กองคาราวานเดินทางเข้าสู่ทุ่งหญ้าซึ่งใช้เวลาสองเดือนเต็มในที่สุดก็เห็นเขาเทียนเสินซึ่งสูงเฉียดฟ้า น่าซูที่ซนเหมือนลิงรีบลงจากหลังม้าเขาวางมือทาบกับหน้าอกด้วยความเคารพจากนั้นก็โค้งกายด้วยความศรัทธา
หลังไหว้เสร็จแล้วเขาก็กระโดดขึ้นและยิ้มอย่างสดใส “ดูทางนั้นสินั่นคือเมืองหยุนไฉ ข้าจะพาพวกเจ้าไปส่งที่นั่นแล้วจะไปขอร้องเค่อหานให้ พวกเจ้าต้องสัญญากับข้าว่าจะไม่เดินไปไหนมาไหนโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่เช่นนั้นข้าคงถูกลงโทษไปกับพวกเจ้าด้วย”
โหวเหลียงที่เข้าขากับเขาได้เป็นอย่างดียิ้มรับทันทีว่า “คุณชายน่าซูโปรดวางใจได้ ความปรารถนาดีของท่านพวกเราเข้าใจดี” กองคาราวานเข้าสู่เมืองหยุนไฉตามการนำของน่าซู
ที่นี่เป็นเมืองที่ค่อนข้างเก่าหมิงเวยเคยอ่านบันทึกในหนังสือประวัติศาสตร์ ชาวหูเหรินเคยรุ่งเรืองครั้งหนึ่งเมื่อร้อยปีก่อน เจ้าเมืองหูผู้ยิ่งใหญ่ได้ก่อตั้งดินแดนแห่งอำนาจนี้ขึ้น หยุนไฉเป็นเมืองหลวงในสมัยนั้น
น่าเสียดายที่การรวมชาติของชาวหูเหรินไม่สามารถอยู่ได้นาน หลังจากการสิ้นพระชนม์ของฮ่องเต้ชางหวางผู้เปรียบเสมือนร่างจุติของเหล่าทวยเทพ ชาวหูเหรินได้แยกออกเป็นแปดส่วนอย่างรวดเร็วบางครั้งดูสามัคคีกันบางครั้งก็ต่อสู้กันไม่รู้จบ มีเพียงเมืองหยุนไฉเท่านั้นที่ชาวหูเหรินทั้งแปดทิศไม่สามารถชักกระบี่ใส่คนในเผ่าได้
กองคาราวานของพวกเขาดึงดูดสายตาแปลกๆ จากคนหูเหริน
ตั้งแต่เกิดสงครามบนทุ่งหญ้าก็ไม่มีกองคาราวานเดินทางมาที่เมืองหยุนไฉมานานแล้ว ถนนเส้นนี้แต่เดิมไม่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามาหากไม่มีผู้ใดนำทางคนภายนอกไม่มีทางเข้ามาที่นี่ได้
น่าซูทำตัวหยิ่งทระนงสีหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
หมิงเวยสังเกตอย่างระมัดระวังและพบว่าเมืองหยุนไฉน่าจะไม่ได้รับการบำรุงรักษามาหลายปีแล้วผู้คนมากมายที่มาที่นี่ต่างถูกประดับด้วยอัญมณีล้ำค่า และบางคนก็แต่งกายสุภาพเรียบร้อยแค่ดูแวบแรกก็รู้ว่าเป็นทาส
มีชนชั้นสูงจำนวนมากอาศัยอยู่ที่นี่!
น่าซูพูดว่า “โดยปกติแล้วเมืองหยุนไฉไม่ค่อยมีคนมากนัก แต่พิธีกรรมเทียนเสินใกล้มาถึงแล้วผู้คนจึงแน่นหนาเช่นนี้”
ทุกคนพยักหน้าไปพลางคิดไปว่านี่เรียกว่าแน่นหนาหรือ แม้แต่ชานเมืองของเมืองหยุนจิงก็ยังดูแออัดมากกว่านี้ แต่หมิงเวยที่ได้ยินเขาพูดว่าพิธีกรรมเทียนเสินก็แน่ใจว่าตนเองไม่ได้เข้าใจผิด
ที่นี่คือสถานที่สำคัญของความสมานสามัคคีทั้งแปดทิศ!
