หมิงเวยถูกเขากดลงกับโต๊ะแม้จะไม่ได้แรงอะไรแต่ก็ทำนางรู้สึกหัวหมุนได้
“ข้าจะ…” พูดไปได้แค่นั้นคำพูดหลังจากนั้นก็หายไปในริมฝีปากของเขา
มือที่วางอยู่ตรงลำคอปลดคอเสื้อของนางออกจากนั้นเลื่อนลงต่ำรั้งเอวของนางไว้ ส่วนอีกข้างวางทาบไปที่แผ่นหลังดึงเอานางมาไว้ในอ้อมกอด
ท่านี้ทำให้ทั้งสองแนบชิดกันมากขึ้นไม่รู้ว่าความโกรธที่ค้างอยู่นั้นมากเกินไปหรือเปล่า หยางชูถึงควบคุมตัวเองไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมิงเวยไม่ต่อต้านเลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกไม่สบายในตอนแรกหายไปจากนั้นนางก็ยกมือโอบรอบคอเขา
ทั้งสองโซซัดโซเซจนทำถ้วยชาหก เก้าอี้ล้มคว่ำ ชนกล่องจนสุดท้ายสะดุดล้มลงบนเตียงอย่างอื่นไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าจะถามอะไร นึกจุดประสงค์ของการเข้ามากลางค่ำกลางคืนไม่ออก เมื่อไฟถูกจุดมันก็จะลามไปทั่วทุ่งหญ้า เขาอยากจะฉีกผ้าออกจากร่างของนางอย่างใจจดใจจ่อ แต่กลับไม่ระวังกระชากม่านกั้นเตียงไปด้วย เดิมทีของตกแต่งเรือนเหล่านี้ถูกทำขึ้นเพื่อนำมาใช้ชั่วคราว เมื่อดึงแรงเกินไปจนชนเข้ากับเสาเตียงจึงทำให้มีเสียง ‘ตึงตัง’ ตามมาด้วยเสียงผ้าที่ฉีกขาด สิ่งของที่อยู่ข้างบนนั้นตกลงมากระจัดกระจาย บางส่วนก็กลิ้งลงมา บางส่วนก็ตกลงกระแทกเก้าอี้
การเคลื่อนไหวที่ดังเกินไปจึงทำให้เสียงของอาสวนดังขึ้นจากด้านนอกอย่างรวดเร็ว “คุณชายขอรับ” แต่ไม่มีเสียงตอบรับ
อาหว่านพูดอย่างเป็นกังวล “ต้องเกิดเรื่องกับคุณชายแน่ๆ พวกเราเข้าไปดูกันเถอะ” พูดแล้วนางก็คิดจะแตะประตู
อาสวนรั้งนางเอาไว้ และกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่หยางชูพูดขึ้นว่า “ข้าไม่เป็นอะไรพวกเจ้าไม่ต้องกังวล”
อาหว่านกังวลมากนางตะโกนขึ้นว่า “คุณชายอย่าโกรธคนเดียวเลยเจ้าค่ะ! หากท่านอารมณ์ไม่ดีพวกเราจะอยู่เป็นเพื่อนท่านเอง!”
