เมื่อหาที่พักแรมได้แล้วหมิงเวยก็นั่งบนโขดหิน และกวักมือเรียกเด็กหนุ่ม
“มา พวกเรามาคิดบัญชีกัน”
เด็กหนุ่มต่างเผ่านามน่าซูตกตะลึง “คิดบัญชี คิดบัญชีอะไรหรือ”
“รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นผู้ใด” หมิงเวยชี้ไปที่ตัวเอง
น่าซูส่ายหัว “ข้าเป็นเสวียนชื่อที่ถูกจ้างโดยกองคาราวานที่จะเดินทางไปเร่ขายที่หูตี้ เจ้ารู้จักเสวียนชื่อหรือไม่” น่าซูยังคงส่ายหัว
หมิงเวยคิด “เหมือนกับอาจี้ของพวกเจ้าที่สามารถใช้คาถาปราบปรามสิ่งชั่วร้ายได้”
อาจี้เป็นคำเรียกทั่วไปของชาวหูเหรินที่เรียกภิกษุสงฆ์
น่าซูเข้าใจได้ทันที “ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้าแข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้วยังรู้ว่าต้องตามการชี้นำทางเพื่อมาช่วยข้าต้องขอบคุณเจ้ามากจริงๆ เจ้าเป็นคนดีมาก!”
หมิงเวยยิ้ม “อย่าคิดว่าชื่นชมข้าแล้วจะไม่ต้องตอบแทน”
“หืม…” น่าซูกะพริบตา
หมิงเวยพูดช้าๆ “กองคาราวานจ้างข้าแน่นอนว่ามีค่าจ้างตอบแทน แต่ข้าถอนตัวออกจากขบวนเพื่อช่วยเจ้าไม่มีค่าตอบแทนคงไม่ได้ไม่เช่นนั้นคงไม่ยุติธรรมกับนายจ้างของข้า”
น่าซูเข้าใจดี แต่จากทัศนคติของตนทำให้เขามองนางด้วยความสงสัย “เป็นเช่นนั้นหรือ ข้าได้ยินว่าจอมยุทธ์จากจงหยวนล้วนมีความกระตือรือร้นในการช่วยเหลือผู้อื่น”
“แม้แต่คำว่าการช่วยเหลือผู้อื่นเจ้าก็รู้จักด้วยหรือ”
“แน่นอน!” น่าซูตบหน้าอกอย่างภูมิใจ “ภาษาจงหยวนของข้าดีมาก! แล้วยังเคยอ่านหนังสือนิทานของพวกเจ้าด้วย!”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็รู้แค่ผิวเผิน” หมิงเวยสอนอย่างจริงจัง “ในนิทานที่เจ้าอ่าน จอมยุทธ์ที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นท้ายที่สุดก็ไม่ได้ดีทุกคนใช่หรือไม่” น่าซูชะงักไปครู่หนึ่ง
“ก็เหมือนกับผู้กล้าที่มีฉายาพิรุณทันกาล ทุกคนยกย่องในความมีน้ำใจของเขาเป็นผลให้พี่น้องทั้งหลายทรยศสุดท้ายเขาก็หันไปเข้าสู่วังวนแห่งความชั่วร้าย ถูกหรือไม่”
“เหมือนจะใช่…”
“ยังมีแม่ทัพผู้ภักดีที่มีคุณธรรมสูงส่งเทียมฟ้าเพราะมิตรภาพเก่าๆ ทำให้เขาทนไม่ได้ที่ต้องฆ่าศัตรู และท้ายที่สุดเขาเสียชีวิตภายใต้แผนของคนคนนั้น ดังนั้นผู้รักความยุติธรรมชอบช่วยเหลือผู้อื่นหากไม่ใช้วิธีการไม่ชอบเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศก็ถูกคนไม่ดีทำร้าย มันเป็นสิ่งที่ไม่ดีเอามากๆ นิทานนี้เขียนขึ้นเพื่อเตือนโลกไม่ให้ติดตามเป็นตัวอย่าง”
น่าซูได้ฟังก็รู้สึกมีแรงบันดาลใจ “อย่างนี้นี่เอง! ไม่แปลกใจเลยข้าอ่านนิทานของพวกเจ้าตอนจบมักแย่เสมอ”
