“ไฟไหม้ๆ!”
ทันทีที่เกิดไฟไหม้ก็มีชาวเมืองโห่ร้องขึ้นมา ในเมืองอันเงียบสงบนี้มีชาวเมืองจำนวนมากซึ่งไม่รู้ว่าโผล่ขึ้นมาจากไหนรีบเร่งเข้ามาดับไฟ ชายชรามีใบหน้าบูดบึ้งยืนอยู่หน้าบ้านร้างที่ถูกไฟไหม้
จางซานเจ้าของโรงเตี๊ยมพูดว่า “รู้ว่าคนแปลกหน้าผู้นั้นมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาทำไมท่านถึงปล่อยให้พวกเขาเข้ามากัน”
ชายชราพูดอย่างเย็นชา “หากไม่ให้นางเข้ามาจะไม่เกิดปัญหาหรือ วางไว้ใกล้ตัวเพื่อเฝ้าสังเกตจะดีกว่า แต่ทำไมพวกเจ้าถึงปล่อยให้คลาดสายตาไปล่ะ”
ภรรยาของจางซานพูดว่า “ท่านพูดเหมือนว่าพวกเราจงใจมองข้าม แม่นางผู้นั้นไม่รู้ใช้อุบายอะไรตอนที่ได้รู้ในห้องก็ไม่มีผู้ใดอยู่แล้ว”
ชายชราถอนหายใจแล้วโบกมือ “ช่างเถอะ ตอนนี้พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ รีบให้คนออกไปตามหาก่อนค่อยว่ากัน”
ชาวเมืองตกลงกันและแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มทันที กลุ่มหนึ่งมีหน้าที่ดับไฟ ส่วนอีกกลุ่มแยกย้ายกันค้นหาซึ่งพวกเขาจัดการได้เป็นระเบียบมาก หมิงเวยที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด มองดูคนที่เฝ้าห้องใต้ดินอย่างเงียบๆ พวกเขาทำตัวราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงตะโกนไฟไหม้จากข้างนอก
แสดงว่าได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี คำพูดเหล่านี้ผุดขึ้นในหัวของนาง นางยัดกระดาษคนที่พับไว้ส่งให้ตัวฝูจากนั้นกระซิบคำสองสามคำข้างหูของนาง ตัวฝูตอบรับแล้วเดินออกไปทันที
เมืองเล็กๆ แห่งนี้มีถนนเพียงสองสามสายไม่นานก็ค้นหาจนทั่วผู้คนหลายกลุ่มรวมตัวกันในห้องใต้ดินที่ถูกทิ้งร้าง
“ผู้เฒ่าเถิงท่านดูนี่สิ” จางซานเดินมาขอคำแนะนำ ที่อื่นพวกเขาค้นหาหมดแล้วเหลือเพียงที่นี่คิดว่าควรเข้าไปดูสักหน่อยดีหรือไม่ แต่ถ้าหากนี่เป็นอุบายของอีกฝ่ายล่ะไม่รู้ว่าในเมืองมีปัญหาตรงไหนถึงได้จุดไฟให้พวกเขาเผยตัวออกมาด้วยตนเอง
ชาวเมืองอีกคนพูดว่า “หากมีอะไรผิดพลาด ซุนลิ่ว และคนอื่นๆ จะต้องเตือนอย่างแน่นอน”
ภรรยาของจางซานหัวเราะเยาะ “พวกเจ้าโง่รึเปล่าที่อื่นค้นหาหมดแล้ว เหลือเพียงที่นี่ที่ยังไม่ค้นมันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่ามีปัญหา” ชาวเมืองถูกนางเยาะเย้ยชะงักไปครู่หนึ่งแล้วใบหน้าของพวกเขาก็แดงระเรื่อ
ผู้เฒ่าเถิงโบกมือแล้วพูดว่า “เมื่อผู้มาคิดไม่ดีพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งอีกแล้ว นางพาคนมาด้วยผู้ใดจะรู้ว่าอาจซ่อนตัวอยู่ข้างนอก และรอโอกาสอยู่ก็เป็นได้ ไม่ต้องสนใจอย่างอื่นแล้วรีบหาวิธีจับพวกนางก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ชาวเมืองเห็นด้วย และคนหลายกลุ่มก็ตรงไปยังห้องใต้ดินที่ถูกทิ้งร้าง
“ซุนลิ่ว!” จางซานตะโกนเรียก มีคนเดินออกมาจากบ้านที่พัง “พวกเจ้ามาทำอะไรกัน”
“ที่นี่ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” ทันทีที่เขาพูดจบเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะข้างในหู เสียงหัวเราะเบามากเนื้อเสียงที่ชัดเจนนุ่มนวลบอกได้เลยว่าเป็นเสียงของหญิงสาวรุ่นเยาว์
ชาวเมืองหันไปตามเสียงนั่นพบเด็กสาวผู้หนึ่งยืนอยู่บนหลังคาบ้านข้างๆ ได้ยินนางพูดช้าๆ ว่า “เดิมทีไม่รู้เลยว่าปัญหาอยู่ตรงไหนขอบคุณพวกท่านมาก”สิ้นเสียงนางก็กระโดดลงมาแล้วเดินเข้าไปหา
จางซานโกรธมาก “ช่างกล้ายิ่งนัก! กล้าให้ความสำคัญกับตัวเองจริงๆ!” ชาวเมืองพุ่งเข้าล้อมรอบนาง
ผู้เฒ่าเถิงตะโกน “ระวังตัวด้วยนางมีสาวใช้มาด้วย!”
