วันต่อมาน่าซูเดินทางมาหา
เขาพูดอย่างมีความสุขว่า “ต้าหานตกลงแล้วพวกเจ้าสามารถทำการค้าได้ ข้าจะส่งทหารสองนายไปกับพวกเจ้าเป็นการแสดงว่าพวกเจ้าได้รับอนุญาตแล้ว แต่พวกเจ้าระวังตัวหน่อย เผ่าหมาป่าหิมะไม่ฝ่าฝืนคำสั่งของต้าหาน แต่เผ่าอื่นอาจไม่เป็นเช่นนั้น”
โหวเหลียงในฐานะพ่อค้าดีใจมากเขากล่าวขอบคุณอีกฝ่าย
น่าซูโน้มตัวกระซิบกับหมิงเวย และสาวใช้ของนาง “อยากออกไปขี่ม้ารอบเมืองหรือไม่ข้าไปเป็นเพื่อนพวกเจ้าได้นะ!”
หมิงเวยพูดอย่างยินดีว่า “รบกวนองค์ชายแล้ว”
น่าซูเกาหัว “พวกเจ้าเรียกชื่อข้าเถอะเรียกองค์ชายแล้วข้ารู้สึกแปลกๆ”
“คนอื่นก็เรียกองค์ชายเหมือนกันมิใช่หรือเจ้าคะ”
“คนอื่นก็ส่วนคนอื่น แต่พวกเจ้าไม่เหมือนกัน”
รอยยิ้มของหมิงเวยหายไป “เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ”
ก่อนออกไปข้างนอกน่าซูพูดอีกครั้งว่า “แม่นางหมิงเจ้ามีหมวกปิดบังใบหน้าหรือไม่สวมไว้จะดีกว่า”
ใบหน้าของนางเป็นที่สะดุดตาในจงหยวนส่วนในสถานที่อย่างเมืองหยุนไฉนี้นางเป็นเพียงหิ่งห้อยในความมืด หมิงเวยเข้าใจความหมายที่เขาต้องการสื่อ
“ได้เจ้าค่ะ”
ทั้งสามคนขี่ม้าออกจากเมือง มองเห็นท้องฟ้าที่อยู่ห่างไกล พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล คนเลี้ยงสัตว์ปล่อยให้สัตว์กินหญ้าในทุ่งกว้าง สายลมพัดโชยต้นหญ้า ก้มลงเห็นวัวแกะมากมาย
ภายใต้ท้องฟ้าแจ่มใสเขาเทียนเสินดูเหมือนจะแขวนอยู่ระหว่างสวรรค์และโลก ดูยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ หมิงเวยควบม้าลมที่พัดมากระทบใบหน้าทั้งบริสุทธิ์และหนาวเย็น เสียงสายลมอันแสนจะบาดหูแม้จะทำให้รู้สึกเจ็บเล็กน้อย แต่ก็ทำให้รู้สึกสดชื่นจนบรรยายไม่ถูก
“ฮ่าๆๆ!” น่าซูหัวเราะลั่นเด็กหนุ่มผู้นี้เหมือนหมาป่าบ้าบิ่นบนทุ่งหญ้าเขาดูมีความสุขมาก
หมิงเวยเองก็อยากรู้ว่าเหตุใดเขาจึงหัวเราะลั่นเพียงนั้น แต่สุดท้ายนางทำได้แต่เพียงยิ้ม จนกระทั่งม้าสิงโตหยกวิ่งจนเหนื่อยแล้วจึงเปลี่ยนเป็นเดินช้าๆ
มีแม่น้ำสายเล็กไหลผ่านที่ระยิบระยับเป็นประกายแวววาวกระจายอยู่ทั่วทุ่งหญ้าเขียวขจี นางขี่ม้าพลางหันไปมองทุ่งหญ้าก็เงียบสงัดราวกับไม่มีความขัดแย้งใดกับโลก
อย่างไรก็ตามนางรู้ว่านี่เป็นเพียงด้านเดียวเท่านั้น
คนเลี้ยงสัตว์เหล่านี้สามารถเลี้ยงแกะได้อย่างมีความสุข แต่เมื่อขาดอาหาร พวกเขาก็สามารถหยิบมีดขึ้นมาสังหารคนได้โดยไม่กะพริบตา สิ่งต่างๆ ในโลกนี้มักจะมีด้านที่ทำให้เข้าใจยากเป็นความจริงที่ว่าพวกเขามีความสงบสุข และมีอัธยาศัยดี แต่ก็มีความโหดร้ายอยู่ในตัวเช่นกัน พูดได้เพียงว่าเมื่อต้องเผชิญกับความอยู่รอดความเป็นมนุษย์ก็ต้องหลีกทางให้ความโหดร้ายป่าเถื่อน