“ใช่! ที่ข้าทำเช่นนั้นไม่ใช่เพราะต้องการเอาเปรียบเจ้า เจ้าลองคิดดูถ้าข้าช่วยเจ้าในครั้งนี้โดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน เจ้าจะเป็นหนี้บุญคุณข้าใช่หรือไม่ หลังจากนี้หากข้าขอให้เจ้าทำอะไรเจ้าก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ถูกหรือไม่ หากข้าคิดจะทำอะไรบางอย่างจะไม่เป็นการทำร้ายเจ้าหรือ”
“ใช่ๆๆ!” น่าซูหยิบของบางอย่างออกมา “ข้าให้เจ้า”
เมื่อเขาพูดจบมือของเขาก็ชะงักจากนั้นก็ยิ้มประจบนาง “ข้าไม่มีเงินของจงหยวน แต่ของราคาสูงของข้าถูกพวกเขาเอาไปหมด…”
หมิงเวยพูดปลอบ “ไม่มีเงินไม่เป็นไรสามารถใช้อย่างอื่นเพื่อชดเชยได้”
น่าซูครุ่นคิดอย่างหนักแล้วจู่ๆ เขาก็คิดอะไรบางอย่างได้ “จริงสิ! เจ้าบอกเจ้าคิดจะไปทำการค้าที่หูตี้ใช่หรือไม่”
“ใช่”
“ถ้าเช่นนั้นให้ข้าแนะนำลูกค้าให้พวกเจ้าดีหรือไม่ ข้าสามารถทำให้พวกเจ้าได้กำไรมากมายแน่นอน!”
หมิงเวยยิ้ม “พวกเรานำสินค้ามามากพอล้วนเป็นของที่หูตี้กำลังขาดแคลน หากเราเดินทางไปไม่ว่าไปที่ไหนพวกเขาล้วนต้อนรับอยู่แล้ว”
“แต่พวกเราอยู่ในภาวะสงคราม! พวกเจ้าไม่กลัวเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันหรือ ข้าสามารถบอกเส้นทางที่ปลอดภัยแก่พวกเจ้าได้ รับรองว่าพวกเจ้าจะทำเงินได้มากมาย!”
หมิงเวยคิด “หากไม่ใช่ระดับราชวงศ์…”
“ราชวงศ์ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามา แต่ข้าสามารถพาพวกเจ้าไปยังบริเวณรอบๆ ที่ราชวงศ์อยู่ได้สามารถขายของให้พวกเขาได้ด้วย!”
“เช่นนั้นหรือ!” หมิงเวยแสดงท่าทีหวั่นไหว “ถ้าเช่นนั้นข้าจะกลับไปคุยกับหัวหน้า”
“ดีๆๆ!”
หลังจากพูดเรื่องนี้น่าซูก็นึกขึ้นมาได้ว่า “จริงสิ ก่อนหน้านี้นางสาปข้า สามารถถอนมันได้หรือไม่” หมิงเวยมองไปที่ตัวฝูที่อีกฝ่ายชี้ไป
ตัวฝูตอบกลับ “คุณหนู นั่นเป็นยันต์ให้ตื่นตัวเจ้าค่ะ บ่าวเกรงว่าเขาที่ถูกขังมานานจะไม่ตื่น” หมิงเวยหัวเราะเบาๆ ตัวฝูเรียนรู้ที่จะหลอกคนอื่นแล้วหรือนี่
นางพูดกับน่าซูว่า “คำสาปนั่นไม่ร้ายแรงมันจะสลายไปเองในไม่กี่วัน”
“เช่นนั้นข้าก็สบายใจแล้ว” น่าซูตบหน้าอกแล้วจู่ๆ ท้องเขาก็ร้องออกมา เขาถามอย่างเขินๆ ว่า “สิ่งนั้นข้าขอกินได้หรือไม่ ข้าไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว พวกเขาให้หมั่นโถวข้าแค่ไม่กี่ชิ้น แม้ว่าอาหารจงหยวนจะอร่อย แต่ก็เสียใจที่ไม่มีเนื้อให้เลย”
ตัวฝูเห็นหมิงเวยพยักหน้านางจึงหยิบเนื้อแห้งหนึ่งกำมือ และมอบให้เขา “มีแค่นี้”
“แค่นี้ก็ดีแล้ว ขอบคุณมาก!” น่าซูกินเนื้อแห้งไปดื่มน้ำไป เขารีบกินจนสำลักแต่ก็ไม่ยอมหยุดกิน หมิงเวยมองเขากินด้วยรอยยิ้มขณะที่ในหัวกำลังเรียบเรียงข้อมูลอีกรอบ
