รถม้าพุ่งทะยานไปในค่ำคืนที่มืดมิด อาการประหม่าของซู่เจี๋ยผ่อนคลายลงเล็กน้อยก่อนที่นางจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ “ฮูหยินไม่ได้ทาแป้งหอมหรือเจ้าคะ”
เกิดความเงียบไปพักหนึ่งเสียงที่ลอดออกมาจากใต้หมวกคลุมใบหน้านั้นทำเอาวิญญาณของซู่เจี๋ยแทบหลุดออกจากร่าง “ซู่เจี๋ย นี่ข้าเอง”
ซู่เจี๋ยชะงักนางรีบยกหมวกคลุมหน้าออกอย่างรวดเร็ว หมิงเวยเองก็ปลดผ้าคลุมหน้าออก แสงไฟในรถม้าช่างสลัว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ซู่เจี๋ยแยกความแตกต่างระหว่างมารดากับบุตรสาวไม่ออก
ซู่เจี๋ยอ้าปากค้างนางเกือบจะร้องไห้ออกมา โชคดีที่นางยังมีสติ รู้ดีว่าตนเองต้องกลั้นเสียงเอาไว้ “คุณหนู! ทำไมถึง…”
นี่มันเกิดอะไรขึ้น สลับคนกันตั้งแต่เมื่อใด ฮูหยินไม่มีทางยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นแน่ แล้วคุณหนู…หมิงเวยพูดเสียงเบา “ตั้งแต่นี้ไปเจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ มาช่วยข้าดูหน่อยว่ามีตรงไหนยังติดขัดอยู่บ้าง”
ซู่เจี๋ยส่ายหน้า “ไม่เจ้าค่ะ คุณหนูทำเช่นนี้ ฮูหยินจะเสียใจนะเจ้าคะ”
“อย่างน้อยหนึ่งชั่วยามท่านแม่จะไม่ตื่น” หมิงเวยตอบ “หนึ่งชั่วยามหลังจากนั้นข้าก็กลับเข้าไปในสวนแล้ว หรือเจ้าคิดจะเปิดโปงเรื่องนี้” คนขับรถม้าด้านนอกเป็นคนสนิทของนายท่านสอง
ถ้าหากตะโกนออกไป นายท่านสองก็จะรู้ว่าคุณหนูเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้
ไม่ได้ จะให้นายท่านสองรู้ไม่ได้เด็ดขาด! มิอาจทราบว่านายท่านสองจะเกิดมีความคิดผิดเพี้ยนขึ้นมาอีกหรือไม่ รูปลักษณ์ของคุณหนูนั้นเหมือนกันกับฮูหยินเจ็ดถึงแปดส่วนอีกทั้งยังสาว…
“เร็วเข้า ไม่มีเวลามากแล้ว” หมิงเวยเร่ง
ซู่เจี๋ยไม่มีทางเลือกนอกจากช่วยหมิงเวยแต่งตัว เกล้าผมให้นางใหม่อีกครั้ง แก้ไขอีกเล็กๆ น้อยๆ เติมปากและลงแป้งหอม
เมื่อจัดการเสร็จเรียบร้อยจึงนำผ้าคลุมหน้ามาคลุมใหม่อีกรอบ ซู่เจี๋ยมองผ่านแสงไฟ ในเวลากลางคืนเช่นนี้ไม่สามารถแยกหน้าตาของพวกนางสองแม่ลูกออกได้เลย
นางช่วยหมิงเวยสวมหมวกคลุมหน้า ซู่เจี๋ยกระซิบเสียงเบา “คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูคงรู้แล้วว่าฮูหยินกำลังคิดจะทำอะไร โปรดอย่าไปปรากฏตัวต่อหน้าคุณชายหยาง เมื่อถึงเวลาแล้วให้คุณหนูออกมาเลย หากคุณหนูเป็นอะไรขึ้นมา ฮูหยินคงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ”
“อืม เจ้าวางใจเถอะ”
ซู่เจี๋ยจะวางใจได้อย่างไร แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่สามารถถอยกลับไปได้ นางจึงทำได้แค่บอกตนเองให้ทำจิตใจให้สงบ เฝ้าดูรถม้าขับไปยังจุดหมาย
………
นายท่านสองเดินทางกลับมาที่เรือนเล็ก เมื่อผลักประตูเข้าไป เขาเห็นชายผู้นั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะข้างหน้าต่าง ใบหน้าหันไปทางหน้าต่างที่เปิดอยู่ ในมือของเขาถือหนังสือเล่มหนึ่งสายตาทอดมองออกไปยังค่ำคืนที่มืดมิด
