได้แลกเป็นเงินไม่น้อยกว่าแสนตำลึง แต่ท่านไม่ฟังเอง”
หัวหน้าโจรคำรามในใจแน่นอนว่าเขาไม่ฟัง ไอ้เด็กนี่ใช้วิธีขุดเอาจากหมู่บ้านข้างเคียงกอบโกยผลประโยชน์เข้าตนเอง ผู้ใดจะคิดว่ามันพูดจริง! พวกเครื่องเหล็กทองแดงหักๆ เหล่านี้เหตุใดถึงมีมูลค่าถึงแสนตำลึงเชียว ด้วยเงินจำนวนนี้สามารถไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในเมืองหลวงได้เลย!
เขาบ่นเสียใจในภายหลังเกลียดที่โลกนี้ไม่มียาแก้รักษาโรคเสียใจภายหลังให้ทาน…
“ดี!” หยางชูปรบมือและตัดสินใจว่า “พรุ่งนี้ฝึกซ้อมอีกเท่าตัว” ฝึกทหารให้ดีเพื่อไปปราบกลุ่มโจรพวกนั้น!
“ศิษย์น้อง…” หนิงซิวรู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อยทำไมยิ่งเขาช่วยเหลืออีกฝ่ายก็ยิ่งเดินไปยังทางสายนี้มากขึ้นกัน
………….
[1] จงหยวน : หมายถึงที่ราบแถวแม่น้ำหวงเหออันเป็นอู่อารยธรรมจีน ปัจจุบันคนจีนเรียกประเทศตัวเองว่า จงกั๋ว (中国) ความหมายเดิมแปลว่า ประเทศกลาง หมายความถึงอารยธรรมจีนโบราณที่รุ่งเรืองแถบที่ราบกลางแม่น้ำหวงเหอ โดยมีรัฐชายขอบหรือชนเผ่าต่างอยู่รายรอบ
[2] กาอันไหนไม่เปิด ก็หยิบอันนั้น : ประเด็นไหนไม่ควรยกขึ้นพูด ก็พูดอันนั้น