โชคดีจริงๆ หมิงเวยเชื่อว่าสวรรค์มอบเส้นทางนี้ให้แก่นาง เมื่อนางมาที่หูตี้นางคิดแค่ว่าสามารถสร้างความเสียหายเล็กน้อยได้หรือไม่ แต่นางไม่ได้คาดคิดว่าจะได้พบกับน่าซูแล้วได้มาที่หยุนไฉแห่งนี้
“นั่นไม่ใช่น่าซูหรอกหรือ นึกว่าเจ้าโดนลูกหมาป่ากัดไปแล้วไม่นึกเลยว่าจะกลับมา!”
เมื่อได้ยินเสียงดังหมิงเวยก็หันไปมอง เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกับน่าซู แต่เขาแต่งตัวงดงามกว่าที่คาดหัวประดับด้วยเม็ดทับทิมขนาดใหญ่ซึ่งมีสีบริสุทธิ์ราวกับหยดเลือด เขาเดินวางมาดเข้ามาหาโดยมีบ่าวรับใช้ตามหลังมา
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีเจตนาไม่ดีน่าซูยิ้มตอบแล้วตอบกลับไปอย่างไม่โกรธเคืองว่า “ฮั่วซางหรือไม่เจอกันนานเลย”
“ไม่เจอเจ้านานแล้ว” ฮั่วซางกลอกตาและมองกองคาราวานที่อยู่ข้างหลังเขาอย่างเย็นชา “พิธีกรรมเทียนเสินใกล้มาถึงแล้วเจ้าพาคนนอกมาทำอะไรกัน”
“ก็เพราะพิธีกรรมเทียนเสินใกล้มาถึงแล้วไงเล่าข้าถึงพากองคาราวานมา” น่าซูพูด “ทุกคนต้องการสิ่งของจากทางใต้จริงๆ นี่”
ฮั่วซางกลอกตา “เจ้านี่ช่างคิดถึงทุกคนจริงๆ”
น่าซูยิ้ม เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้ฮั่วซางยิ่งอยากหาเรื่อง แต่ในเมื่อหาเรื่องไม่ได้ เขาจึงพูดไม่ดีกลับไปไม่กี่คำจากนั้นก็นำบ่าวรับใช้เดินจากไป
ตอนที่ทั้งสองสนทนากันนั้นตัวฝูฟังภาษาหูไม่ออกจึงได้แต่มองไปรอบๆ
นางรู้สึกถึงกลิ่นอายแปลกๆ จึงกระซิบบอกหมิงเวยว่า “คุณหนูเจ้าคะ! บ่าวเห็นคนผู้นั้นดูท่าทางแปลกๆ”
หมิงเวยมองตามทิศทางที่ตัวฝูบอกพวกเขาสองคนเป็นหูเซิงสวมหมวกหนัง แม้พวกเขาจะมีที่มาเดียวกันกับภิกษุจากจงหยวน แต่ก็มีลักษณะที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง พวกเขาสวมชุดนักบวชที่มีลักษณะเหมือนจีวร แต่ดูแปลกตากว่าเล็กน้อย พวกเขาไม่โกนผมแต่สวมหมวกแทน
นางตอบเสียงเบา “พวกเขาเป็นหูเซิงของหูเหรินเรียกว่าอาจี้ หรือเรียกว่าท่านนักบวชอยู่ในหูตี้ก็สุภาพกับพวกเขาหน่อย ความศรัทธาของหูเหรินลึกซึ้งมาก”
“เจ้าค่ะ”
พอตัวฝูกล่าว หมิงเวยก็สังเกตได้ว่าในเมืองนี้มีหูเซิงจำนวนไม่น้อยเลยซึ่งดูจะมีจำนวนมากเกินกว่าปกติน่าจะเป็นเพราะพิธีกรรมเทียนเสินที่ใกล้เข้ามาถึง
ในตอนที่นางถอนสายตาออกมา จู่ๆ นางก็รู้สึกถึงอันตราย หมิงเวยยกมือขึ้นจากนั้นก็มีหูเซิงท่านหนึ่งขว้างบาตรสีทองใส่นางอย่างแรง
“เคร้ง” เสียงบาตรดังขึ้น
หมิงเวยป้องกันของสิ่งนั้นนางรู้สึกปวดที่แขนทักษะของอีกฝ่ายน่าทึ่งมากจริงๆ
“คุณหนู!” ตัวฝูตะโกนขึ้นนางคิดจะเข้าไปช่วย
“ข้าไม่เป็นไร” หมิงเวยปลอบนาง นางสูดลมหายใจเข้าจากนั้นก็โต้กลับไป