“ไปส่งนางแล้วหรือ” เขาไม่แม้จะหันหน้ากลับมา
“อืม” นายท่านสองตอบ “ข้ารับปากนาง จบเรื่องนี้จะปล่อยให้นางไปเมืองหลวง”
นิ้วซีดขาวเคาะที่พนักแขนคนผู้นั้นพูดขึ้น “ถึงเวลานั้นท่านสั่งให้คนไปติดตามสองแม่ลูกเผื่อไว้ด้วยล่ะ”
“วางใจเถอะ ไม่มีปัญหาเกิดขึ้นหรอก” นายท่านสองพูด
“ไม่ใช่วิธีนี้จะดีที่สุด” เขาหมุนตัวกลับมาแล้วโยนหนังสือในมือลงบนโต๊ะ เขาถอนหายใจอย่างกังวล “ใจอ่อนเกินไปแล้วนางรู้ความลับมากมายของพวกเรา แต่เดิมไม่ควรปล่อยนางไป”
“ผู้ใดเป็นคนบอกว่าเสี่ยวชีหายดีแล้วล่ะ!” นายท่านสองนั่งลงฝั่งตรงข้ามเขา “จำเป็นต้องส่งเสี่ยวชีออกเรือน”
คนผู้นั้นไม่พูดอะไรต่อเขาเงียบไปโดยปริยาย นายท่านสองสังเกตเห็นหนังสือที่เขากำลังอ่านเขาหยิบมันขึ้นมาและพลิกดูสองสามครั้ง “วิชาเรียกวิญญาณ ท่านอ่านไปเพื่ออะไรกันกังวลว่าจิตวิญญาณของเสี่ยวชีไม่มั่นคงหรืออย่างไร”
อีกฝ่ายตอบ “ปกติเทพไม่สนใจทุกสิ่งที่เสวียนหนี่บอกว่าเก็บดวงวิญญาณของนางได้ ข้ารู้สึกแปลกๆ”
“นอกจากเรื่องนี้ก็ไม่มีคำอธิบายที่ดีไปกว่านี้แล้ว หลังจากที่นางตื่นขึ้นมา นางก็อยู่กับแม่ของนางทุกวัน ไม่ได้ทำอะไรที่ผิดปกติไปมากกว่าการทำความเข้าใจเส้นทางการใช้วิชา น้องสี่เคยมาถามท่านไม่ใช่หรือ ท่านบอกว่าวิธีนั้นใช้ได้ผล ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ”
“ข้าหวังว่าตนเองจะคิดมากเกินไป” เขาถามอีกครั้ง “นางหายดีแล้วใช่หรือไม่”
“หายแล้ว” นายท่านสองตอบ “นางหายตกใจแล้ว สองวันมานี้นางเอาแต่เขียนยันต์อะไรสักอย่าง บอกว่าจะถวายแก่เสวียนหนี่เหนียงเหนียง”
“เขียนยันต์งั้นหรือ” เขาขมวดคิ้วแล้วพึมพำ “แม้แต่เขียนยันต์นางก็เข้าใจงั้นหรือ”
………….
รถม้าขับเข้ามาจอดที่สวนซิ่น ซู่เจี๋ยคอยประคองหมิงเวยลงจากรถ จากนั้นก็มีคนพาพวกนางเดินผ่านโถงทางเดินไปจนถึงลานกว้าง
ทั่วทั้งเรือนถูกทาสีตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม งานปักมีความประณีต งามราวกับหยกขาวที่รวมกันอยู่ในที่เดียว เทียนขนาดใหญ่ส่องแสงไปทั่วลานกว้างเหมือนเวลากลางวัน
หมิงเวยเงยหน้าขึ้นมอง นางยังไม่เห็นคุณชายเลยสักคน นอกจากสาวใช้แล้วก็มีเพียงสาวงามห่มชุดผ้าโปร่งบาง ไม่อวดท่าเต้นรำที่สง่างามก็ใช้นิ้วเรียวบรรเลงเครื่องดนตรีพลางขับขานบทเพลง
การมาถึงของนางทำให้พวกนางมองมาด้วยสายตาเรียบเฉย และยังคงทำหน้าที่ของตนเองต่อไป การสวมหมวกคลุมใบหน้าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พวกนางล้วนแต่งตัวหลากหลายไม่ซ้ำใคร ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพื่อเอาใจคนผู้นั้นหรือ
ซู่เจี๋ยถอยออกมายืนอยู่ด้านข้างรวมอยู่กับเหล่าสาวใช้ หญิงรับใช้ที่พาพวกนางมาที่นี่ชี้ไปกู่ฉินแล้วพูดกับหมิงเวย “เจ้าไปฝึกซ้อมก่อนเถอะ จะได้ไม่ไปพลาดต่อหน้าคุณชายทีหลัง”
เห็นแบบนั้นซู่เจี๋ยถึงกับเหงื่อแตก คุณหนูไม่เคยเรียนกู่ฉินมาก่อน และถ้าหากความจริงถูกเปิดเผยเข้าตอนนี้คงยากที่จะอธิบายให้นายท่านสองฟัง