“ไม่ต้อง” หยางชูรีบพูด “พวกเจ้ากลับไปนอนเถอะ”
อาหว่านอยากจะพูดอีก แต่อาสวนเห็นหน้าต่างที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่งและได้สังเกตเห็นอะไรบางอย่างจึงดึงตัวอาหว่านแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นระวังตัวด้วยขอรับ”
แล้วเขาก็ลากอาหว่านออกไปทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
หยางชูก้มศีรษะลง และมองไปที่หมิงเวย ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิง ใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาเป็นประกาย และริมฝีปากที่ชุ่มฉ่ำ
เมื่อคิดได้ว่าเป็นเพราะเขาแทะเล็มนางก็รู้สึก…แต่หมิงเวยกลับถามเขาว่า “ท่านอยากต่อหรือไม่”
“….” หยางชูเหลือบมองไปรอบๆ “ท่านอยากต่อทั้งอย่างนี้หรือ” สภาพห้องนี้พังเละมากจนน่ากลัว
หมิงเวยหัวเราะเบาๆ “ดูเหมือนท่านจะไม่ได้ต้องการขนาดนั้น” ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สนใจเรื่องสภาพห้องหรอก
หยางชูอยากจะบีบคอนางมาก เมื่อครู่เขาแค่โกรธมากไปไม่ใช่คนมากตัณหาสักหน่อย
“ไม่ต้องลุกขึ้นหรอก” หมิงเวยดึงเขาลงจากนั้นก็ผลักพวกสิ่งของที่พังออกไปแล้วทั้งสองก็นอนเคียงข้างกันบนเตียง “เมื่อครู่โกรธใช่หรือไม่”
นางหมายถึงเรื่องที่นางจะเดินทางไปหูตี้ หยางชูร้อง ‘อื้อ’ แล้วไม่พูดอะไร
หมิงเวยดึงแขนเขามาวางไว้บนหมอน และเล่นนิ้วของเขา “จำที่ข้าบอกกับท่านก่อนหน้านี้ได้หรือไม่อีกฟากหนึ่งของเขาเหยียนซานจะปรากฏราชวงศ์ที่รวมเป็นหนึ่งในไม่ช้านี้”
หยางชูตอบกลับเสียงเบา “ข้าจำได้ปีก่อนท่านพูดว่าหากนับเวลาแล้ว ตอนนี้เหลือเวลาอีกหนึ่งปี” ตอนนั้นพวกเขายังอยู่ที่ตงหนิงหนึ่งปีที่ผ่านมานี้เขายังกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงให้ความสำคัญกับทิศทางในอนาคตของกองทัพซีเป่ยเป็นอย่างมาก
“ดังนั้นข้าเลยต้องไปที่นั่น” นางพูด “ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุด และอาจเป็นโอกาสสุดท้ายไม่แน่ว่าอาจสามารถเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้”
หยางชูเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้โกรธเรื่องนี้ แต่ท่านไม่เคยคุยกับข้าเรื่องนี้เลยหรือว่าพวกเราไม่สนิทกันมากพอเหตุใดข้าถึงรู้พร้อมกันกับพวกเขาเล่า”
หมิงเวยยิ้มนางหันข้างแล้วเอื้อมมือไปกอดเขา
หยางชูดันนางออกด้วยสีหน้านิ่ง “ข้าให้ท่านอธิบายไม่ได้ให้กอด”
หมิงเวยเปลี่ยนจากหัวเราะเบาๆ เป็นหัวเราะเสียงดัง
เขากังวลว่าอาสวน และคนอื่นๆ จะได้ยินจึงดึงนางกลับมา “อย่าส่งเสียงดังสิ!”
หมิงเวยหัวเราะพอแล้วนางดันตัวเองออกจากอ้อมกอดเขาแล้วพลิกกายทาบทับบนตัวเขาก่อนจะพูดว่า “ได้ ข้าผิดเองที่ไม่บอกเรื่องนี้กับท่านก่อนหลังจากนี้จะไม่ทำอีกแล้ว” นางเป็นเด็กดีที่รู้จักแก้ไขความผิดพลาดของตนเอง
หยางชูถอนหายใจอย่างโล่งอก และหลังจากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่า “ท่านจงใจ! หากบอกกับข้าก่อนเกรงว่าข้าจะเสนอเงื่อนไขใช่หรือไม่จึงตั้งใจทำให้เป็นเช่นนี้แล้วมาขอโทษทีหลัง เช่นนั้นข้าจะได้ไม่สามารถเสนอเงื่อนไขเพิ่มเติมอะไรกับท่านได้!”