ท่ามกลางเสียงอุทานบาตรสีทองลอยไปไกลหลายสิบจั้ง และในที่สุดก็ตกลงไปที่มือของหูเซิงท่านนั้น
นางและหูเซิงมองหน้ากันในระยะไกล หูเซิงผู้นี้ไว้หนวดเครายาว คิ้วดกหนา ดวงตาแข็งกร้าว ใบหน้ามีเทวรัศมีแผ่ซ่านทั้งดูดุดันและศักดิ์สิทธิ์
“พระอาจารย์ช่างจื้อ! คนจงหยวนผู้นี้ลงมือกับพระอาจารย์ช่างจื้อ!” มีคนหูเหรินตะโกนขึ้นแล้วพวกเขาก็ได้รับสายตามุ่งร้ายมากมายนับไม่ถ้วนในทันที
หมิงเวยที่เข้าใจภาษาหูเล็กน้อยอดเลิกคิ้วไม่ได้ พระอาจารย์ช่างจื้อผู้นี้ดูเหมือนจะศักดิ์สิทธิ์มากเห็นได้ชัดว่าเขาลงมือก่อน แต่คนหูเหรินเหล่านี้กลับบอกว่าเป็นนาง น่าซูเองก็ตกใจเช่นกันเขาคิดจะพูดอะไร แต่พระอาจารย์ช่างจื้อผู้นั้นสะบัดมือแล้วหมุนตัวเดินจากไป
น่าซูถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดกับหมิงเวย “เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นหรือ เหตุใดเจ้าถึงกวนโมโหพระอาจารย์ช่างจื้อได้”
“พระอาจารย์ช่างจื้อคือผู้ใดกัน” หมิงเวยถามเสียงเรียบ
น่าซูตอบ “เป็นพระอาจารย์ที่หัวหน้าเผ่าฉีหูเคารพบูชาพลังกล้าแกร่งมาก” เหมือนเขาอยากจะพูดอะไร แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมา
ในขณะนั้นเองคนที่อยู่ข้างหน้าก็ตะโกนว่า “องค์ชายน่าซู องค์ชายน่าซูกลับมาแล้วหรือ”
น่าซูหันกลับไปแล้วยิ้มกว้าง “อาเก๋อ ข้าเอง!”
โหวเหลียงได้ยินเช่นนั้นก็ทำหน้าประหลาดใจเขาพูดเสียงเบา “องค์ชายงั้นหรือ เขาคือองค์ชายไม่รู้เลยว่าคนเหงื่อท่วมตัวเช่นเขา…” หมิงเวยคิดไว้อยู่แล้วจึงไม่รู้สึกแปลกใจมากเท่าไร
ตัวฝูตกใจมาก “ทำไมองค์ชายอย่างเขาถึงไปสถานที่เช่นนั้นคนเดียวได้…”
น่าซูลงจากม้าแล้วเข้าไปกอดชาวหูเหรินวัยเยาว์นามอาเก๋อเขาตบหลังอีกฝ่ายแล้วหัวเราะ เมื่อทักทายกันเสร็จอาเก๋อพูดว่า
“ท่านกลับมาก็ดีแล้วนายท่านถามหาอยู่หลายรอบเลย”
น่าซูยิ้มแหยสีหน้ารู้สึกละอาย “ข้ารู้สึกผิดต่อพี่เจ็ดเรื่องนั้นข้าทำไม่สำเร็จ”
“ความปลอดภัยของท่านคือสิ่งสำคัญที่สุดนายท่านไม่โทษเจ้าหรอก” อาเก๋อโน้มตัวไปหาแล้วกระซิบ “น่าเจียไม่พบเจ้านายท่านเลยเป็นกังวล”
“บังเอิญมีคนช่วยข้าไว้” น่าซูพูดจบเขาหันกลับมา และแนะนำเสียงดัง “อาเก๋อ สองคนนี้คือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้โชคดีที่มีพวกนางข้าถึงได้กลับมาอย่างปลอดภัย”
เมื่อเห็นหมิงเวย อาเก๋อรู้สึกประหลาดใจ แต่สีหน้าก็กลับมาสงบอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กล่าวขอบคุณพวกนาง “ขอบคุณท่านมากที่ช่วยองค์ชายน่าซูไว้ เผ่าหมาป่าหิมะมีบุญคุณต้องทดแทน ท่านคือแขกผู้มีเกียรติของเรา”