ในเวลานี้หมิงเวยไม่ได้สังเกตว่าในขณะที่นางกำลังดูทิวทัศน์ ผู้อื่นก็มองนางอยู่เช่นกัน
ภายใต้ท้องฟ้าสีคราม ทุ่งหญ้าตามธรรมชาติ สตรีสวมหมวกปิดบังใบหน้าหันกลับมามองทันที ลมพัดกระทบเสื้อผ้าเผยให้เห็นร่างเพรียวบาง ดูสง่าราวกับไม่ใช่มนุษย์
ถึงเขาจะมองไม่เห็นใบหน้าของนาง แต่ประเมินจากภาพที่เห็นแม้จะมีหมวกบังใบหน้าอยู่แต่ก็รู้ได้ว่านางเป็นสตรีที่งดงาม ชายหนุ่มเห็นฉากนี้ในระยะไกลรอยยิ้มที่อธิบายไม่ได้ปรากฏอยู่บนริมฝีปากของเขา เขาลูบใบหน้าตนเองช้าๆ สิ่งที่เรียกว่าความงามที่แสนอ่อนโยนที่แท้ผู้อื่นก็มองเขาเช่นนี้หรอกหรือ
“นายท่าน” อาเก๋อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายก็เอ่ยเสียงเบา
เขายกมือขึ้นเพื่อหยุดคำพูดต่อมาของอาเก๋อ เขาเบนสายตาไปทางอื่นแล้วก็เห็นทหารกลุ่มหนึ่งวิ่งมาทางนี้ พวกเขาขี่ม้าศึก สวมชุดเกราะหนัง โยนเหยื่อบนหลังม้า จากนั้นก็พูดคุย และหัวเราะเสียงดัง ต่อให้ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นผู้ใด แต่เมื่อเห็นภาพนั้นก็ต้องหยุดมองแล้วชี้ไปที่พวกเขาเป็นแน่
“องค์ชายฮูหลุน…” อาเก๋อพึมพำเขามองดูหญิงสาวอย่างกังวล แต่กลับพบว่านายของตนมีแววตาที่พิจารณาอย่างระมัดระวัง เขาถอนหายใจในใจองค์ชายช่างใจแข็งจริงๆ…
หมิงเวยได้ยินเสียงม้าจึงหันไปมองรอบๆ และพบกลุ่มทหารวิ่งเข้ามาทางนี้
อีกฝ่ายมีเป้าหมายที่ชัดเจนพวกเขาวิ่งมาหยุดต่อหน้านาง พวกเขาเป็นทหารรุ่นเยาว์ ชายหนุ่มชาวหูเหรินที่อยู่ตรงกลางดูจากเสื้อผ้า และหมวกที่ประดับด้วยอัญมณีมากมายก็รู้ได้เลยว่าเป็นชนชั้นสูง
“เจ้าเป็นผู้ใดกัน” ทหารนายหนึ่งตะโกนขึ้น
หมิงเวยตอบด้วยภาษาหูที่ไม่ค่อยชัดมากนัก “คนของกองคาราวาน”
เมื่อนางเอ่ยปากก็มีบางคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดูถูกทันที “สตรีจากจงหยวน”
สายตาของคนเหล่านี้มีเจตนาไม่ดี ชายหนุ่มชาวหูเหรินผู้เป็นนายลูบหนวดตนเองพลางพูดว่า “นายของเจ้าอยู่ที่ใดข้าจะไปซื้อเจ้าจากเขา!”
หมิงเวยเลิกคิ้ว “ข้าเป็นอิสระไม่มีนาย ท่านซื้อข้าไม่ได้”
ชายหนุ่มคนนั้นหัวเราะแล้วพูดว่า “เป็นอิสระอะไร สตรีจากจงหยวนเมื่อมายังทุ่งหญ้าก็มีสถานะเป็นทาสหญิงทั้งนั้น!”
ทหารของเขาหัวเราะ “ใช่ เป็นทาสหญิง!”
“องค์ชายให้ความสนใจเจ้าถือเป็นเกียรติของเจ้าแล้ว!”