ภรรยาจางซานยืนถือตะหลิวเอามือเท้าเอว “ไม่ต้องห่วงข้าระวังตัวอยู่!”
ผ่านไปครู่หนึ่งนางจางก็ตะโกนขึ้นมาจริงๆ ว่า “หัวขโมยอยู่นี่!”
ตัวฝูที่ต้องการแอบเข้าไปในบ้านที่พังยับเยินถูกพบเข้านางจึงจำเป็นต้องหนี ความลับถูกค้นพบแล้วอย่างไรเสียต้องไม่ให้ทั้งสองคนหนีออกจากเมืองนี้ไปได้ ผู้เฒ่าเถิงตะโกนขึ้น
“ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจับกลับมาให้ได้!”
“เข้าใจแล้ว ท่านวางใจเถอะ!”
ชาวเมืองทั้งหมดแยกย้ายกันไล่ตาม กลุ่มหนึ่งอยู่ที่นี่ กลุ่มหนึ่งไล่ตามหมิงเวย และกลุ่มหนึ่งไล่ตามตัวฝู
กลุ่มที่อยู่ที่นี่นอกจากซุนลิ่วและอีกสองคนคุ้มกันที่นี่อยู่แล้ว ยังมีผู้เฒ่าเถิงและอีกสามคน เนื่องจากศัตรูได้ปรากฏตัวแล้วคนกลุ่มนี้จึงน้อยที่สุด
ซุนลิ่วถาม “ผู้เฒ่าเถิง สองคนนั้นทำไมหรือไม่ใช่คนที่หมอนั่นพามาหรือ”
ผู้เฒ่าเถิงตอบ “กองคาราวานมาก่อนหน้านี้บอกว่าเดินตามเส้นทางเก่าบนเขาเหยียนซาน และเกิดหลงทางเข้า สองคนนั้นเป็นคนที่มากับกองคาราวาน”
ซุนลิ่วเลิกคิ้ว “ฟังดูไม่เหมือนกลุ่มเดียวกันเลยนะ”
“ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเดียวกันหรือไม่ หากพวกนางคิดก่อเรื่องก็ต้องจับตัวมาให้ได้ก่อน”
ทั้งสองกำลังพูดคุยกันก็มีเสียงอู้อี้ดังมาจากด้านในคนเฝ้าที่นี่อีกคนก็ออกมาพูดว่า “เด็กคนนั้นส่งเสียงดังอีกแล้ว”
ซุนลิ่วกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อลมพัดมาดูเหมือนว่ามีกลิ่นหอมหวานลอยมา
ผู้เฒ่าเถิงรู้สึกผิดปกติ “กลิ่นอะไรน่ะ” เมื่อพูดจบเขาก็รู้สึกร่างกายไร้เรี่ยวแรง
ชาวเมืองที่เหลือต่างตกตะลึง และหันไปมองด้านนอกพบว่ามีเพียงหมิงเวยที่ยืนอยู่ตรงนั้น นางมองดูพวกเขาด้วยรอยยิ้ม “สวัสดีท่านทั้งหลาย!”