เด็กหนุ่มที่ชื่อน่าซูคนนี้บอกว่ามาที่เมืองเล็กเพื่อเอาของบางอย่าง แต่ในเมืองแห่งนั้นมีแต่คนจงหยวนแปลกประหลาดดูเหมือนว่าอยู่คุ้มครองที่นั่นมานานแล้ว…
ของสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่นางกำลังเชื่อมโยงพวกเขาเข้าด้วยกัน
อีกอย่างเบื้องหลังของเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ธรรมดาเช่นกัน สามารถวิ่งกับตัวฝูมาได้ไกลเพียงนี้ ต้องมีความแข็งแรงไม่น้อย ภาษาจงหยวนก็พูดได้ดีมาก จะต้องมีคนจงหยวนอยู่รอบตัวเขาแน่ๆ แล้วยังบอกจะพาพวกนางไปเขตราชวงศ์อย่างน้อยก็ต้องเป็นชนชั้นสูง ชนชั้นสูงรุ่นเยาว์คนหนึ่งมาที่เมืองเล็กๆ ในถิ่นทุรกันดานแห่งนี้คนเดียวเพื่อเอาของสิ่งหนึ่งงั้นหรือ
น่าสนใจ! เพราะว่าในขณะที่กำลังวิ่งทั้งสามคนไม่กล้าจุดไฟพวกเขาจึงพักอยู่ในที่หลบภัยหนึ่งคืน
เมื่อแสงอาทิตย์โผล่พ้นหมิงเวยก็ตื่นขึ้นมา นางใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าตนเอง จากนั้นก็หวีผมที่พันยุ่งเหยิง
ในขณะที่กำลังหวีจู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีสายตากำลังจ้องมองมาทางนี้พอหันศีรษะไปพบว่าน่าซูก็ตื่นแล้วเช่นกันเขามองดูนางอย่างงงๆ
“มองอะไรหรือ”
น่าซูกะพริบตาเขาพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง และพูดอย่างจริงจังว่า “ในนิทานของพวกเจ้าบอกว่าสตรีจากจงหยวนงดงามมากที่แท้ก็เป็นเรื่องจริง!”
เมื่อเขาพูดจบตัวฝูก็ตื่นขึ้นมาพอดีนางขยี้ตาแล้วลุกขึ้นนั่ง “อะไรงดงามนะ”
น่าซูมองที่ปานบนใบหน้าของนางแล้วร้องว่า “เจ้า…”
“ข้าทำไมหรือ” ตัวฝูยังไม่ได้สติเต็มที่นางหันไปคุยกับหมิงเวย “คุณหนู บ่าวหวีให้เจ้าค่ะ”
“ได้”
น่าซูมองสองนายบ่าวด้วยความงุนงงพลางคิดในใจว่าก็งามอยู่นะ หากมองใกล้ๆ อย่างละเอียดก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไรมาก จริงสิสตรีจากจงหยวนผู้นี้ช่วยเขาไว้ สตรีที่จิตใจดีเช่นนี้จะบอกว่าน่าเกลียดได้อย่างไร
ทั้งสามจัดการตัวเองเสร็จพวกเขากินอะไรเล็กน้อยจากนั้นก็ออกเดินทาง
ระหว่างทางน่าซูใส่ใจตัวฝูอย่างมาก “ของพวกนี้หนักใช่หรือไม่ ข้าช่วยถือนะ”
ตัวฝูปฏิเสธอย่างสุภาพ “ไม่หนักอะไรข้ามีแรงมาก”
ผ่านไปสักพักเขาก็ร้องขึ้นว่า “ตรงนั้นมีสาลี่! หวานมากเดี๋ยวข้าไปเก็บมาให้!”
ตัวฝูไม่ทันได้ห้ามเขาอีกฝ่ายก็กระโดดออกไปแล้วไม่นานเขาก็กลับมาแล้วแบ่งให้พวกนางสองคนส่วนตนเองไม่ได้กิน
ตอนบ่ายขณะที่กำลังพักผ่อนเขาก็แย่งงานนางทำเพื่อให้ตัวฝูได้พักผ่อน
ขณะที่เขากำลังเก็บฟืนตัวฝูถามเงียบๆ ว่า “คุณหนูเขาไม่ได้นิสัยไม่ดีใช่หรือไม่เจ้าคะ ท่านบอกว่าทำดีหวังผล!”
หมิงเวยยิ้ม “ใช่เพราะฉะนั้นอยู่ห่างจากเขาหน่อยนะ”
……………