เสี่ยวถงเดินถือม่านเตียงที่ฉีกขาดออกมาจากห้องของหยางชูแล้วถามว่า “คุณชาย เหตุใดชั้นวางของบนเตียงถึงได้กระจัดกระจายเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ”
หยางชูที่กำลังดื่มชาอยู่เกิดสำลักเขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดด้วยความเขินอายแต่แสร้งทำเป็นสงบจิตสงบใจ “ข้าไม่ระวังเลยชนมันเข้าน่ะมันเลยหักกระจาย”
“ไม่น่าเชื่อ” เสี่ยวถงบ่นแล้วนางนึกได้ว่าเมื่อวานคุณชายเหมือนจะโกรธจึงพูดโน้มน้าวไปว่า “คุณชาย หากท่านโกรธท่านคุยกับแม่นางหมิงดีหรือไม่เจ้าคะ เตียงไม่ผิดอะไรเลย!”
นางคิดว่าหยางชูทุบเตียงเพื่อระบายความโกรธ หยางชูที่รู้ความจริงดีได้แต่เพียงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
เสี่ยวถงวางม่านเตียงลงแล้วกลับไปทำความสะอาดผ่านไปสักพักนางก็ยกผ้าปูที่นอนออกมาแล้วถามว่า “คุณชายท่านจะโยนไว้ใต้เตียงทำไมหรือเจ้าคะ ดูเหมือนจะยังไม่ขาดอะไรงั้นบ่าวจะนำไปซัก…”
หยางชูเห็นท่าไม่ดีก็รีบแย่งมาไว้ในมือ “เจ้าไม่ต้องเดี๋ยวข้าจัดการเอง…”
“ได้อย่างไรกันเจ้าคะ” เสี่ยวถงปกป้องงานของตนเองในฐานะสาวใช้ “จะให้คุณชายทำอย่างนั้นได้อย่างไร บ่าวจัดการเองเจ้าค่ะ!”
หยางชูไม่ลังเลที่จะแย่งผ้าปูที่นอนคืนมาและสั่งว่า “ฟังเจ้าหรือจะฟังข้ากันแน่”
“ก็ได้เจ้าค่ะ” เสี่ยวถงยอมปล่อยอย่างไม่เต็มใจ เมื่อหยางชูนำผ้าปูที่นอนไปซ่อนเสร็จหนิงซิวก็เดินออกมา
“ศิษย์พี่” หนิงซิวพยักหน้าแล้วถามราวกับเป็นเรื่องปกติ “ทำไมไม่นอนอีกหน่อยเล่า”
หยางชูไม่เข้าใจ “หืม…”
“เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ดึกแล้วข้าเห็นแม่นางหมิงยังไม่ตื่นเลย” ศิษย์พี่เหตุใดท่านถึงรู้ได้!
…………
โหวเหลียงได้ยินเสียงเรียกก็เดินไปหาอย่างเชื่อฟัง เขารู้ว่าตอนนี้จุดยืนของตนเองน่าเป็นห่วงมีคนจำนวนไม่น้อยมาจากเมืองหลวง นอกจากผู้จัดการ นักบัญชีแล้วยังมีผู้รับผิดชอบเอกสารด้วยโอกาสที่คุณชายจะเรียกใช้เขาก็น้อยลง
เมื่อเทียบกับเขาคุณชายต้องเชื่อใจผู้คนที่มาจากเมืองหลวงมากกว่าอยู่แล้ว โหวเหลียงรู้ดีว่าตนเองต้องรอโอกาสแสดงทักษะแสดงคุณค่าอันสมควรเพื่อให้ได้ตำแหน่งที่เขาต้องการ
แต่เขากลัวว่าตนเองจะรอไม่ถึงโอกาสนั้นเขาอาจจะ…
“มาแล้วหรือ!” หมิงเวยสวมถุงเท้าสีขาวเดินมาตามระเบียงทางเดินและทักทายอย่างเป็นกันเอง
โหวเหลียงรีบทำความเคารพ “แม่นางหมิง”
“ถอดรองเท้าแล้วตามข้ามา” หมิงเวยพูดทิ้งท้ายแล้วเดินเข้าไปในห้องหนังสือ
โหวเหลียงรู้สึกประหลาดใจ ให้เขาถอดรองเท้า เขามีคุณสมบัติที่จะเข้าไปในเรือนได้หรือไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็คว้าโอกาสนี้ไว้ก่อนละกัน! โหวเหลียงถอดรองเท้าปัดฝุ่นออกจากถุงเท้า และชายเสื้ออย่างระมัดระวังแล้วเดินเข้าไปในห้องหนังสืออย่างแผ่วเบา