แน่นอนว่าหมิงเวยไม่ยอมรับ การสื่อสารระหว่างผู้คนก็เหมือนกับการทำธุรกิจ
พ่อค้ามักจะตั้งราคาสูงเสมอ จากนั้นก็ยอมให้ต่อรองราคาหากผู้ซื้อขอลดสำเร็จก็ซื้อไป หากเสนอราคาตั้งแต่เริ่มต้นผู้ซื้อยังคงรู้สึกขาดทุน และต้องการลดราคาอีก
หยางชูเข้าใจเหตุผลนี้ก็รู้สึกโกรธ “ท่านกลัวว่าข้าจะตามท่านไปงั้นหรือ”
เมื่อมาถึงจุดนี้หมิงเวยจึงยอมรับในที่สุด “ที่นี่คือสนามรบของท่าน อาจารย์ฟู่ได้ต่อสู้เพื่อเงื่อนไขที่ดีเช่นนี้เพื่อนำท่านออกจากสายตาของการเฝ้าระวังได้ มีสถานที่เช่นนี้ให้ท่านได้แสดงฝีมือจะปล่อยให้มันสูญเปล่าได้อย่างไร ปรัชญาการทหารที่ท่านได้เรียนรู้ควรนำมาใช้ในสนามรบไม่ใช่เพื่อมาทำสิ่งเหล่านี้ การค้นหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อเอาชนะเป็นหน้าที่ของข้า”
“แต่ว่าข้า…” คิ้วของเขาขมวด แต่มือของนางกลับลูบแต้มสีชาดที่หน้าผากของเขา “ข้าหวังว่าสักวันหนึ่งท่านจะสามารถปรากฏตัวในรูปลักษณ์ที่แท้จริงได้”
หยางชูเอนหลังกลับไปเขารู้ว่าสิ่งที่นางพูดนั้นสมเหตุสมผล การไปยังหูตี้แล้ววางแผนอย่างลับๆ เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะกับเขา ป้อมปราการอยู่ระหว่างการก่อสร้าง โจรบนภูเขาก็รอที่จะต้องเก็บกวาดจำเป็นต้องมีเขาบัญชาการรักษาการณ์ด้วยตนเอง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือถ้าเขาออกจากเกาถางทางฝั่งฮ่องเต้ไม่สามารถทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้อีกเพราะอาจเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นได้
เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดคือให้เขาอยู่ที่นี่…
“ท่านจะไปนานเท่าไร” หยางชูถามอย่างไม่เต็มใจ
“ข้าเองก็ไม่รู้” หมิงเวยตอบ “ข้าวางแผนที่จะให้โหวเหลียงสวมรอยเป็นพ่อค้านำสินค้าไปที่หูตี้ หากจัดการได้เร็วข้าจะรีบกลับมาโดยเร็วที่สุดซึ่งไม่น่าเกินหนึ่งปี”
หนึ่งปีหลังจากนี้ราชวงศ์เว่ยตะวันตกถือกำเนิดขึ้นนางไม่มีประโยชน์ที่ต้องอยู่ที่นั่นอีกต่อไป
“หนึ่งปี…” หยางชูรู้สึกว่าช่วงเวลานี้ยาวนานเกินไปเขารู้สึกหมดหวัง ระยะเวลาหนึ่งปีที่ไม่ได้เห็นหน้านางยิ่งไปกว่านั้นการไปหูตี้เป็นเรื่องที่อันตรายมาก แม้ว่านางจะมีความสามารถมาก แต่ผู้ใดจะมั่นใจได้ว่าจะไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น คนหูเหรินเป็นพวกดุร้ายแค่ไหนทุกคนย่อมรู้ดี
“เพราะฉะนั้น” หมิงเวยดันหน้าอกเขาเบาๆ “จะไม่ต่อจริงๆ หรือ”
“….”
หยางชูหันกลับมากดนางไว้ใต้ร่างเขาอีกครั้งแล้วถามเสียงเข้ม “นั่นคือสิ่งที่ท่านคิดอยู่หรือ…”
“ท่านต้องการมากหรืออย่างไร!” ยิ่งเขาโกรธหมิงเวยยิ่งอยากหัวเราะ “มองท่านที่แสร้งทำเป็นไม่ต้องการก็รู้สึกเหนื่อยแทนอีกอย่างพอข้าจากไปแล้วไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไร ท่านอดทนเช่นนี้หากวันหนึ่งเกิดไม่ไหวขึ้นมาแล้วไปแตะต้องผู้อื่นจะทำอย่างไรข้าไม่โกรธตายเลยหรือ”
“….” ก็มีเหตุผล! หยางชูรู้สึกสับสนเล็กน้อยเขาคลายมือออก หมิงเวยใช้โอกาสนี้พลิกตัวสลับตำแหน่งกับเขา
“ท่านไม่ต้องกังวลพวกเราจะไปอย่างช้าๆ คงไม่อยากเป็นเช่นนั้นหรอกใช่หรือไม่ อย่างครั้งที่แล้ว…”
เมื่อนางพูดถึงครั้งก่อนใบหน้าของหยางชูแดงขึ้นเล็กน้อยหัวใจของเขาสั่นคลอน
คงจะ…อาจจะ…เหมือนว่า…จะได้ใช่หรือไม่