“ยังไม่กลับไปกับองค์ชายอีก! หลังจากนี้ปรนนิบัติท่านดีๆ จะได้ไม่ต้องวิ่งไปวิ่งมากับกองคาราวานอีกต่อไป”
มีคนพูดขึ้นอีกว่า “ม้าของนางงามมากเป็นม้าชั้นดีนำกลับไปด้วย!” คนพวกนั้นส่งเสียงดังแล้วก้าวเข้ามาข้างหน้าจะมาจับนาง
“หยุดนะ!” เสียงของน่าซูดังขึ้นท่ามกลางความวุ่นวาย
เขากับตัวฝูอยู่ห่างออกไปไม่ไกลเขารีบกลับมาทันทีเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้
เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ตัวฝูรีบเข้ามาบังหมิงเวยส่วนน่าซูก้าวไปข้างหน้าเพื่อเจรจา “ฮูหลุน นางเป็นแขกผู้มีเกียรติของเผ่าหมาป่าหิมะเจ้าเสียมารยาทกับนางไม่ได้!”
ชายหนุ่มมองน่าซูด้วยท่าทีเหยียดหยาม “นึกว่าผู้ใดที่แท้ก็เจ้านี่เอง! ทาสหญิงผู้นี้ข้าต้องการเจ้าเสนอราคามาได้เลย!”
น่าซูโกรธมาก “เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือนางเป็นแขกคนสำคัญของเผ่าหมาป่าหิมะ! ไม่ใช่ทาสหญิง!”
ฮูหลุนเยาะเย้ย “แขกคนสำคัญอะไรกันก็แค่สตรีจากจงหยวนผู้หนึ่งจะมีคุณสมบัติอะไรกัน อย่ามาพูดไร้สาระหากเจ้าไม่เสนอราคาข้าจะพานางไปเดี๋ยวนี้!”
น่าซูโกรธมากเขาขยับม้าไปข้างหน้าเพื่อบังหมิงเวย “คิดจะขโมยคนข้าอนุญาตแล้วหรือ!”
เขาปกป้องนางเช่นนี้ทำให้อีกฝ่ายยิ่งตื่นเต้นเพราะเพิ่งล่าสัตว์เสร็จจึงยังมีจิตสังหารกระหายเลือดอยู่ในเลือดของเขา “เผ่าหมาป่าหิมะอย่างพวกเจ้า ได้! วันนี้มาดูกันว่าเจ้ามีความสามารถเพียงใด!”
พูดจบอีกฝ่ายก็ยกมือและสั่งการว่า “จับพวกเขาซะ!”
องครักษ์ของน่าซูรีบเข้ามาอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นผู้เป็นนายกำลังลำบากจะให้นั่งดูเฉยๆ ได้อย่างไร แต่น่าซูพาทหารมาแค่สองนาย แต่ฝั่งของฮูหลุนมีตั้งสิบกว่าคนอีกอย่างพวกเขาเพิ่งกลับมาจากการล่าสัตว์ ทหารมากกว่าสิบนายยกธนูขึ้นด้วยท่าทางดุดัน
ตัวฝูโกรธจนทนไม่ไหวนางหันไปหาหมิงเวย “คุณหนูเจ้าคะ”
หมิงเวยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “อย่าให้ถึงตายไม่เช่นนั้นจะอธิบายกันยาก”
เมื่อได้รับอนุญาตตัวฝูก็ดีใจ “เจ้าค่ะ!”
พูดจบนางก็คว้าคันธนู และลูกธนูของทหารที่อยู่ข้างหน้าดึงกลับแล้วโยนคันธนู และลูกธนูไปด้านข้าง จากนั้นก็ลากชายคนนั้นแล้วขว้างออกไปอย่างแรง
ตัวฝูลงมืออย่างรวดเร็วทำให้ฝั่งของฮูหลุนตกตะลึง เดิมทีจุดประสงค์ของการยิงธนูก็เพื่อทำให้พวกเขากลัว ผู้ใดจะรู้ว่าสตรีอัปลักษณ์จากจงหยวนจะชิงลงมือก่อนเช่นนี้
เห็นดังนั้นแล้วพวกทหารก็ยิ่งโกรธมาก
“จับพวกเขา!”
ฮูหลุนตะโกนเสียงดังเหล่าทหารบางคนยิงลูกธนูบางคนชักกระบี่ออกมาแล้วพุ่งไปข้างหน้า
น่าซูตกตะลึงเหตุใดตัวฝูถึงได้ลงมือเร็วกว่าเขา แต่เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วเขาจะดูเฉยๆ ได้อย่างไรดังนั้นจึงพุ่งตามเข้าไปด้วย คนกลุ่มหนึ่งต่อสู้กันชุลมุนอย่างรวดเร็ว
ห่างไกลออกไปอาเก๋อเห็นว่านายของตนมองไปที่ฝั่งประตูเมืองอยู่ตลอดก็สงสัย องค์ชายน่าซูต่อสู้กับฮูหลุนแล้วเจ้านายของตนกำลังรออะไรอยู่