หมิงเวยนั่งลงบนเก้าอี้มองไปยังโหวเหลียงก้มศีรษะโค้งกายอย่างเชื่อฟัง
“ท่านนั่งเถอะ”
โหวเหลียงก้มศีรษะลง “ข้าน้อยไม่กล้าขอรับ”
หมิงเวยไม่ได้บังคับนางจิบชาแล้วพูดว่า “เรือนสร้างใกล้เสร็จแล้วคิดว่าอีกไม่นานท่านคงมีเวลาว่างมากขึ้น”
โหวเหลียงได้ยินดังนั้นก็คิดว่าตนกำลังจะตกงานดังนั้นเขาจึงรีบพูดว่า “ยังมีรายละเอียดเล็กน้อยที่ต้องทำขอรับโดยเฉพาะจวนของคุณชายรายละเอียดแต่ละจุดต้องแกะสลักอย่างละเอียด”
“ไม่ต้องแกะสลักให้ละเอียดถึงเพียงนั้นก็ได้” หมิงเวยพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ท่านก็รู้ว่าจุดสำคัญอยู่ที่กำแพงเมือง”
โหวเหลียงยิ่งตื่นตระหนก “ข้าน้อย ข้าน้อยยังสามารถทำอย่างอื่นได้…”
คงไม่ใช่ว่าเขาไร้ประโยชน์แล้วต้องการฆ่าปิดปากหรอกนะ เพราะเขารู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของการสร้างประตูรั้ว และหอสังเกตการณ์แล้ว
หมิงเวยเห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็ยิ้ม “ท่านคิดว่าพวกเราใช้งานท่านหมดแล้วเลยคิดจะโยนทิ้งงั้นหรือ”
โหวเหลียงตกใจ “ไม่ใช่อย่างนั้นหรือขอรับ”
“คิดมากเกินไปแล้ว! ท่านมีประโยชน์ถึงเพียงนี้จะทิ้งได้อย่างไร” หมิงเวยพูดกระตุ้น “เพียงแต่ข้ามีงานอื่นให้ท่านทำไม่รู้ว่าท่านจะสนใจหรือไม่”
“สนใจ สนใจขอรับ!” โหวเหลียงพยักหน้าอย่างรัวเร็วราวกับไก่จิกข้าว สัญชาตญาณบอกเขาว่าโอกาสมาถึงแล้ว!
“เช่นนั้นก็ดีเลย!” หมิงเวยพูด “ท่านสร้างกองคาราวานภายในครึ่งเดือนนี้ หลังจากนั้นพวกเราจะเดินทางไปที่เขาเหยียนซานกัน!”
กองคาราวานข้ามเขาเหยียนซานไปหูตี้หรือ คงไม่ใช่ว่า…
“ลักลอบนำเข้าหรือขอรับ” โหวเหลียงถามเสียงเบา
หมิงเวยหัวเราะ “ใช่แล้ว!”
โหวเหลียงไปไม่เป็นก่อนเอ่ย “แต่คุณชายไม่ชอบ…”
“คุณชายก็ส่วนคุณชาย ข้าก็ส่วนของข้า” หมิงเวยพูด “ความสามารถเช่นนี้ของท่านจะให้อยู่สร้างเรือนไปก็น่าเสียดาย หากไปหูตี้จะสามารถสำเร็จการใหญ่ได้อย่างแน่นอน” โหวเหลียงเข้าใจขึ้นมาทันทีเขาทั้งดีใจแต่ก็กังวล
ที่ดีใจก็คือหากต้องการลักลอบนำเข้าจริงๆ เขาก็สามารถแสดงศักยภาพของตนเองได้ แต่ที่กังวลก็คือการลักลอบขนของเป็นเรื่องที่อันตรายมากยิ่งช่วงนี้สถานการณ์ในหูตี้อยู่ในความไม่สงบหากเสียชีวิตขึ้นมาก็เป็นเรื่องปกติ
เขาไม่ได้ต้องการศักดิ์ศรีไม่ใช่เพื่อรักษาชีวิตของตนเองหรอกหรือไปที่นั่นดูไม่คุ้มที่จะเสี่ยง…
“ทำไม ไม่อยากไปงั้นหรือ” เห็นเขาไม่ตอบหมิงเวยจึงถาม
โหวเหลียงเงยหน้าสบตากับดวงตาอันล้ำลึกของนางและกัดฟันตอบ “แม่นางหมิงต้องการเช่นนั้นข้าน้อยไม่กล้าปฏิเสธหรอกขอรับ!” ไปหูตี้ก็ยังมีโอกาสกลับมาได้อย่างปลอดภัย หากไม่ตกลงทุกอย่างก็จบในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ลองสู้สักตั้งเถอะ!
หมิงเวยพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ถ้าเช่นนั้นท่านก็รีบไปเตรียมตัวเถอะ! ”
สติของโหวเหลียงปลิวหายไปอย่างรวดเร็วเขาพูดว่า “แม่นางหมิง ข้าน้อยขออนุญาตถามท่านได้หรือไม่”
“ว่ามา”
“การที่พวกเราเดินทางไปหูตี้จุดประสงค์เพื่อหารายได้หรือ”
หมิงเวยหัวเราะ “ไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นท่าน”
“พ่อค้ากองคาราวานคือท่าน” หมิงเวยพูด “และข้าเป็นเพียงเสวียนชื่อที่ติดตามกองคาราวานเดินทางไปหูตี้ และถือโอกาสค้าขาย เพราะฉะนั้นอยากนำสินค้าอะไรไปท่านจัดการได้เลยต้องเดินทางไปเส้นทางไหนท่านก็บอกมาได้”
“….” โหวเหลียงรู้สึกเห็นท่าไม่ดีจุดประสงค์ของการลักลอบนำเข้าไม่ได้ทำเงินง่ายถึงเพียงนั้นแน่นอน แต่เขาไม่กล้าถามหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เกิดความคิดเห็นจึงตอบกลับไปว่า “ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ”
“เข้าใจแล้วก็ดี” หมิงเวยโบกมือ “ท่านไปเบิกเงินกับตัวฝูเถอะ จากนั้นก็เข้าเมืองไปหาผู้จัดการหยางเขาจะช่วยท่านจัดหาสินค้าส่วนเรื่องกำลังคนผู้จัดการหยางเตรียมไว้ให้แล้ว หากท่านมีคนที่คิดว่าเหมาะสมก็สามารถพาไปด้วยได้”
“ขอรับ” โหวเหลียงดำเนินการอย่างรวดเร็ว และเดินทางเข้าเมืองในวันนั้นเลย
เขาคิดออกแล้วคุณชายคิดทำการค้าในเกาถาง การที่แม่นางหมิงเดินทางไปหูตี้แน่นอนว่าการลักลอบนำเข้าไม่ง่ายดายเพียงนั้น เหตุผลที่เป็นไปได้มากที่สุดคือการใช้การลักลอบนี้สอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ในหูตี้
หากเป็นกรณีนี้พวกเขาจะใช้เส้นทางที่ปลอดภัยไม่ได้ชนเผ่าส่วนใหญ่สามารถไปที่นั่นได้ แน่นอนว่าจำเป็นต้องปกปิดการเดินทาง ดังนั้นสินค้าที่ต้องนำไปจะต้องเพียงพอ และต้องไม่เผยข้อบกพร่อง
ไม่กี่วันต่อมาแผนที่เส้นทางของโหวเหลียงก็ถูกส่งมอบให้กับหมิงเวย
นางดูไปพลางพูดคุยกับหยางชูว่า “คนผู้นี้ฉลาดจริงๆ แค่ให้ข้อมูลเขาเล็กๆ น้อยๆ ก็เข้าใจเจตนาของข้าแล้ว”
เมื่อดูแผนที่การเดินทางที่เขาวาดไว้จะต้องผ่านชนเผ่าหลายแห่งและบังเอิญเป็นสถานที่ที่นางต้องการสอบถามสถานการณ์พอดีเลย
หยางชูพูด “อย่างไรก็ตามท่านต้องระวังตัว หากเขาเกิดขายกองคาราวานเพื่อเอาตัวรอดจะเกิดการสูญเสียครั้งใหญ่”
“วางใจเถอะ ข้าจะให้งูขาวคอยจับตามองเขา”
หมิงเวยวางแผนที่เส้นทางไว้บนโต๊ะแล้วมองเขาด้วยรอยยิ้ม “อีกไม่กี่วันข้าจะเดินทางแล้วมีอะไรที่อยากทำตอนนี้หรือไม่”
หยางชูกระแอมเบาๆ แล้วหันหน้าไปทางอื่น แต่มือกลับจับนางเอาไว้ “รู้อยู่แล้วยังจะถามอีก!”