ไม่ทันจะสิ้นเสียงเงานั้นก็ขยับ ชาวเมืองหลายคนรีบรุดไปข้างหน้าเพื่อปกป้องผู้เฒ่าเถิง แล้วก็เกิดการต่อสู้กันอย่างชุลมุน ชาวเมืองที่อยู่คุ้มกันที่นี่ถูกขวาง ในความมืดตัวฝูแอบเข้าไปในบ้านที่มีสภาพพังยับเยินอย่างเงียบเชียบ
ทางเข้าห้องใต้ดินไม่ได้ถูกซ่อนไว้ แต่มีโซ่เหล็กหนาติดอยู่ ตัวฝูมองออกไปข้างนอกเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดสนใจตน และดึงโซ่ออกอย่างแรง
หลังจากลองอยู่สามสี่ครั้งในที่สุดโซ่ก็พังลง
เมื่อเสียงแตกหักดังขึ้นหมิงเวยออกแรงเตะเข้าไปที่พลั่วในมือของชาวเมือง พลั่วกระแทกเข้ากับจอบที่อยู่ข้างกายจนเกิดเสียงแหลมจนกลบเสียงแตกภายในบ้านได้ ตัวฝูเข้าไปในห้องใต้ดินนางไม่พบสิ่งใดในความมืดเลย แต่รู้สึกถึงลมหายใจอันแผ่วเบา
นางสำรวจทางอย่างระมัดระวังเมื่อเดินไปได้ครึ่งทางจู่ๆ ก็มีบางอย่างปรากฏขึ้นด้านข้างตามด้วยเสียง ‘คลิก’ เสียงการเสียดสีกันของโซ่เหล็กดังขึ้น จากนั้นนางก็ถูกโซ่เหล็กเย็นเฉียบรัดคอแล้วลากไปอีกด้านหนึ่ง
“เจ้าเป็นผู้ใดกัน” สำเนียงแปลกๆ ดังขึ้นในหู และร่างมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่แนบชิดที่แผ่นหลัง
ตัวฝูคว้าโซ่เหล็กระหว่างคอแล้วถามว่า “เจ้าเป็นผู้ใดเป็นคนที่ดึงดูดพวกเรามาที่นี่หรือ”
คนข้างหลังอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดภาษาหูออกมาตัวฝูฟังไม่ออกเลยสักคำ คนผู้นั้นพูดอีกสองสามคำแต่ไม่ได้รับการตอบกลับจึงเปลี่ยนภาษา
“เจ้าไม่ได้เป็นคนของตระกูลนั้นหรือ”
“ตระกูลใดหรือ” ตัวฝูไม่เข้าใจ
หลังจากเงียบไปพักหนึ่งคนผู้นั้นก็พูดว่า “ขออภัยด้วยข้าเข้าใจผิดไป ในเมื่อเจ้าสามารถเข้ามาได้ช่วยพาข้าออกไปได้หรือไม่ ข้าจะตอบแทนท่านอย่างงามเลย”
ตัวฝูพูด “เจ้าพูดว่าขอโทษ แต่ทำไมยังจับข้าอยู่”
คนผู้นั้นหัวเราะ และในขณะที่เขากำลังจะคลายโซ่เหล็กเขาก็ได้ยินเสียงโซ่ที่แตกออก ตัวฝูอาศัยโอกาสนี้หลุดพ้นออกมา
เขาตกใจ “เจ้า…ตัดขาดด้วยหรือ” เขารู้ว่ามีโซ่เหล็กอยู่ข้างนอกคิดว่านางคงใช้อาวุธวิเศษตัดมันให้ขาด
ตัวฝูไม่ตอบอะไร ในที่สุดนางก็ปรับตัวให้เข้ากับความมืดได้ นางอาศัยแสงเล็กน้อยที่ลอดผ่านทางเข้าห้องใต้ดินเพื่อดูเค้าโครงของอีกฝ่าย
คนผู้นั้นถูกมัดติดไว้ที่ผนังห้องใต้ดินทั้งมือและเท้ามีโซ่เหล็ก แม้ว่านางจะหักเป็นท่อนๆ แต่ก็ยังมีแม่กุญแจอีกหลายตัวที่ยึดไว้อย่างแน่นหนา พวกนางมาที่นี่เพื่อตามหาคนผู้นี้
ตัวฝูพูดว่า “เจ้าต่อต้านข้าทันทีที่พบกันหากปล่อยเจ้าออกไปผู้ใดจะรู้ว่าจะไม่หักหลังกัน”
“ข้าสาบานได้” คนผู้นั้นพูด “เมื่อครู่เป็นความเข้าใจผิดจริงๆ”
ตัวฝูคิด “ก็ได้”
คนผู้นั้นดีใจมาก “เจ้าเชื่อแล้วใช่หรือไม่”
“เชื่อหรือไม่เชื่อไม่สำคัญคุณหนูบอกว่าจุดอ่อนน่าเชื่อถือกว่าความไว้ใจ” พูดจบยันต์ในมือของนางส่องแสงสว่างจากนั้นก็แปะไว้ที่หน้าผากของอีกฝ่าย