หมิงเวยเข้าไปนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ภายใต้สายตาวิตกกังวลของซู่เจี๋ย นางเอื้อมมือออกไปกดเพื่อลองเสียง จากนั้นก็ค่อยๆ เล่นเป็นเพลง
เอ๋ คุณหนูเล่นเป็นงั้นหรือ แน่นอนว่าหมิงเวยเล่นเป็น ท่านอาจารย์ของนางดีดกู่ฉินเก่งที่สุด นางไม่ถึงกับเชี่ยวชาญ แต่หากเทียบกับท่านอาจารย์แล้วนางถือว่ามีฝีมือทั่วไป
ไม่นานหลังจากนั้นผู้ดูแลก็เข้ามาแล้วเรียกพวกนางให้มารวมตัวกันจากนั้นเขาก็อธิบายเสียงดังเกี่ยวกับการเตรียมการสำหรับคืนนี้ คุณชายหยางท่านนั้นช่างไม่เหมือนใครเลยจริงๆ
คนอื่นดื่มและร้องเพลงเต้นรำไปด้วยอย่างสนุกสนานไปพร้อมกับเสียงเพลงส่วนเขาจะสนุกไปกับการนั่งฟัง สายตาจับจ้องไปที่นางรำ
หมายความว่าอย่างไร เป็นการเลือกคนแบบสุ่มให้นักร้อง และนักดนตรีขึ้นแสดงพร้อมกัน พวกนางจะร้องจะเต้นอะไรก็ได้ตามต้องการ เพราะไม่ได้ฝึกซ้อมมาก่อนอีกทั้งมีปัจจัยอีกหลายๆ อย่าง ต้องมีทักษะที่ดีเยี่ยมถึงจะสามารถเล่นได้อย่างไม่มีผิดพลาด
หมิงเวยเดินปะปนกับนางขับร้อง และนางระบำเข้าไปในห้องหลัก ม่านกั้นหลายชั้นอย่างแน่นหนา เดินอยู่นานจนในที่สุดนางก็ได้เห็นทุกอย่างตรงหน้าอย่างชัดเจน
ในห้องโถงกว้างขวางมีที่นั่งสองแถว คนไม่เยอะมาก ดูจากการแต่งกาย ทุกคนล้วนเป็นชนชั้นสูง พวกเขาลุกขึ้นอย่างไม่สนใจเรื่องมารยาทแล้วเดินเข้ามากอดนางรำไว้ในอ้อมแขน
“คุณชายมาแล้วขอรับ” หมิงเวยที่สวมหมวกคลุมใบหน้าเงยหน้าขึ้นและมองตรงไป คนแรกที่นางเห็นเป็นคุณชายวัยหนุ่มเอนตัวเอามือเท้าศีรษะ และดื่มเหล้าด้วยท่าทางเกียจคร้าน
เมื่อได้ยินเสียงเขาก็เงยหน้าขึ้น หมิงเวยได้ยินเสียงอุทานเบาๆ ดังขึ้นข้างหูของนางอย่างชัดเจน
คุณชายหยางท่านนี้งดงามมากจริงๆ โดยเฉพาะไฝสีชาดที่หว่างคิ้วทำให้เขาดูงดงามราวกับเทวดา ไม่ใช่เรื่องง่ายที่นางจะจำรูปลักษณ์ใครได้ แต่นิสัยที่ดูขัดแย้งกันนี้ช่างยากที่จะจดจำ
คุณชายหยางรีบถอนสายตา และพูดด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “องครักษ์เหลยหง หากท่านไม่ชอบสาวงามประทินโฉมพวกนี้ อย่างไรพวกนางก็มาให้ดูผ่านตาแล้ว ท่านลองเลือกสักคนดูดีหรือไม่”
พอได้ยินคำพูดนั้นหมิงเวยสังเกตเห็นว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ในที่นั่งที่ใกล้กับเขามากที่สุด เขาแต่งกายชุดปกติ สายตาดูตึงเครียด นั่งหลังตรง ช่างดูตรงข้ามกับคุณชายผู้ไม่เอาไหนที่นั่งอยู่ด้วยอย่างเห็นได้ชัด
ดูเหมือนว่าเขาจะเป็น…ใช่แล้ว เหลยหง องครักษ์ข้างกายของเจี่ยงเหวินเฟิง
ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ องครักษ์เหลยหงอยากจะลุกขึ้น แต่คุณชายหยางกลับพูดขึ้นมาว่า “ที่นี่ไม่ใช่ศาล ท่านจะระมัดระวังอะไรขนาดนั้นก็แค่นั่งคุยกัน”
เหลยหงจำใจต้องนั่งลงและพูดว่า “ขอรับ” เขาชะงักไปพักหนึ่งแล้วพูดกลับไปว่า “ข้าน้อยไม่ชอบอะไรแบบนี้ คุณชายโปรดเข้าใจข้าน้อยด้วยเถิดขอรับ”
………………………………………………………..